โรงพยาบาลธนบุรี ฉลองความสำเร็จครบรอบปีที่ 41 นับแต่เริ่มให้บริการแก่ผู้ป่วยในจังหวัดกรุงเทพ ธนบุรีและพื้นที่ใกล้เคียง จนในปีปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่มีเครือข่ายมากถึง 19 แห่งทั่วประเทศ เป็นการแสดงถึงความเชื่อมั่นที่ผู้รับบริการให้ความไว้วางใจต่อโรงพยาบาลฯ มาโดยตลอด พร้อมประกาศปณิธานเพื่อเดินหน้าเพิ่มขีดความสามารถการให้บริการ
โดยโรงพยาบาลฯพร้อมด้วยทีมงาน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญครอบคลุมทุกสาขามากกว่า 400 คน บุคลากรด้านการพยาบาลมากกว่า 1,000 คน และด้านอื่นๆ รวมมากกว่า 2,000 คน จะมุ่งมั่น พัฒนาสู่ความเป็นเลิศทั้งด้านผลการรักษา การบริการ และเสริมสร้างเทคโนโลยี ให้เป็นโรงพยาบาลมาตรฐานระดับแนวหน้าของประเทศ ที่คนไทยให้ความพึงพอใจและเชื่อมั่นตลอดไป
น.พ.สุทธิชัย โชคกิจชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธนบุรี กล่าวว่า “การเติบโตของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน ยังมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหนุนจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างได้แก่.-
- การเพิ่มขึ้นของกลุ่มชนชั้นกลางที่มีอำนาจซื้อสูง การเติบโตทางเศรษฐกิจ และรายได้ของประชากรโดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นกลางจะหนุนความต้องการใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนเพิ่มขึ้น โดยเมื่อพิจารณาอัตราการใช้จ่าย ด้านการรักษาพยาบาลต่อ GDP ของคนไทยยังอยู่ในระดับไม่สูงมากนัก เมื่อผนวกกับชนชั้นกลางในกลุ่มอาเซียน สะท้อนโอกาสในการเติบโตของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนของไทยยังมีอยู่อีกมาก
- การขยายตัวของชุมชนเมือง องค์กรสหประชาชาติ(United Nations) คาดว่าระดับความเป็นเมือง(Urbanization Rate) ของไทยจะเพิ่มขึ้นจาก 50.4% ปี 2558 เป็น 60.4% ในปี 2568 ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการขยายการให้บริการทางการแพทย์ไปสู่พื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้นในอนาคตเมื่อเทียบกับความต้องการใช้บริการในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ค่อนข้างอิ่มตัว
- นอกจากนี้ ธุรกิจยังได้อานิสงส์จากนโยบายของรัฐบาล อาทิ นิคมอุตสาหกรรม โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก และการเติบโตของชุมชนเมืองในกลุ่มประเทศ AEC จะทำให้จำนวนผู้รับบริการทางการแพทย์เพิ่มขึ้น
- การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ จะหนุนความต้องการใช้บริการทางการแพทย์ที่ทันสมัยและเทคโนโลยีขั้นสูงมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดย สศช.คาดว่า จำนวนผู้สูงอายุ(มากกว่า 60 ปี) จะเพิ่มขึ้นจาก 9.1 ล้านคนในปัจจุบันเป็น 10.3 ล้านคนในปี 2562 ขณะที่ทางการประเมินว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นจาก 6.3 หมื่นล้านบาทในปี 2553(2.1% ของ GDP) เป็น 22.8 หมื่นล้านบาท(2.8% ของ GDP) ในปี 2565(จากแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฉบับที่ 12 พ.ศ. 2560-2564)
- อัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อร้ายแรง(Noncommunicable desease:NCD) ของคนไทยมีมากขึ้น อาทิ โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคปอดบวม โดยผู้ป่วยในไทยมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรคค่อนข้างมาก อาทิ มีอัตราการสูบบุหรี่สูง การดื่ม
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูงถึง 6.5 ลิตรต่อคนต่อปี การบริโภคน้ำตาลสูงสุดในอาเซียน เป็นต้น ทำให้ความต้องการใช้บริการทางการแพทย์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
(จากบทความเรื่อง แนวโน้มธุรกิจ/อุตสาหกรรม ปี 2561-2563 ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน มุมมองวิจัยกรุงศรี โดย พูลสุข นิลกิจศรานนท์)
นอกจากนี้แนวโน้มธุรกิจการทำประกันสุขภาพที่เติบโตอย่างมาก เนื่องจากประชาชนเริ่มจัดการความเสี่ยงโดยการซื้อประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น ทางโรงพยาบาลฯ จึงเข้าร่วมกับบริษัทประกันต่างๆ ให้ผู้มีสิทธิประกันได้รับการรักษาที่ดีในราคาที่เหมาะสม เพื่อขยายฐานผู้รับบริการไปยังกลุ่มดังกล่าวมากขึ้น นอกจากนี้การที่ประเทศไทยเข้าสู่การเป็นสมาชิกของสังคมอาเซียน(AEC) ทางโรงพยาบาลฯ จึงยังเร่งแผนการตลาดเชิงรุกในประเทศที่มีศักยภาพสูง เช่น พม่า และกัมพูชา ซึ่งจะขยายตลาดผ่านบริษัทตัวแทนเป็นหลัก
ในปี 2561 โรงพยาบาลฯ ได้เตรียมงบประมาณเพื่อปรับปรุงอาคารสถานที่ รวมทั้งระบบพื้นฐานต่างๆ เสริมความแข็งแกร่งของทีมแพทย์ และบุคคลากรทางการแพทย์ โดยในส่วนของตัวอาคารจะมีแผนงานก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอกใหม่เป็นอาคาร 8 ชั้น เพื่อทำให้บรรยากาศภายในโรงพยาบาล เป็นอาคารที่มีภาพเป็นโรงพยาบาลสมัยใหม่ มีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศรองรับยุคไทยแลนด์ 4.0 รวมทั้งอาคารจอดรถใหม่ เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้บริการในการจอดรถ ในด้านการบริการทางการแพทย์ที่มีการให้บริการในระดับตติยภูมิในทุกๆโรค แล้วยังเดินหน้าความเป็นเลิศศูนย์การแพทย์ 5 ด้าน อันได้แก่ ศูนย์โรคกระดูกและข้อ ศูนย์โรคทางเดินอาหารและตับ ศูนย์โรคระบบประสาท ศูนย์โรคหัวใจ และศูนย์เวชศาสตร์แม่และบุตร ซึ่งในปีนี้จะให้บริการคลินิกวัยทองเพิ่มขึ้น นอกจากนี้มีแผนการพัฒนา ศูนย์จักษุ และศูนย์โรคทางเดินปัสสาวะ เพื่อรองรับความต้องการของสังผู้สูงวัย
นอกจากนี้ทางโรงพยาบาลฯ ยังลงทุนพัฒนาการให้บริการที่เป็นเลิศ โดยเน้นการให้ความห่วงใยต่อผู้รับบริการ ทางโรงพยาบาลเชื่อมั่นว่า ด้วยการลงทุนในด้านต่างๆ ดังกล่าว โรงพยาบาลจะสามารถบรรลุเป้าหมาย ทั้งด้านผลการรักษา การให้บริการ และด้านธุรกิจ เพื่อเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นดังกล่าว โรงพยาบาลฯ จึงได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ 5 ชุด ในช่วงไตรมาสที่ 2 ภายใต้คำว่า “เป็นห่วงนะ” โดยชุด Corporate มีความยาว 30 วินาที และเปิดตัวพร้อมภาพยนตร์เกี่ยวกับ 4 ศูนย์การรักษาเฉพาะทาง ความยาว 1-2 นาที กลยุทธ์หลักของการเปิดตัวโฆษณาใหม่นี้ นำเสนอในรูปแบบความอบอุ่น น่ารัก และยิ้มยิ้ม ผ่านตัวละครครอบครัวผู้เข้ารับการตรวจรักษาและบุคลากรของโรงพยาบาลในมุมมองที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายในแต่ละศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง รวมถึงเน้นย้ำความใส่ใจในทุกรายละเอียดในการรักษาดูแลด้วยความเชี่ยวชาญให้กับคนไข้เสมือนเป็นคนในครอบครัว จะเริ่มเผยแพร่ผ่านสื่อโทรทัศน์ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคมนี้ ซึ่งตรงกับวันเกิดของ
โรงพยาบาล โดยเจาะกลุ่มเป้าหมาย อายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป เพื่อเป็นการตอกย้ำการก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน
อีกหนึ่งตัวอย่างคือ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ที่ผ่านมานี้ โรงพยาบาลได้ร่วมกับชมรมพนักงานเกษียณอายุการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) จัดสัมมนาประชาชนให้ความรู้กับสมาชิกในหัวข้อเรื่อง โรคน้ำเกินในโพรงสมอง-NPH บรรยายโดย รศ.นพ.ประจักษ์ ศรีรพีพัฒน์ ศัลยแพทย์ระบบประสาทและสมอง โดยในการสัมมนาได้ถ่ายทอดผ่าน Facebook Live ด้วย หลังจากสัมมนาได้นำคลิปมาโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียอีกครั้ง ทำให้มีการส่งต่อกันอย่างมากมายทำให้เกิดการตระหนักรับรู้ในโรคนี้เพิ่มมากขึ้น ทำให้ผู้ที่ได้รับชมนำผู้สูงอายุในครอบครัวเข้ามารับบริการเพื่อตรวจคัดกรองเป็นจำนวนมาก
นายแพทย์สุทธิชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า “ในวาระครบรอบ 41 ปี ของโรงพยาบาลธนบุรี ในปีนี้ เพื่อเป็นการตอบแทนต่อประชาชนไทย จึงได้จัดทำโครงการเพื่อสังคม โดยให้บริการตรวจ ผู้สูงอายุที่มีอาการผิดปกติที่ข้อเข่าฟรีจำนวน 141 ราย โดยรายละเอียดเพิ่มเติมจะได้ให้ท่านผู้อำนวยการแพทย์ ได้กล่าวในลำดับถัดไป