Change.org ปรากฏแคมเปญรณรงค์ช่วยเหลือ ลี จุง ฮี หญิงชาวเกาหลีใต้ หลังเธอเผยเรื่องราวสุดหดหู่ใจ ถูกพ่อแม่พี่น้องแท้ ๆ และสามี ข่มขืน บังคับเป็นโสเภณีทอดกายให้ชายนับพัน ไม่พอลูกชายเธอยังถูกบังคับขายประเวณีตั้งแต่อายุ 5-6 ขวบ ร้องขอความเป็นธรรมหลังแจ้งเรื่องกับตำรวจแต่ไม่มีใครเชื่อ หาว่าเธอโกหก
แคมเปญรณรงค์ดังกล่าวปรากฏขึ้นบนเว็บไซต์ Change.org เมื่อสัปดาห์ก่อน บอกเล่าเรื่องราวชะตากรรมชีวิต นรกบนดินของ ลี จุง ฮี หญิงวัยกว่า 40 ปี และลูกชายวัยรุ่น 2 คน เธอและลูกต้องเผชิญกับความโหดร้ายของปีศาจในคราบพ่อแม่ พี่น้อง และสามี ทั้งหมดล้วนบังคับเธอให้ทำในสิ่งทารุณจิตใจเธอมากที่สุด นั่นคือ การฝืนใจเป็นโสเภณี ถูกข่มขืนมาแล้วนับพันครั้ง และที่น่าหดหู่ไปกว่านั้นยังต้องร่วมเซ็กส์หมู่กับคนในครอบครัวด้วย
ลี จุง ฮี เปิดเผยเรื่องราวของเธอว่า เธอถูกศิษยาภิบาลของโบสถ์ที่ครอบครัวเธอไปเป็นประจำ ข่มขืนตอนอายุ 22 ปี จนเธอท้อง จากนั้นเธอเลยแต่งงานกับเขา โดยได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวของเธอ เพราะครอบครัวของเธอก็รู้จักมานาน แต่หลังจากที่เธอแต่งงานกับสามีแล้ว ก็ได้พบว่าเขามีภรรยาหลายคนและมีลูกชายด้วย แต่กว่าจะรู้ก็สายเกินไปแล้ว เธอมีลูกกับเขา และสามีก็ได้กลายเป็นหนึ่งในครอบครัวของเธอเป็นที่เรียบร้อย โดยสามีมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับครอบครัวเธอมาก
หลังจากที่แต่งงาน ชีวิตเธอก็เข้าสู่วงจรอุบาทว์ที่โหดร้ายยิ่งกว่านรก เมื่อสามีของเธอได้ร่วมมือกับครอบครัวเธอในการทำธุรกิจค้าประเวณี และโสเภณีก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือเธอนั่นเอง พวกเขาวางยานอนหลับเธอแล้วให้ชายมากหน้าหลายตามาข่มขืน หาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาเธอถูกบังคับขืนใจมาโดยตลอด รวม ๆ แล้วเธอน่าจะถูกขืนใจมาแล้วกว่า 1,000 ครั้งได้ ส่วนลูกชายทั้งสองของเธอก็มีชะตากรรมไม่ต่างอะไรกัน ถูกพ่อแท้ ๆ ซึ่งก็คือสามีเธอ บังคับให้ขายตัวตั้งแต่อายุ 5-6 ขวบ หลายปีเข้าก็น่าจะถูกข่มขืนมากว่า 300 ครั้งได้แล้ว นั่นเป็นฝันร้ายที่เลวร้ายที่สุดที่ไม่ควรจะมีเด็กคนใดได้รับ เธอเองรู้สึกหดหู่และเสียใจเป็นที่สุด ที่ไม่อาจปกป้องลูกชายอันเป็นที่รักได้ เมื่อไรที่ขัดขวางไม่ให้สามีเอาตัวลูกชายไปเป็นทาสกามของใคร เขาก็จะทำร้ายทารุณสารพัด พร้อมกับพูดอย่างหนักแน่นว่า นี่เป็นลูกชายของเขา เขาจะต้องใช้ลูกชายหาเงินให้มากเท่าที่จะทำได้ ตั้งแต่วัยเด็กเลย
ในขณะที่เขาใช้ลูกชายเป็นเครื่องมือหาเงิน หลายครั้งเขาก็มักจะพาลูกออกไปนอกบ้านบ้าง (ซึ่งเป็นส่วนน้อย) แล้วก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพความสุขนอกบ้านเอาไว้ เพื่อจะสร้างภาพกับใครต่อใครว่าครอบครัวของเราแฮปปี้ดี ไม่มีปัญหา แม้ว่าจริง ๆ แล้วจะต่างกันราวฟ้ากับเหวก็ตาม
ลี จุง ฮี บอกอีกว่า ทุกครั้งที่เธอจำยอมขายตัวให้ชายมากหน้าหลายตา สามีเธอก็จะกวาดรายได้ที่ได้รับไปทั้งหมด เธอไม่เคยได้เงินสักวอน (สกุลเงินเกาหลี) สามีไม่ให้ เพื่อที่เธอจะได้หนีไปไหนไม่ได้ และตอนที่เธอถูกบังคับขายตัว หลายครั้งสามีก็จะอัดคลิปวิดีโอเอาไว้ ขู่จะเผยแพร่ถ้าหากเธอคิดหนีไป ทำให้เธออยู่ในภาวะที่ไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่ชีวิตของตัวเอง
ไม่เพียงแค่นั้น คนในครอบครัวของเธอ รวมถึงสามี ได้มีรสนิยมที่แปลกประหลาด ทั้งหมดมักจะเล่นยาและร่วมมีเซ็กส์หมู่กัน และยังวางยาคนอื่น ๆ เพื่อใช้ในการค้าประเวณี บังคับให้ภรรยาและลูก ๆ ของเหยื่อมีเซ็กส์กันด้วย ขณะที่พี่สาวของเธอและสามี ทั้งคู่อยู่ด้วยกันประหนึ่งเป็นคู่แต่งงาน
ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เธอตกอยู่ในภาวะเลวร้ายเช่นนี้มาโดยตลอด สำหรับครอบครัวของเธอและสามีเธอแล้ว การข่มขืนและการขายตัวเป็นเรื่องที่ไม่ได้ผิดอะไร พวกเขามองว่ามันคือสิ่งดึงดูดเงินเท่านั้น สามีมักจะพาคนมาที่บ้านวันละเป็นร้อย ไม่ว่าเขาจะรู้จักหรือไม่รู้จัก และผู้คนแต่ละคนก็จะพาคนรู้จักมาอีกมากมาย พวกเขามาร่วมเสพยาและมีเซ็กส์กัน มันเหมือนกับหนังโป๊เซ็กส์หมู่เลยทีเดียว
วันไหนที่ไม่มีลูกค้า สามีก็จะสอนลูกชายเกี่ยวกับการมอบความสุขทางเพศให้กับลูกค้า และที่น่าสลดใจคือบางครั้งเขาก็ให้เธอกินยากระตุ้นเพื่อให้เธอและลูกชายได้มีเซ็กส์กัน ส่วนเขาเองก็อัดคลิปวิดีโอเอาไว้ เพื่อใช้ข่มขู่ไม่ให้เธอหนีไปหรือไปแจ้งตำรวจ นอกจากนี้สามียังข่มขืนทารุณเธอต่อหน้าลูกชาย เพื่อให้พวกเขาหวาดกลัวไม่คิดหนีไปไหนเหมือนกัน เธอรู้สึกเจ็บปวดมาก ยิ่งเห็นลูกชายต้องมาอยู่ในภาวะเช่นนี้ยิ่งเจ็บปวด
เวลาที่ทำธุรกรรมหรือทำอะไรที่ต้องมีการระบุชื่อและตัวตน สามีก็จะใช้ชื่อเธอตลอด ไม่ว่าจะเป็นการทำบัตรเครดิต เปิดบัญชีธนาคาร อะไรที่ทำแล้วดูสุ่มเสี่ยง เขาจะใช้ชื่อของเธอหมด เพราะไม่อยากให้ตัวเองเดือดร้อน ส่วนเธอเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย เธอต้องทำทุกอย่างที่สามีสั่งให้ทำ แต่เธอจำใจทำไม่ต่างอะไรจากหุ่นยนต์ และเธอก็เงียบมาโดยตลอด เพราะกลัวสามีมาก ขณะเดียวกัน พี่สาวของเธอเองก็ได้บอกเธอว่าถ้าหากวันไหนที่ตำรวจจับได้และเปิดโปงธุรกิจครอบครัวนี้ พี่สาวจะเลี้ยงลูก ๆ ให้เอง แล้วให้เธอไปติดคุกแทน
และแล้ววันหนึ่งโอกาสของเธอก็มาถึง สามีให้เธอได้หย่าร้างกับเขาแบบปลอม ๆ เขาบังคับให้เธอพาลูกออกจากบ้านไป และให้ฟ้องร้องคน 10 คน ข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเธอและลูก ซึ่งนั่นเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะทำให้เขาได้ริบเงินที่ได้จากการฟ้องร้อง เธอรู้สึกดีขึ้นมากเพราะว่าในที่สุดเธอก็ได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระ หลุดพ้นจากนรกขุมนั้น และแม้เธอจะถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจมามากมาย แต่เธอก็ไม่ขอฟ้องเอาผิดกับใคร เพราะกลัวเรื่องจะไม่จบ แต่แล้ววันหนึ่งเรื่องราวก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เธอคิดไว้
เมื่อสามีของเธอตระหนักว่าเธอหลบเลี่ยงเขาไปใช้ชีวิตของตัวเอง เขาจึงดำเนินการทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ในการเอาลูกชายกลับไปอยู่ในการดูแลของเขา และเมื่อลูกชายรู้เข้า พวกเขาก็กลัวมาก พร้อมบอกว่าไม่ต้องการจะกลับไปยืนจุดนั้นอีก ขอตายดีกว่าที่จะถูกข่มขืนอีกครั้ง ดังนั้น เธอจึงอยู่เฉยไม่ได้ ตัดสินใจฟ้องร้องเขา
ในที่สุดเมื่อปีที่แล้ว เธอก็ได้แจ้งตำรวจเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ตำรวจกลับไม่ให้ความสำคัญกับคดีนี้เท่าไรนัก ไป ๆ มา ๆ คำพูดของเธอก็กลายเป็นคำพูดที่ไม่มีน้ำหนัก เพราะตำรวจคิดว่าเธอสติไม่ดี ขณะเดียวกัน สื่อก็มาสัมภาษณ์เธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ทุกอย่างไม่เคยได้รับการออกอากาศ เพราะสามีของเธอหยุดยั้งเอาไว้
ต่อมา ระหว่างคดีนี้กำลังอยู่ระหว่างการสืบสวน ครอบครัวของเธอเองก็ได้เป็นพยานเข้าข้างสามีของเธอ โดยบอกตำรวจว่าลูกเขยไม่ได้ผิดตามที่ถูกกล่าวหา พร้อมบอกว่าเธอสติไม่ดี คำพูดของครอบครัวเธอนั้นมีน้ำหนักมาก ตำรวจจึงยุติการสืบสวนคดีนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เธออยากจะแขวนคอตายต่อหน้าตำรวจมาก แต่ก็ไม่มีใครฟังเธออยู่ดี จนถึงตอนนี้ เวลาที่เรื่องนี้ถูกสืบสวน เธอและลูกชายก็ถูกปฏิบัติอย่างตัวอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีใครฟังเธอและลูกชายเลยแม้แต่คนเดียว พอขอให้มีการสอบสวนกันแบบเผชิญหน้ากับคู่กรณี ก็ไม่เคยได้รับอนุญาตให้ทำอย่างนั้น แถมตำรวจยังกันไม่ให้เธอและลูกชายไปพบกับสามี ตำรวจปฏิเสธทุกอย่างที่เธอขอ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เธอออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมอีกครั้ง เธออยากจะทำให้โลกรู้ว่านี่คือความจริง เธอไม่ได้โกหก และหวังว่าการให้ความเป็นธรรมกับเธอและลูก จะทำให้บาดแผลในใจลูกชายของเธอถูกเยียวยาได้บ้าง
อย่างไรก็ดี หลังจากเรื่องราวสุดสลดเรื่องนี้ถูกตีแผ่ในหน้าสื่อเกาหลีใต้ ไม่นานนักก็ถูกอุ้มหายไป หรือไม่เรื่องก็เงียบไม่มีการพูดถึงใด ๆ อีก ขณะที่เรื่องราวอันโหดร้ายเกินกว่าที่มนุษย์จะรับได้นี้ ก็ได้ถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพราะทุกอย่างดูเหมือนโหดร้ายเกินไป จนไม่น่าเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้ อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของ ลี จุง ฮี ตกเป็นข่าวไปทั่วโลก และมีชาวเน็ตหลายประเทศ ติดแฮชแท็ก #HelpLeeJungHee เพื่อตั้งกลุ่มรณรงค์การช่วยเหลือเธออีกด้วย
ภาพจาก 이정희 สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบคอทคอม