นางออมสิน ศิริ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการปี 63 จะเติบโตโดดเด่น โดยวางเป้ารายได้เติบโตโดดเด่น โดยวางเป้ารายได้เติบโต 30% เมื่อเทียบกับฐานรายได้ปี 62 ขณะที่กำไรสุทธิเชื่อมั่นว่ายังคงทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง โดยได้รับผลบวกจาการรับรู้รายได้เต็มปีโรงไฟฟ้าพลังงานลม “หนุมาน” ทั้ง 5 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวม 260 เมกะวัตต์ ส่งผลตลอดทั้งปีนี้บริษัทจะรับรู้รายได้จากกำลังผลิตไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 664 เมกะวัตต์ นอกจากนั้น บริษัทจะยังรับรู้รายได้จากธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และโครงการเพิ่มมูลค่าธุรกิจไบโอดีเซล
โดยบริษัทวางงบลงทุนปี 63 ไว้ที่ราว 7.5 พันล้านบาทซึ่งจะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงานและเงินกู้ยืมระยะยาว ซึ่งขณะนี้ความคืบหน้าการก่อสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออนเฟสแรก ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอให้รัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติการจัดโซนนิ่งอย่างเป็นทางการเพื่อเข้าใช้ที่ดินเท่านั้น
ล่าสุดบริษัทสั่งซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์พน้อมติดตั้งแล้ว เบื้องต้นวางงบลงทุนในเฟสแรก 5 พันล้านบาท กำลังการผลิต 1 กิกะวัตต์ต่อชั่วโมง (GWh) ซึ่งเป็นขนาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน ใช้เงินลงทุนมากกว่าแสนล้านบาท
ด้านแผนผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในปีนี้วางเป้าหมายผลิต 5,000 คัน แบ่งเป็นจำนวน 3,500 คันจะประกอบเป็นแท๊กซี่ให้กับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนสุวรรณภูมิพัฒนา จำกัด ตามสัญญาซื้อขาย และจำนวนที่เหลือเป็นไปตามสิทธิการจองของบริษัทเอกชนและประชาชนทั่วไป ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเริ่มส่งมอบรถยนต์ EV ล็อตแรกในเดือนเม.ย.63 และที่เหลือจะทยอยส่งมอบจนครบภายในสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ โรงงานประกอบรถยนต์ EV มีกำลังการผลิตเต็มที่ 10,000 คันต่อปี ใช้งบลงทุนประมาณ 1,000 พันล้านบาท
นอกจากนี้ในวันที่ 27 ม.ค. 63 บริษัทเตรียมตัวเปิดธุรกิจใหม่ที่จะมาต่อยอยดจากธุรกิจไบโอดีเซล โดยมุ่งเน้นขยายผลิตภัณฑ์ที่จะทำให้บริษัทได้รับส่วนต่างกำไรสูงขึ้น พร้อมกับยังช่วยเพิ่มกำลังการผลิตในธุรกิจไบโอดีเซล จากปัจจุบันที่สามารถผลิตได้ 800,000 ลิตรต่อวัน เพิ่มอีก 130,000 ลิตรต่อวัน
“ปี 63 เป็นอีกหนึ่งปีที่ผลประกอบการเติบโตโดดเด่น และโครงสร้างรายได้ก็จะเปลี่ยนไปจากเดิมที่มี:)ส่วนธุรกิจไฟฟ้า 60 -70% ก็จะลดลงมาเหลือ 50% เพราะมี:)ส่วนรายได้จากธุรกิจใหม่เข้ามาทั้งรถยนต์ EV และธุรกิจใหม่เพิ่มมูลค่าให้กับไบโอดีเซล ส่วนโครงการแบตเตอรี่แม้ว่าทุกคนจะมองว่าเริ่มช้า แต่บริษัทเตรียมพร้อมหมดแล้วทั้งอุปกรณ์และเครื่องจักร ถ้ารัฐบาลอนุมัติก็สามารถเริ่มก่อสร้างได้ทันที คาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 และผลิตเชิงพาณิชย์เฟสแรกได้ภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ “ นางออมสินกล่าว
อย่างไรก็ตามแม้ว่าโครวการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนในประเทศยังต้องรอความชัดเจนของแผนงานของรัฐบาล แต่บริษัทมีแผนขยายโครงการพลังงานทดแทนในต่างประเทศ ล่าสุดอยู่ระหว่างรอการพิจารณาอนุมัติโครงการผลิตไฟฟ้าเทคโนโลยีไฮบริด คือ โรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับแบตเตอรี่ให้กับรัฐบาลประเทศเวียดนาม กำลังการผลิตรวม 40 เมกะวัตต์ คาดว่าจะได้รับการอนุมัติภายในปีนี้ ซึ่งโครงการดังกล่าวใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 9 เดือนจึงจะรับรู้รายได้จากแผน COD ตามเงื่อนไขของทางรัฐบาลเวียดนาม
นอกจากนี้ บริษัทมีแนวทางที่จะนำโมเดลโครงการผลิตไฟฟ้าใช้พลังงานแสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ขยายเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้านด้วย ทั้งเมียนมา, ลาว และกัมพูชา เนื่องจากมองเห็นโอกาสการเติบโตธุรกิจพลังงานทดแทนในอนาคต
ที่มา : www.kaohoon.com/content/335028