“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์เกี่ยวกับราคาหุ้นบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA จาก consensus (ทั่วโลก) พบว่ามีนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ Thanachart Securities PCL ให้ราคาเป้าสูงถึง 110 บาท ถัดมาที่บริษัทหลักทรัพย์ BNP Paribas Equity Research ที่ระดับ 60 บาท และบริษัทหลักทรัพย์ Phillip Securities ที่ระดับ 56 บาท
ด้าน นางออมสิน ศิริ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรของ EA เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในปี 63 จะเติบโตโดดเด่น โดยวางเป้ารายได้เติบโต 30% เมื่อเทียบกับฐาเมื่อเทียบกับฐานรายได้ปี 62 ขณะที่กำไรสุทธิเชื่อมั่นว่ายังคงทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง โดยได้รับผลบวกจากการรับรู้รายได้เต็มปีโรงไฟฟ้าพลังงานลม “หนุมาน” ทั้ง 5 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวม 260 เมกะวัตต์ ส่งผลตลอดทั้งปีนี้บริษัทจะรับรู้รายได้จากกำลังผลิตไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 664 เมกะวัตต์ นอกจากนั้น บริษัทจะยังรับรู้รายได้จากธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และ โครงการเพิ่มมูลค่าธุรกิจไบโอดีเซล
ทั้งนี้ บริษัทวางงบลงทุนปี 63 ไว้ที่ราว 7.5 พันล้านบาท ซึ่งจะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานและเงินกู้ยืมระยะยาว ซึ่งขณะนี้ความคืบหน้าการก่อสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออนเฟสแรก ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติการจัดโซนนิ่งอย่างเป็นทางการเพื่อเข้าใช้ที่ดินเท่านั้น
ล่าสุดบริษัทสั่งซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์พร้อมติดตั้งแล้ว เบื้องต้นวางงบลงทุนในเฟสแรก 5 พันล้านบาท กำลังการผลิต 1 กิกะวัตต์ต่อชั่วโมง (GWh) คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตขายเชิงได้ภายในไตรมาส 4/63 หลังจากนั้นก็จะพิจารณาแผนขยายการลงทุนในเฟส 2 อีก 49 กิกะวัตต์ (GWh) ซึ่งเป็นขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน ใช้เงินลงทุนมากกว่าแสนล้านบาท
ด้านแผนผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในปีนี้วางเป้าหมายผลิต 5,000 คัน แบ่งเป็นจำนวน 3,500 คันจะประกอบเป็นรถแท็กซี่ให้กับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนสุวรรณภูมิพัฒนา จำกัด ตามสัญญาซื้อขาย และจำนวนที่เหลือเป็นไปตามสิทธิการจองของบริษัทเอกชนและประชาชนทั่วไป ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเริ่มส่งมอบรถยนต์ EV ล็อตแรกในเดือน เม.ย.63 และที่เหลือจะทยอยส่งมอบจนครบภายในสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ โรงงานประกอบรถยนต์ EV มีกำลังการผลิตเต็มที่ 10,000 คันต่อปี ใช้งบลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในวันที่ 27 ม.ค.63 บริษัทเตรียมเปิดตัวธุรกิจใหม่ที่จะมาต่อยอดจากธุรกิจไบโอดีเซล โดยมุ่งเน้นขยายผลิตภัณฑ์ที่จะทำให้บริษัทได้รับส่วนต่างกำไรสูงขึ้น พร้อมกับยังช่วยเพิ่มกำลังการผลิตในธุรกิจไบโอดีเซล จากปัจจุบันที่สามารถผลิตได้ 800,000 ลิตรต่อวัน เพิ่มอีก 130,000 ลิตรต่อวัน
“ปี 63 เป็นอีกหนึ่งปีที่ผลประกอบการเติบโตโดดเด่น และโครงสร้างรายได้ก็จะเปลี่ยนไป จากเดิมที่มี:)ส่วนธุรกิจไฟฟ้า 60-70% ก็จะลดลงมาเหลือ 50% เพราะมี:)ส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่เข้ามาทั้งรถยนต์ EV และธุรกิจใหม่เพิ่มมูลค่าให้กับไบโอดีเซล ส่วนโครงการแบตเตอรี่แม้ว่าทุกคนจะมองว่าเริ่มช้า แต่บริษัทเตรียมพร้อมหมดแล้วทั้งอุปกรณ์และเครื่องจักร ถ้ารัฐบาลอนุมัติก็สามารถเริ่มก่อสร้างโรงงานได้ทันที คาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 และผลิตเชิงพาณิชย์เฟสแรกได้ภายในไตรมาส3 และผลิตเชิงพาณิชย์เฟสแรกได้ภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้” นางออมสิน กล่าว
นางออมสิน กล่าวต่อว่า แม้ว่าโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในประเทศยังต้องรอความชัดเจนของแผนงานของรัฐบาล แต่บริษัทมีแผนขยายโครงการพลังงานทดแทนในต่างประเทศ ล่าสุดอยู่ระหว่างรอการพิจารณาอนุมัติโครงการผลิตไฟฟ้าเทคโนโลยีไฮบริด คือโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับแบตเตอรี่ให้กับรัฐบาลประเทศเวียดนาม กำลังการผลิตรวม 40 เมกะวัตต์ คาดว่าจะได้รับการอนุมัติภายในปีนี้ ซึ่งโครงการรดังกล่าวใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 9 เดือนจึงจะรับรู้รายได้จากแผน COD ตามเงื่อนไขของทางรัฐบาลเวียดนาม
นอกจากนี้ บริษัทมีแนวทางที่จะนำโมเดลโครงการผลิตไฟฟ้าใช้พลังงานแสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ขยายเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้านด้วย ทั้งเมียนมา, ลาว และกัมพูชา เนื่องจากมองเห็นโอกาสการเติบโตธุรกิจพลังงานทดแทนในอนาคต
ที่มา : https://www.kaohoon.com/