พิธีกรรม ฆ่าควายนับแสนตัวบูชาเทพเจ้า
พิธี บูชายัญดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาล “คาธิไม” ของชาวฮินดู ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุก 5 ปี ที่ศาสนสถานคาธิไม ห่างจากกรุงกาฏมาณฑุ เมืองหลวงประมาณ 150 กิโลเมตร โดยในแต่ละครั้งจะต้องสังเวยด้วยชีวิตควายแพะไก่และนกพิราบกว่า200,000ตัว คณะกรรมการการจัดงาน เผยว่า มีควายถูกฆ่าบูชายัญไปแล้วกว่า 15,000 ตัวเมื่อวานนี้ แต่ แพะ ไก่ นกพิราบ ที่ถูกฆ่าสังเวยชีวิตในวันนี้ (25) มากมายจนนับจำนวนไม่ได้ ซึ่งเป็นการสะท้อนความเชื่อต่อเทพเจ้า
คาธิไม เทพเจ้าแห่งอำนาจ ตามความเชื่อของชาวเนปาล ซึ่งร้อยละ 80 จากประชากร 27 ล้านคนเป็นชาวฮินดู พิธีกรรม ดังกล่าวถูกนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนประณามอย่างหนัก รวมถึง บริชิตต์ บาร์โดต์ นักแสดงชาวฝรั่งเศส ซึ่งเรียกร้องให้ชาวเนปาลยุติประเพณีที่สืบทอดกันมานานนับร้อยปีนี้
เครดิต www.pinonlines.com/node/5691
พิธีกรรม หั่นศพให้อีแร้งกิน
ที่ ทิเบตและเนปาลมีอาชีพหนึ่งคือ ด็อมเอ็มส์
ด็อมเอ็มส์ ก็คล้ายๆ กับ สัปเหร่อบ้าน เราแหละ แต่การกระทำต่อศพของเขามันไม่เหมือนบ้านเราเท่านั้นเอง บ้านเราตกแต่งศพ แต่ทิเบตเขานั้นต้องกระหน่ำศพ ใช้ ฆ้อนที่ใหญ่และหนากระหน่ำศพใส่ร่างศพจนกระดูกแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และเมื่อทุบจนถึงเวลาอันควร ร่างศพที่เพิ่งตายหรือตายมานานแล้วจะกลายเป็นเศษเนื้อที่สัตว์ปีกขนาดใหญ่ นั้นคืออีแร้งที่พวกด็อมเอ็มส์เลี้ยงไว้เป็นฝูง เพื่อให้แร้งพวกนั้นกินศพให้หายไปอย่างรวดเร็วพวก ด็อมเอ็มส์นี้เชี่ยวชาญเรื่องจัดการศพมากๆ พวกเขามีเครื่องมือหลายชนิดในการหั่นเชือดเฉือนศพคนให้เป็นเศษเล็กเศษน้อย อย่างรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์
ภาพที่ท่านได้เห็น ต่อไปนี้ความจริงทางการทิเบตและเนปาลเขาไม่อยากให้ถ่ายนะครับ ออกจะห้ามด้วยซ้ำ เพราะทางการทิเบตค่อนข้างห่างภาพลักษณ์ประเทศพอสมควร เพราะรายได้หลักของเขามาจากการท่องเที่ยวนี้
ส่วนการกำเนิดของพิธีนี้ยังเป็นเรื่องลึกลับไม่มีใครรู้ประวัติ ว่าเริ่มเมื่อไร แต่เป็นพิธีกรรมทางศาสนาพุทธทิเบตที่สำคัญมากชาวทิเบต ทุกคนจะได้รับเชิญให้ไปเป็นพยานในการทำพิธีนี้โดยทั่วกันชาวทิเบตเชื่อว่า เมื่อคนตายแล้ว ศพก็คือเปลือกที่ว่างเปล่าส่วนวิญญาณนั้นได้ออกจากร่างไปเกิดใหม่แล้ว ส่วนศพก็จะให้เป็นอาหารแก่นกแร้งนั้นเชื่อกันว่า นกแร้งนั้นมีฐานะเทียบเท่าเทพบุตรและเทพธิดาซึ่งเทพทั้งหลายเหล่านี้ จะนำเอาวิญญาณผู้ตายไปสู่สวรรค์ นอกจากนี้การให้แร้งกินยังถือว่าเป็นการให้ทาน เพราะการให้อาหารด้วยศพนี้ จะทำให้นกแร้งไม่ต้องไปจับสัตว์เล็ก ๆ เป็นอาหารไปได้หลายมื้อ ทำให้ช่วยสัตว์เล็ก ๆ ไว้ได้หลายชีวิต....
เครดิต http://fwd-amazingworld.blogspot.com
พิธีกรรม เผาตัวเองตายตามสามี
Suttee หรือ Sati คือพิธี ศพ ทางศาสนาของชาวฮินดูที่สืบทอดต่อๆกันมาในประเทศอินเดีย โดยให้หญิงม่ายที่กำลังเศร้าโศกเสียใจจากการที่สามีเสียชีวิต โดยภรรยามานั่งข้างๆศพสามีของเธอในกองฟืนที่ใช้ในการเผาศพ และเธอก็จะถูกเผาทั้งเป็นเคียงข้างศพสามี หรือถ้าเมียคนไหนไม่ยอม หรือหนีออกจากกองเพลิง ก็จะถูกจับมัดแล้วโยนเข้ากองเพลิงให้ตายตกตามสามีไป
พิธีกรรม นี้ถูกสืบทอดกันมาในอินเดียเป็นเวลานาน อินเดียถูกยึดครองโดยของอังกฤษ พวกผู้ปกครองชาวอังกฤษเห็นว่า พิธีกรรมดังกล่าวเป็นสิ่งที่เ***้ยมโหดร้ายมากจึงได้ยกเลิก และถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งผิดกฎหมายในปี 1829 แต่ก็มีการแอบลักลอบกระทำกันอีกเรื่อยมา
เครดิต http://wowboom.blogspot.com/2009/04/suttee.html
พิธีกรรม ควักหัวใจบูชาเทพเจ้าของชาวมายา
พิธีการบูชายันต์ของเผ่ามายานี้ มักจะต้องตัดอวัยวะของเชลยครับ เพื่อให้มีความเจ็บปวดและก็จะพิสูจน์ว่านักรบคนนั้นควรค่าแก่การบูชายันต์ ที่จะเกิด เขาจะไม่ต้องแสดงความเจ็บปวดออกมาระหว่างการทรมานนั้น และการทำให้อวัยวะเพศมีบาดแผล น่าจะเป็นขั้นตอนหนึ่งของพิธีกรรมด้วย การบูชายันต์ด้วยเลือดคือแก่นสำคัญของวิถีชีวิตของชาวมายาครับ
แท่นบูชาคือสิ่งที่คาดว่าชาวมายา ใช้บูชายันต์เชลยสงครามครับ เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายได้ถูกตัดหัว หรือว่ากระชากคอให้ขาดไป และหัวใจของเหยื่อยังคงเต้นอยู่นั้น เลือดของเหยื่อจะถูกละเลงไปทั่ววิหารครับ ทั้งนี้เพื่อสังเวยเทพเจ้า และเมื่อเสร็จแล้ว ศพก็จะถูกถลกหนังออกมาครับ เพื่อจะไปให้นักบวชของเผ่ามายาคลุม มีการเต้นระบำกันด้วย
พวกชาวมายาถือว่า ชีวิตมีค่าและยิ่งใหญ่มากครับ ดังนั้นพวกเขาจึงถือว่า การบูชายันต์ด้วยมนุษย์คือสิ่งล้ำค่าที่คู่ควรแก่การถวายแด่เทพเจ้า เชลยที่ถูกทรมานมาแล้วบางรายถูกลากตามบันไดที่สูงชันของวิหาร แห่งแท่นจารึก และถูกทำให้อับอายและเจ็บปวดยิ่งขึ้น ที่ข้างบนนั้นแต่การบูชาด้วยเลือด ไม่ได้มีเลือดเฉพาะศัตรูเท่านั้นครับ ทุกครั้งที่ชนะสงคราม พระราชาพาคาลจะแทงอวัยวะเพศของตน เพื่อให้เลือดไหลสู่แท่นบูชาบวงสรวงเทพเจ้า ส่วนพระราชินีก็จะกรีดลิ้นของตนเพื่อการเดียวกัน
เครดิต http://www.puansanid.com/forums/showthread.php?t=1305
พิธีกรรม ล่าแม่มด
การล่าแม่มดนี้มีจริงในประวัติศาสตร์ ครับ โดยการล่าแม่มดนั้นจะเริ่มต้นในสมัยยุคมืดของฝั่งตะวันตก (ค.ศ.800 – 1450) โดยการล่าแม่มดนั้นจะเกิดขึ้นในช่วงกลางของยุคมืด ซึ่งเหตุผลที่ล่านั้นเพราะว่ามีการกล่าวหาว่า แม่มดคือผู้รับใช้ของซาตาน การที่โลกเกิดโรคระบาด ภัยธรรมชาติ หรือคนตายไม่ทราบสาเหตุนั้น เกิดจากพลังของแม่มดทั้งสิ้น ซึ่งในยุคนั้นได้มีการสันนิษฐานต่างๆจากเหล่านักบวช ทำให้หญิงสาวแก่ชรา มักถูกใส่ร้ายว่าเป็นแม่มด และผู้ที่มีหน้าตาสวยงาม รูปร่างดีเกหินไป ก็จะถูกใส่ร้ายเช่นกัน
โดย การล่าแม่มด เมื่อจับผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดได้แล้ว จะต้องได้รับการทรมานอย่างเ***้ยมโหดเกินมนุษย์ เช่นการโดนตอกตรึงร่าง หรือลากไปตามท้องถนนในผู้คนเอาก้อนหินปาใส่ หรือการทรมานในรูปแบบต่างๆ จะทำการเผาทั้งเป็นประจานต่อหน้าผู้คนทั่วไป ซึ่งการล่าแม่มด นับเป็นอีก1รอยด่างของประวัติศาตร์ที่บ่งบอกถึงความเชื่อแบบผิดๆ
โดยการล่าแม่มดนั้น ได้รุนแรงอย่างมากตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่15 เรื่อยไปจนถึงศตวรรษที่17 โดยสุดท้ายนั้น ผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิต จากการล่าแม่มดมีถึงเกือบ4แสนคน ทีเดียว
เครดิต http://www.gconsole.com/
พิธีกรรมฆ่าลูกตัวเองบูชาเทพเจ้า
ชน เผ่าชาว " เคอร์มัน " ในประเทศอินเดีย หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างจากกัลตาตาไปทางทิศเหนือ 220 กิโลเมตร ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างชายแดนประเทศอนเดียกับบังกลาเทศ เป็นหมู่บ้านที่อยู่ในป่าทึบห่างไกลความเจริญ ชาวเคอร์ปันดำรงชีพด้วยการปลูกข้าวและพืชผัก ส่วนผู้ชายจะออกล่าสัตว์มาเป็นอาหารเนื้อ ประเพณีความเชื่อที่โหดร้ายแห่งนี้จะกระทำกัน 1 ครั้งต่อปี และจัดเป็นประจำทุกปี โดยพิธีบูชายัญนี้มีชื่อเรียกว่า " กาจัน " อันเป็นประเพณีที่ชนเผ่านี้จัดขึ้นเพื่อบูชาต่อพระศิวะผู้เป็นใหญ่ ทั้งนี้เพื่อเป็นการขอพรต่อองค์พระศิวะเทพเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์ของเขาให้มา ประสาทพรอำนวยให้พวกเขาได้รับความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องอาหาร การกิน ปลอดภัยจากศัตรูและสัตว์ร้าย รวมทั้งโรคภัยไข้เจ็บด้วย โดยสิ่งที่จะนำมาเป็นเครื่องสักการะบูชายัญต่อองค์เทพผู้ยิ่งใหญ่ของเขา เพื่อให้เทพพอพระทัยก็คือ ศีรษะบุตรชายคนแรกของครอบครัว
ดังนั้นชนเผ่าแห่งนี้จะเข้มงวดให้เรื่องของการแจ้งจำนวนสมาชิกของครอบครัว เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีภรรยาตั้งท้องเป็นบุตรคนแรกจะต้องแจ้งให้ทางหัวหน้า เผ่าทราบ เพราะจะได้นำมาเป็นเครื่องบูชายัญในพิธีกรรมดังกล่าว ซึ่งหากในปีไหนมีเด็กชายคนแรกของครอบครัวเกิดเยอะ พวกเขาก็ยินดีปรีดาเป็นอย่างมากที่จะได้ทำการบูชายัญให้เป็นที่พอใจต่อองค์ พระศิวะ เนื่องจากมีจำนวนศีรษะของเด็ก
ชายมาประกอบพิธีหลายหัวนั่งเอง
พิธีบูชายัญอุบาทว์นี้จะกำหนดขึ้นในคืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ ของเดือนหนึ่งในปีนั้น ชนเผ่านี้เรียกคืนนี้ว่า ศิวาราตรี ทุกคนในหมู่บ้านจะออกมาชุมนุมกันโดยมีหัวหน้าเผ่าเป็นประธาน จากนัน้จะมีการ้องรำทำเพลงเพื่อสรรเสริญต่อเทพศิวะจบแล้ว หัวหน้าเผ่าจะสั่งให้คนที่เป็นพ่อของนำบุตรชายคนแรกของครอบครัวมาที่แท่น บูชาต่อเบื้องหน้ารูปสลักศิวเทพ จากนั้นผู้เป็นพ่อจะใช้มีดปลายงอคล้ายมีดกูรข่าซึ่งคมกริบ ฟันคอลูกชายของตนเองจนขาดออกจากกัน แล้วจึงนำหัวของบุตรชายไปใส่สาแรหที่เตรียมไว้ เพื่อนำไปร่วมในพิธีเต้นรำต่อไป และเมื่อหลังเสร็จพิธรแล้วผู้เป็นพ่อต้องนำศีรษะของลูกชายไปแขวนไว้ในบ้าน ของตน จนกว่าศีรษะนั้นจะผุสลายไปเอง ถ้ายังไม่ผุสลายก็ให้นำมาร่วมในพิธีบูชายัญของปีต่อ ๆ ไป
ประเพณีความเชื่อของชนเผ่านี้ ไม่มีใครรูว่าเกิดมาจากอะไร ทำไมชนเผ่านี้ถึงต้องหลงเชื่อในสิ่งที่ผิดและโหดเ***้_ยมอย่างนี้ แต่ทุกวันนี้ชาวเผ่าเคอร์ยันยังคงประกอบพิธีการบูชายัญศีรษะบุตรชายคนแรกของ ครอบครัวอยู่ทุกปี..!
เครดิต http://www.oknation.net/blog/sup/page9