วัดป่าบ้านวไลย (วัดป่าวิทยาลัย)
ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 77110
พระอาจารย์สุชาติ ชาตสุโข เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน
หลวงปู่ฉลวย สุธัมโม อดีตเจ้าอาวาส
วัดป่าบ้านวไลย (วัดป่าวิทยาลัย) เป็นวัดปฏิบัติสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และหลวงปู่ฉลวย สุธัมโม
|
|||
หลวงปู่ฉลวย สุธมฺโม
๏ อุปสมบทครั้งที่ ๒
ปี พ.ศ. ๒๔๘๘ หลวงปู่มีอายุ ๓๙ ปี เข้ารับการอุปสมบทในคณะมหานิกาย ที่วัดโคกช้าง อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา มีพระอุปัชฌายะคือหลวงพ่ออั้น ลูกศิษย์หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ การบวชในครั้งนี้ต่างจากครั้งแรก โดยเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีพิธีรีตองอะไร
หลวงปู่เล่าถึงความตั้งใจจริงของท่านว่า "พอผ้าเหลืองถูกตัว ก็ตั้งใจว่าจะรักษากุศล ไม่ให้อกุศลเกิดขึ้นได้ หน้าคนไม่มอง จะมองดูแค่เท้า" เมื่อประพฤติปฏิบัติเช่นนี้อยู่ ๑๕ วัน ปรากฏว่ามีอกุศลเกิดขึ้นได้ ท่านจึงบ่นว่า "รักษาอย่างนี้แล้วอกุศลยังเกิดขึ้นได้"
ท่านพิจารณาซ้ำไปมา ๓ หน ก็เกิดความรู้ขึ้นที่จิตว่า "จะรักษาได้อย่างไร กุศลก็เกิดจากจิต อกุศลก็เกิดจากจิต ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากจิตทั้งนั้น" หลวงปู่จึงอุทานว่า "พุทธะเกิดขึ้นแก่เราแล้ว" ท่านจึงพิจารณาคืนหมด ทั้งกุศลและอกุศลที่เกิดขึ้น คืนเข้าไปให้จิตทั้งหมด ไม่ให้ล่วงกาย ล่วงวาจาเลย
"สติปัฏฐานทั้ง ๔ เอาแค่ ๒ คือกายกับจิตตั้งลงที่นามรูปนี้ มรรคมีองค์ ๘ เอาแค่ ๔ คือ สัมมาวาจา เว้นจากวจีทุจริตทั้ง ๔ สัมมากันมันโต เว้นจากกายทุจริตทั้ง ๓ สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีพชอบ สัมมาวายาโม มีความเพียรรักษาจิตคือเมื่อสัมผัสอารมณ์ เกิดความรัก ความโกรธ ความพอใจ ความไม่พอใจ ก็คืนเข้าไปที่จิตหมด (หนามยอกเอาหนามบ่ง)
ไม่ให้ล่วงทางกายทางวาจา ถ้าจะตายให้มันตายไป เอาความตายเป็นอารมณ์" หลวงปู่ได้เอาหัวมันกับตราชั่งมาแขวนไว้ที่หน้ากุฏิ เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติว่า "มีอะไรไม่ใช่เรื่องของตัว ชั่งหัวมัน ไม่เอาใจใส่" หากมีใครมาคุยเรื่องอื่น นอกจากเรื่องธรรมะแล้ว หลวงปู่จะไม่คุยด้วยเลย
หลังจากทำเช่นนี้อยู่ประมาณ ๑ เดือน ก็เกิดขึ้นมาที่จิตว่า "จะบูชาพรหมจรรย์" ท่านจึงเข้าห้องปิดประตู ถามลงไปในใจว่า "อะไรเป็นภัยของพรหมจรรย์" สักระยะก็มีคำตอบว่า "เงินและทอง เครื่องสักการะ รูป เสียง เป็นภัยของพรหมจรรย์"
ท่านจึงพิจารณาเข้าไปอีกว่า "เงินทองถ้าเขาเอาถวาย เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน ถ้าเราไม่รับให้ตายได้ไหม เครื่องสักการะเอาให้เป็นของกลาง รูป เสียง ไม่ต้องกลัว ออกมาจากในมุ้ง เชิญให้มันเข้าไป" เมื่อพิจารณาอยู่อย่างนี้ ก็ดับเงียบลงไปที่จิตเป็นเวลานาน ท่านว่า "ดับก็ดับไป ไม่ได้คิดว่าเป็นอะไร"
ต่อมาวันหนึ่ง หลวงปู่ได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับพระเถระรูปหนึ่ง ตอนหนึ่งพระเถระกล่าวว่า "ผมทำวัตรตอนเช้าผูกหนึ่ง ตอนเย็นผูกหนึ่ง" หลวงปู่ก็ตอบว่า "ผมทำวัตรตอนเช้าสองผูก ตอนเย็นสองผูก" พระเถระกล่าวต่อไปว่า "ผมทำกัมมัฏฐานด้วย" หลวงปู่ไม่รู้จักคำว่า "กัมมัฏฐาน" จึงถามว่า "กัมมัฏฐานคืออะไร"
พระเถระก็ตอบว่า "เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ" หลวงปู่ท่องไปท่องมา จำไม่ได้ จึงขอให้พระเถระช่วยแปลให้ฟัง พระเถระก็แปลให้ฟังว่า "ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง" หลวงปู่จึงร้องว่า "อ้อ แบบนี้ไม่ต้องจำ มีอยู่ในกายนี้แล้ว" ท่านจึงกราบลาพระเถระมาทำกัมมัฏฐาน โดยเพิ่มเข้าไปอีก สาม เป็น "ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก"
ท่านจึงพิจารณาลงไปว่า "สิ่งเหล่านี้ ใครว่าเป็นของเรา ใครรู้ว่าเป็นของเรา ใครจำว่าเป็นของเรา ใครคิดว่าเป็นของเรา ใครยึดถือว่าเป็นตัวตนของเรา" และพิจารณาถอยเข้าไปอีกว่า "ถ้าเอาผมออก เอาขนออก เอาเล็บออก เอาฟันออก เอาหนังออก เอาเนื้อออก เอาเอ็นออก เอากระดูกออก
ใครว่าเป็นของเรา ใครรู้ว่าเป็นของเรา ใครจำว่าเป็นของเรา ใครคิดว่าเป็นของเรา ใครยึดถือว่าเป็นตัวของเรา" จากนั้นก็สร้างขึ้นใหม่ ประกอบกับเข้าเป็นคน แล้วก็ถอยลงไปใหม่ เป็นอนุโลมปฏิโลม อย่างนี้เรื่อยไป เพื่อชะล้าง วิปลาส ความรู้ผิด ความจำผิด ความคิดผิด ในขันธ์ห้า
ท่านกล่าวว่า "มันโง่ ต้องพิจารณาให้มันรู้ ต้องทำที่ใจ พระพุทธเจ้าทรมานกายจนผมขนจะเน่า ก็ไม่สามารถตรัสรู้ได้ จึงหันมาทำที่ใจนี่ ต้องพิจารณาทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ยืนแข้ง เหยียดขา ไม่ใช่นั่งสมาธิอย่างเดียว"
"จะนุ่งห่มจีวร ก็พิจารณาว่า ไม่ได้นุ่งห่มเพื่อจะสะสวยงดงาม หยิบบาตรใส่ไหล่ ก็พิจารณาว่า ไม่ใช่เพื่อสะสมประดับประดา แต่เพียงเพื่อประทังชีวิตเท่านั้น พอออกเดิน ก็พิจารณาว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา พอถึงที่รับบาตร หยุดกัมมัฏฐาน เปิดฝาบาตร รับบาตรเสร็จแล้ว ปิดฝาบาตร ยกกัมมัฏฐานสู่จิตอีก
ทำอย่างนี้จนกระทั่งกลับวัด บางครั้งเมื่อรับบาตร เห็นแขนของคนใส่บาตรเกิดชอบขึ้น ก็ทวนลงไปว่า ชาตินี้ให้:)กินแต่มือ แต่เท้าเท่านั้น ไม่ให้:)กินอีกแล้ว"
"ก่อนจะฉันบิณฑบาต ก็ทำปฏิกูลสัญญา พิจารณาอาหารเป็นของปฏิกูล เมื่อจะฉันจะดูใจว่า อยากฉันอะไร อะไรชอบฉันไม่ให้ฉัน ให้ฉันของที่ไม่ชอบ ไม่ให้เป็นทาสของความอยาก และ ฉันแต่พอประมาณ"
หลวงปู่เล่าให้พระเณรฟังว่า "วันหนึ่งมียี่สิบสี่ชั่วโมงผมทำกัมมัฏฐาน ๒๐ ชั่วโมง อีก ๔ ชั่วโมงให้พัก และหลังฉันแล้ว ให้พักอีกไม่เกิน ๓๐ นาที ทำอย่างนี้ติดต่อกันตลอดพรรษา เกิดปีติสุข อย่างไม่เคยเจอความสุขอย่างนี้มาก่อน ทำจนแม้หลับตา ก็เหมือนมีไฟฟ้ามาติด สว่างไปหมดทั้งหมด ทำกัมมัฏฐานอย่างนี้ ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น แต่ไม่ค่อยมีใครทำกัน"
ออกพรรษาแล้ว หลวงปู่นึกขึ้นได้ว่า เมื่อบวชครั้งแรกนั้นได้เคยขึ้นกัมมัฏฐานไว้ จึงเริ่มขัดสมาธิแบบที่เขาสอนกัน และอธิษฐานว่า "จะไม่ให้ต่ำกว่า ๓๐ นาที" พอนั่งลงหลับตา จิตก็ดิ่งลงไป เกิดปีติ สุขอย่างยอดเยี่ยม ท่านเล่าว่า
"ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ ถ้าตั้งชื่อก็เรียกว่า "อัปปนา" บางคนอาจจะคิดว่าเป็นนิพพานเสียด้วยซ้ำ"
หลวงปู่เสวยความสุขจากอัปปนาสมาธิได้ประมาณ ๑๕ วัน คราวนี้พอนั่งลงหลับตา กลับเกิดความฟุ้งซ่านเหมือนหม้อข้าวเดือดนั่งอยู่ไม่ได้ พยายามนั่งอีกก็นั่งไม่ได้ เดินไปเดินมา ก็เกิดขึ้นที่จิตว่าไม่ไหว ท่านก็ทวนลงไปว่า
"ไม่ไหวก็ตาย"
เกิดความหงุดหงิดอยู่หลายวัน พอดีมีโอกาสไปทำวัตรตามธรรมเนียมกันกับพระอุปัชฌาย์ จึงเล่าเรื่องให้ท่านฟัง ท่านได้ฟังแล้วกล่าวว่า
"ฉลวย เราไม่ได้ทำนานแล้ว เอาหนังสือนี้ไปอ่านคงเข้าใจ" ท่านได้ให้หนังสือสติปัฏฐานมาเล่มหนึ่ง
เมื่อกลับมาแล้ว หลวงปู่จึงนำมาอ่านดู ท่านเล่าให้ฟังว่า
"เอาตาดู ให้ใจอ่าน อ่านไปๆ พอถึงจังหวะเข้า จิตก็ร้องอ้อ แล้วมันก็ละเอง ไม่ติดความสุขในสมาธินั้นอีก"
๏ ย้ายไปอยู่วัดยม อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา
หลวงปู่อยู่ที่วัดโคกช้างนั้นไม่รับและไม่ใช้เงิน เพราะต้องการจะรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ จึงไม่ลงกันกับพระที่อยู่ที่นั่นบ้าง ปรารถนาที่จะออกแสวงหาที่วิเวก พอดีได้ยินข่าวเกี่ยวกับวัดยมว่าเป็นวัดปฏิบัติ ท่านจึงออกธุดงค์ไปยังวัดยม เมื่อไปถึงแล้ว เข้าไปขอกับท่านพระอาจารย์เปลื้อง เจ้าอาวาสวัดยมว่า ขออยู่ในบริเวณป่าช้าของวัด ท่านเจ้าอาวาสก็อนุญาตให้สมความปรารถนา
เมื่อมาอยู่ป่าช้า มีกุฏิหลังเล็กๆ หลังหนึ่ง พื้นเป็นไม้กระดาน ๕ แผ่น หลังคามุงสังกะสี พื้นเป็นไม้กระดาน ๕ แผ่น หลังคามุงสังกะสี วันหนึ่งในเวลากลางวัน แดดจัด ในกุฏิร้อนมากหลวงปู่จึงได้ห่มจีวร พาดผ้าสังฆาฏิ รัดประคตอกแล้วนั่งลงในกุฏิ ขัดสมาธิ เม็ดเหงื่อก็ผุดออกจนชุ่มโชกทั่วตัว จากนั้นไม่นานก็รู้สึกว่า วันนี้อากาศเย็นสบายที่สุด
ต่อมาหลวงปู่ได้อธิษฐานจิตบูชาคุณของพระพุทธเจ้า และได้เกิดขึ้นที่ใจว่า
"เมื่อมีความอยากได้ อยากถึงอยู่ในใจ ความอยากก็จะกันปัญญาเสียหมด" ดังนั้น ท่านจึงอธิษฐานจิตว่า
"โสดา สกทาคา อนาคา อรหันต์ ข้าพเจ้าไม่ต้องการ สมาธิ สติ ปัญญาก็ไม่ต้องง้อ เมื่อทำไปถูกต้องแล้ว ก็มีเอง"
เมื่อเกิดขึ้นอย่างนี้แล้ว หลวงปู่ก็ตั้งหน้าทำความเพียรต่อไป ทำกัมมัฏฐาน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็นกระดูก จนเกิดขึ้นที่ใจเองว่า กัมมัฏฐานนี้ยาวไป เขาก็ย่อเองเป็น
"เข้มแข็งธาตุดิน เหลวธาตุน้ำ อบอุ่นธาตุไฟ เคลื่อนไหวธาตุลม"
ยังไม่ทันเป็นอนุโลม ก็มองเห็นกระดูกภายในร่างกายบริเวณศีรษะถึงคอ เมื่อทำต่อไป เกิดขึ้นครั้งที่สอง ก็มองเห็นกระดูกภายในไปถึงครึ่งตัว เมื่อทำต่อไป เกิดขึ้นครั้งที่สาม ก็มองเห็นกระดูกภายในหมดทั้งตัว เมื่อถึงจุดนั้นไม่มีอะไรเลย ทั้งตัวผู้พิจารณาก็หายไปที่นั้นเอง
เมื่อถอนออกแล้วหลวงปู่ก็ทำความเพียรต่อไป เกิดดำริว่า จะพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ก็เกิดขึ้นที่ใจว่า ยังไม่ควร หลวงปู่ก็ทำกัมมัฏฐานต่อไป หันมากำหนดลมหายใจเข้า ลมหายใจออก จนลมหายใจไม่เข้าไม่ออก ทำจนกระทั่งสามารถบังคับลมหายใจ ให้เข้าไปแล้วไม่ออกมาก็ได้ ออกไปแล้วไม่เข้าก็ได้
ต่อมาหลวงปู่ดำริว่า จะไปโปรดโยมมารดา พามาบวชนุ่งขาวเพื่อตอบแทนพระคุณ จึงเดินทางไปที่บ้าน ชักชวนโยมมารดา โยมมารดาปฏิเสธว่า เป็นห่วงหลาน ท่านจึงยื่นคำขาดว่า
"หากโยมมารดาไม่มานุ่งขาวให้อาตมาเลี้ยงก็เลิกกัน ไม่ต้องมาเป็นแม่เป็นลูกกันอีก" โยมจึงยอมบวช
เมื่อพามาอยู่วัดยมแล้ว หลวงปู่บิณฑบาตได้โภชนะมาแล้ว ก็นำมาเลี้ยงโยมด้วยทุกวัน และได้ไปเก็บเศษไม้ ในป่าช้าและฝาโลงศพมาทำกุฏิให้พอฝนตกก็เกิดกลิ่นอับขึ้น โยมจึงมาถาม ท่านก็บอกไปตามจริง โยมรู้เรื่องแล้วก็ไม่ว่าอะไร เพราะเป็นคนใจกล้า
โยมมารดานึกขึ้นมาได้ว่า ก่อนที่ลูกชายจะบวชนั้น ตนเองเคยพูดไว้ว่า หากบวชอยู่ได้จะถวายผ้าไตรแพร ๑ ไตร ดังนั้น จึงไปหาซื้อมาถวาย เมื่อหลวงปู่ได้รับแล้ว ก็นำไปซักย้อม
"อ้อ นี่:)ยังอยากสวยอีกหรือนี่ :)อย่าห่มเลย"
ท่านคอยดูคำตอบจากใจว่าจะตอบว่าอย่างไร ใจก็เงียบไม่มีคำตอบ เหมือนกับว่าไม่กล้าเถียงท่าน ท่านจึงนำผ้าไตรแพรนั้น ไปถวายพระอาจารย์เปลื้อง
ณ วัดยมแห่งนี้เอง หลวงปู่ได้พบสหธรรมิก ที่เรียกได้ว่าเป็นคู่บารมี เพราะต่อมาได้ร่วมจาริกธุดงค์กันมาโดยตลอด ท่านนั้นคือ หลวงพ่อก้าน ฐิตธมฺโม (ปัจจุบันเป็นพระครูวิศาลสมาธิวัตร) เจ้าคณะตำบล (ธ) จ.ประจวบคีรีขันธ์ เจ้าอาวาสวัดราชายตนบรรพต (เขาต้นเกด อ.หัวหิน)
ซึ่งขณะนั้นเป็นครูสอนนักธรรมอยู่ที่วัดบางบาล อ.บางบาง จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อมีโอกาสได้สนทนากัน ในข้ออรรถข้อธรรม ก็ถูกจริตนิสัยกัน จึงสนทนาธรรมกันอยู่เสมอ ครั้งหนึ่ง มีโอกาสสนทนากันถึงข้อวัตรปฏิบัติ ตอนหนึ่ง หลวงพ่อก้าน กล่าวว่า
"หลวงน้าฉันมื้อเดียว เคร่งไป ไม่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา" หลวงปู่จึงตอบว่า
"คุณก้าน ท่านว่าแม่น้ำมันเชี่ยวนั้น ท่านลองลงว่ายดูหรือยัง ว่ามันเชี่ยวหรือมันเบาขนาดไหน"
ครั้งหนึ่ง หลวงปู่นิมนต์หลวงพ่อก้านมาฉันน้ำร้อน และสนทนาธรรม ตอนหนึ่ง หลวงปู่กล่าวว่า
"คุณก้าน ลองหาดูวิญญาณซิ" หลวงพ่อก้านจึงนั่งสมาธิพิจารณาสักครู่ จึงตอบว่า
"หาไม่เจอ"
หลวงปู่เล่าให้พระเณรฟังว่า
"ผมนั่งอยู่บนกุฏิ เห็นพระเขาคุยกัน ใจมันก็อยากจะไปคุยกับเขา แต่ผมไม่ไป ใจมันอยากคุย ให้มันไปคุย แต่ไม่ให้ตัวไป สักพักหนึ่ง เกิดปวดปัสสาวะ จึงลุกไปปัสสาวะ พอปัสสาวะเสร็จ เท้ามันก็พาเดินอ้อมจะไปที่เขาคุยกัน พอนึกได้ก็ร้อง อ้าว ไม่ได้ กลับเดี๋ยวนี้" ผมบังคับใจมันขนาดนี้
หลวงปู่ได้มีโอกาสรู้จักกับ โยมกิมเฮียง (เจ้าของน้ำอบนางลอย อยู่หน้าวัดเทพธิดาราม กทม.) ได้สนทนากันถึงเรื่องข้อวัตรปฏิบัติของพระอาจารย์ต่างๆ รวมถึงพระอาจารย์ลี ธมฺมธโร ด้วย โยมกิมเฮียงนั้นจะหาโอกาสไปกราบนมัสการพระอาจารย์ลี ธมฺมธโร จึงชักชวนหลวงปู่
"หลวงปู่ถามถึงป่าที่นั่นว่าเป็นอย่างไร" เพราะใจต้องการหาที่สงัด มากกว่า หาครูบาอาจารย์ เมื่อรู้ว่าป่าดีก็ตกลง จนกระทั่งออกพรรษาแล้ว โยมกิมเฮียง จึงได้มาหาหลวงปู่อีกครั้ง และกล่าวว่า
"โยมไม่ได้ไปหาพระอาจารย์ลีแล้ว แต่จะไปทอดกฐินกับพระอาจารย์มั่น ที่วัดหนองผือ จ.สกลนคร ท่านจะไปหาพระอาจารย์ลีหรือพระอาจารย์มั่นละ" หลวงปู่จึงถามว่า
"พระอาจารย์ลี กับพระอาจารย์มั่นนั้น ใครเป็นอาจารย์ใครล่ะ"
"พระอาจารย์มั่น เป็นอาจารย์ของพระอาจารย์ลี" โยมกิมเฮียงกล่าว
"อย่างนั้นก็ไปหาพระอาจารย์สิ จะไปหาลูกศิษย์ทำไม" หลวงปู่กล่าวสรุป
ดังนั้น หลวงปู่จึงออกจาริกไปหาหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดหนองผือ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร โดยมีหลวงตาแย้ม ขอติดตามไปด้วยอีกองค์หนึ่งและมีโยมกิมเฮียงเป็นคนนำทาง
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
๏ พบหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ครั้งแรก
เพียงย่างก้าวแรกที่เข้าเขตของวัดหนองผือ (อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร) เท่านั้น จิตใจของหลวงปู่ที่เคยเข้มแข็ง องอาจ ไม่กลัวใคร ก็อ่อนลง สงบราบคาบอย่างน่าประหลาด และเป็นไปตลอดระยะเวลาที่อยู่ในวัดหนองผือนั้น
เมื่อเข้าไปถึงกุฏิของหลวงปู่มั่นแล้ว หลวงปู่ทำธุระอยู่ข้างล่าง หลวงตาแย้มจึงขึ้นไปกราบก่อน หลวงปู่มั่นได้ถามถึงการปฏิบัติของหลวงตาแย้มว่าปฏิบัติมาอย่างไร หลวงตาแย้มก็เล่าเป็นปริยัติที่ตนได้เรียนมา พอดีหลวงปู่ขึ้นไปกราบ หลวงปู่มั่นจึงถามว่า
"เอ้า แล้วท่านล่ะ ปฏิบัติมาอย่างไร" หลวงปู่จึงเล่าให้ฟังว่า
"กระผมบวชเมื่อแก่ครับ กระผมไม่ได้ศึกษาอะไรมาก กระผมทำกัมมัฏฐาน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก พิจารณาทวนเข้าไปหาจิต ใครว่าเป็นเรา ใครรู้ว่าเป็นเรา ใครจำว่าเป็นเรา ใครคิดว่าเป็นเรา ใครยึดถือว่าเป็นตัวตนของเรา
พิจารณาสร้างขึ้นและทำลายลง ทำติดต่อกัน ปรากฏเป็นนิมิตต่างๆ แต่กระผมก็ไม่ติดใจ จนเกิดความสงบ มีปีติ และสุข..." หลวงปู่ได้เล่าถึงการปฏิบัติให้หลวงปู่มั่นฟังทุกอย่าง
หลวงปู่มั่นได้ฟังแล้ว ก็แสดงธรรมย้ำอยู่ตรงจุดนั้นเป็นเวลานาน หลวงปู่ฟังเป็นที่เข้าใจอย่างดี จากนั้น จึงขอพักอยู่ในวัดหนองผือนั้น
ในขณะที่พักอยู่ในวัดนั้น หลวงปู่มั่นจะกล่าวเป็นทำนองไล่หลวงปู่ทุกวัน โดยกล่าวว่า
"เนี่ย ฉลวยเค้าจะไปไหนก็ไม่ไป" ยิ่งคนมีมาก ก็จะยิ่งไล่
แต่หลวงปู่กลับมีความเห็นว่า ท่านไล่กิเลสของเราต่างหาก จึงได้แต่ตอบว่า
"มันมืดครับ ผมมาจากต่างถิ่น ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ จึงไปไม่ถูก"
หลวงปู่มั่นนั้น ถึงจะพูดเป็นเชิงไล่ทุกวัน แต่ท่านก็แสดงธรรมให้ฟังทุกวันเช่นกัน หลวงปู่จึงคิดว่า หากท่านไล่เราจริง ก็ต้องไม่สอนเราสิ ท่านจึงทำในใจไว้ว่า
"ถ้าท่านอาจารย์มั่นไม่ให้เราอยู่บนกุฏิ เราจะอยู่บนแผ่นดิน เพราะแผ่นดินไม่ได้เป็นของใคร"
"หากท่านอาจารย์มั่น จะตั้งอธิกรณ์เพื่อไม่ให้อยู่ก็คงตั้งได้ ๔ ข้อ คือ ๑. มีสังฆาฏิชั้นเดียว ๒. ต่างนิกาย ๓. ไม่มีคนรับรอง ๔. ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า" ท่านพิจารณาเรื่องนี้จนตลอดคืน ได้ความว่า
"๑. ที่ว่ามีสังฆาฏิชั้นเดียว เราจะขอใหม่ก็ได้ เพราะโยมกิมเฮียงเขาปวารณาไว้แล้ว แต่เราไม่ขอ เราเป็นพระ ไม่ง้อคน มีอย่างไรก็ใช้อย่างนั้น
๒. ที่ว่าต่างนิกายนั้น เราก็พร้อมที่จะญัตติทุกเมื่อ
๓. ที่ว่าไม่มีคนรับรองนั้น โยมกิมเฮียงก็เป็นคนรับรองให้เราได้
๔. ที่ว่าไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้านั้น ใบสุทธิเราก็มีอยู่"
เมื่อท่านพิจารณาได้ความอย่างนี้แล้ว ก็จะนำเรื่องนี้ไปกราบเรียนให้หลวงปู่มั่นทราบ หมู่คณะรู้เข้าก็ทัดทานว่าอย่าเลย ท่านเป็นครูบาอาจารย์ อย่าไปรบกวนท่าน หลวงปู่ก็ว่าไม่ได้รบกวนอะไร เพียงแต่กราบเรียนถึงความคิดให้ฟัง เมื่อเข้าไปกราบเรียนหลวงปู่มั่นแล้ว หลวงปู่มั่นก็หัวเราะ
วันหนึ่ง ในเวลาพระเณรกำลังฉันน้ำร้อนน้ำชา หลวงปู่มีใบจากและยาเส้นแต่ไม่มีไม้ขีดไฟ (ในสมัยนั้น ไม้ขีดไฟหายาก เพราะเป็นช่วงสงครามโลก) เมื่อต้องการไฟมาจุดยาสูบ ท่านจึงไปหยิบท่อนไฟในกองไฟมาจุด พระเณรทั้งหลายก็หัวเราะเสียงดังครืน
วันต่อมา ท่านก็ทำอย่างนี้อีก พระเณรก็หัวเราะกันอีก ท่านจึงคอยสังเกตว่าเขาทำกันอย่างไร ปรากฏว่า เมื่อพระเหล่านั้นต้องการไฟจุดยาสูบเขาต้องให้สามเณรนำท่อนไฟ มาประเคนก่อน จึงจุดสูบ หลวงปู่จึงเรียกสามเณรให้ประเคนท่อนไฟบ้าง พระเณรเหล่านั้นก็หยุดหัวเราะ
เมื่ออยู่ได้ระยะหนึ่ง หลวงตาแย้มเกิดจิตตก ไม่อยากอยู่ อยากจะกลับอย่างเดียว เมื่อหลวงปู่มั่นทราบก็ให้เรียกหลวงตาแย้มไปหา ท่านถวายจีวรให้ ๑ ผืน และกล่องยาเส้นอย่างดี ๑ กล่อง หลวงตาแย้มเมื่อถูกวางยารักษาโรคแล้ว โรคอยากกลับก็หายเป็นปกติ อยู่ได้ต่อไป
เมื่อทราบข่าวว่า ที่สำนักสงฆ์นาใน (อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร) ซึ่งเป็นสาขาของวัดหนองผือนั้น ไม่มีพระอยู่แล้ว และทางนี้หลวงปู่มั่นก็กล่าวไล่ทุกวัน หลวงปู่จึงคิดว่า จะไปพักทำความเพียรที่สำนักสงฆ์นาใน จึงขึ้นไปกราบลาหลวงปู่มั่น แต่ยังไม่ทันได้กราบลา หลวงปู่มั่นก็ทักขึ้นก่อนว่า อ้าว ฉลวย จะรีบไปไหนละ เดี๋ยวก่อน ให้พระท่านตัดเย็บจีวรให้ก่อน" แ
น่าจะทำเป็นสกู๊ปเลยนะครับ ^^