EA ตั้งเป้ารายได้ปี 2563 ไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท พร้อมตั้งงบลงทุนปีหน้า 7.4 พันล้านบาท เดินหน้าโรงงานแบตเตอรี่ มั่นใจส่งมอบรถ EV 5 พันคันครบภายในปีนี้ เชื่อดีมานด์รถไฟฟ้าเติบโตดี หวังภาครัฐมีมาตรการส่งเสริมเหมือนรถคันแรก พร้อมศึกษาลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าในเวียดนาม-เมียนมา เผยโรงไฟฟ้าในพอร์ต 664 เมกะวัตต์ สร้างกระแสเงินสดเข้าพอร์ตปีละกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท
นางสาวออมสิน ศิริ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือEA เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2563 ไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท โดย:)ส่วนรายได้จะมาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าราว 51%, ธุรกิจรถยนต์ EV ราว 27%, ธุรกิจไบโอดีเซล ราว 17%, ธุรกิจกรีนดีเซล และ PCM ราว 4% และอีก 1% เป็นธุรกิจ E-Ferry & Charging ซึ่งจะเห็นว่าธุรกิจ EV มี:)ส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญจากโครงการรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัท
*ปีหน้าลงทุน7.4พันล.
นอจากนี้ปี 2563 บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 7.4 พันล้านบาท โดยเน้นน้ำหนักการลงทุนไปที่โครงการผลิตแบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออนเฟสแรก ขนาดกำลังการผลิต 1 กิ๊กะวัตต์ต่อชั่วโมงต่อปี มูลค่าลงทุนประมาณ 5 พันล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการแม้ว่าจะมีกำหนดการแล้วเสร็จล่าช้าไปจากแผนงานเดิมบ้าง แต่เชื่อว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2563 ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแผนงานของบริษัท เนื่องจากบริษัทสามารถใช้ฐานการผลิตที่มีอยู่แล้วของบริษัท Amita Technologies Inc., ไต้หวัน ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ทำการผลิตแบตเตอรี่ เพื่อนำมาใช้ในโครงการรถยนต์ไฟฟ้า MINE SPA 1 และเรือไฟฟ้า ตามแผนที่วางไว้ ทำให้บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนได้
ทั้งนี้จะทำการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า MINE SPA1 ให้กับสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนสุวรรณภูมิพัฒนา จำกัด จำนวน 3.5 พันคัน ตามที่ทำข้อตกลงกันไว้ รวมถึงลูกค้ารายอื่นๆ โดยจะเริ่มทยอยส่งมอบตั้งแต่ไตรมาส 2/2563 จนครบ 5 พันคันในสิ้นปี สำหรับโรงงานประกอบรถยนต์ที่บริษัทกำลังก่อสร้างนั้น จะสามารถรองรับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าทั้งประเภทรถยนต์ไฟฟ้า รถบัสไฟฟ้า และรถบรรทุกไฟฟ้า ซึ่งบริษัทได้จัดตั้งบริษัทย่อยชื่อบริษัท อีวีนาว จำกัด ไว้เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ดีสำหรับทิศทางยานยนต์ไฟฟ้าในตลาดโลกมีอัตราการเติบโตสูงตั้งแต่ปี 2562 ต่อเนื่องจนถึงปี 2573 โดยรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถบรรทุกขนาดเล็ก และรถขนส่งสาธารณะ ถือว่ามีอัตราการเติบโตสูง โดยจาการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าจะทำให้เกิดการใช้งาน แบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน สูงถึง 2,000 กิ๊กะวัตต์ต่อชั่วโมงในปี 2573 โดยในปี 2562-2563 คาดว่าจะมากกว่า 200 กิ๊กะวัตต์ต่อชั่วโมง ส่วนในประเทศไทยทางภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนนำรถไฟฟ้ามาใช้งาน เพราะไม่มีมลพิษ และทำให้ต้นทุนพลังงานถูกลงเกินกว่า 50% ซึ่งภาครัฐวางเป้าปี 2579 จะมีรถไฟฟ้า 1.2 ล้านคัน
*หวังรัฐออกมาตรการหนุน EV
รวมไปถึงมีความคาดหวังให้ภาครัฐออกมาส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากกว่านี้ หรือมีนโยบายส่งเสริมเช่นเดียวกับโครงการที่ผ่านมา อย่างเช่นโครงการรถยนต์คันแรก เพื่อให้เกิดแรงกระตุ้นในการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการผลิตเรือไฟฟ้า ซึ่งจะแล้วเสร็จและเริ่มให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปได้ในต้นปี 2563 จำนวน 2 ลำ และคาดว่าภายในสิ้นปี 2563 จะมีเรือไฟฟ้าเพิ่มเป็นจำนวน 42 ลำ
อีกทั้งอยู่ระหว่างการสร้างโรงงานผลิตกรีนดีเซลและสารเปลี่ยนสถานะ (PCM) ที่เป็นผลิตภัณฑ์จากน้ำมันปาล์มที่มีมูลค่าเพิ่มขั้นสูงและเป็นลิขสิทธิ์ของกลุ่มบริษัทเอง สามารถส่งออกและทดแทนการนำเข้า โดยมองว่าตลาดPCM ยังมีอัตราการเติบโตในระดับที่สูง บริษัทมีการส่งออกไปยังญี่ปุ่น ทั้งนี้ปัจจุบันกำลังการผลิตของกรีนดีเซลและPCM อยู่ที่ 130 ตันต่อวัน คาดว่าปีหน้าจะสร้างรายได้ราว 1 พันล้านบาท และธุรกิจดังกล่าวมีอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 30%
พร้อมศึกษาลงทุนโครงการพลังงานต่อเนื่อง โดยปัจจุบันรอความชัดเจนจากภาครัฐในการลงทุนโครงการโซลาร์ไฮบริด ในประเทศเวียดนาม ขนาดกำลังการผลิต 40 เมกะวัตต์ และประเทศเมียนมา ขนาดกำลังการผลิตมากกว่า 40 เมกะวัตต์ ส่วนโครงการผลิตโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลมรวมทั้งสิ้น 664 เมกะวัตต์ ของบริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดปีละกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท
ที่มา: https://www.thunhoon.com/215731/00/26/