“... ผมเอาเนื้อเด็กนั่นกลับมาบ้าน เนื้อหนังท่อนล่างของไอ้เด็กคนนั้นถือเป็นสุดยอดของเนื้อทั้งหลาย ... ผมชอบนัก ... ยิ่งตรงพวงอัณฑะกับไอ้จู๋เล็กๆ ของมันถือว่าเป็นสุดยอดเนื้อสวรรค์ ผมรู้ดีว่าไขมันของเนื้อส่วนนั้นทำให้เนื้อนุ่ม หอม อร่อย ผมแล่เนื้อส่วนใบหูของมันใส่รวมกับจมูก ชิ้นส่วนของแก้มและพุงกะทิของมันออกมา จากนั้นก็เอาไปเคี่ยวรวมกันในหม้อสตูว์ เมื่อเติมหอมหัวใหญ่ แครอท หัวผักกาด ขึ้นฉ่าย ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย มันก็กลายเป็นสตูว์รสเลิศ ผมหันไปสาละวนกับการแล่เนื้อส่วนสะโพกและก้นของไอ้เด็กคนนั้น ตัดพวงอัณฑะและไอ้จู๋ของมันแยกออกไปแล้วล้างของดีพวกนั้นให้สะอาดเอี่ยม ส่วนก้นของมันนั้นผมเอาวางจัดใส่ถาดใหญ่ตกแต่งด้วยชิ้นเบคอนให้ดูงดงามก่อน จะนำไปเข้าเตาอบนาน 15 นาที เมื่อเปิดเตาอบออกมา กลิ่นเนื้อนั้นหอมฉุยเตะจมูก ผมสูดกินเนื้ออบอยู่นานพอดู ก่อนที่จะจัดหอมหัวใหญ่ 4 หัว วางรอบถาด ผมบรรจงใช้ช้อนขนาดใหญ่ตักน้ำราดบนก้นอบช้าๆ ก่อนที่จะนำไปเข้าเตาอบต่อ 2 ชั่วโมง เมื่อครบเวลาแห่งการรอคอย ผมค่อยๆ เปิดเตาอบออกมา สูดกลิ่นเนื้ออบที่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลช้าๆ ตักน้ำเกรวี่ราดลงไปด้วยใจระทึก แล้วบรรจงกินเนื้อนั้นอย่างกระหายอยาก รสชาติมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้อยู่สวรรค์ ผมบรรจงกินเนื้อนั้นอย่างบรรจงกินเนื้อนั้นให้รู้คุณค่าถึงความอร่อย 4 วันเต็มๆ ผมหวนกลับไปกินพวงอัณฑะอบของมันตามไปด้วย รสชาติของมันช่างกรุบกรอบ หวานมันราวกับกินถั่วหรือลูกนัทอร่อยๆ ผมพยายามเคี้ยวให้ละเอียดเพราะกลัวมันจะหมดไวเกินไป สำหรับจู๋ของมันผมเคี้ยวไม่ไหว จึงโยนมันลงโถส้วมไป แม้จะเสียดายก็ตาม...”
(คำสารภาพของอัลเบิร์ต ฟิช ในขณะที่ถูกจองจำในคุกซิ
อัลเบิร์ท ฟิช เป็นฆาตกรต่อเนื่องประเภทกินศพของสหรัฐอเมริกา ฉายาก็มีหลากหลาย เช่น ผู้ชายสีเทา (The Gray Man) มนุษย์หมาป่าแห่งวิสทีเรีย (The Werewolf of Wysteria) แวมไพร์แห่งบรูคลินน์ (The Brooklyn Vampire) และบูกี่แมน (The Boogeyman) เขาถูกกล่าวหาว่าสังหารเด็กทั้งหมด 6 คน เพียงเพราะอยากกินเนื้อ และเขาถูกประหารด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า
อัลเบิร์ท ฟิช เป็นหนึ่งในฆาตกรโรคจิตสะท้านโลกไม่เป็นสองรองใครในเรื่องวิปลาสและความโหด เ***้ยมขณะสังหารเหยื่อ ความเพี้ยนของเขากลายเป็นต้นแบบให้ฆาตกรในยุคหลังๆ อยากทำตามอย่างเขาบ้าง แต่โดยรวมแล้วฟิชก็ยังเหนียวแน่นในการเป็นต้นแบบของฆาตกรกินคนจอมวิปลาสที่ ติดอันดับต้นๆ ของโลกอยู่ดี
เกรซ บัดด์
จุด เริ่มต้น
วันที่ 28 พฤษภาคม 1928 ชายชราแต่งตัวดีคนหนึ่งซึ่งแนะนำตัวเองว่าชื่อ แฟรงค์
ฮาวาร์ด ปรากฏตัวขึ้นที่อพาร์ทเมนท์ของครอบครัวบัดด์ในกรุงนิวยอร์ค - เอ็ดเวิร์ด (18) ลูกชายคนโตได้ลงประกาศหางานในหนังสือพิมพ์เพื่อหารายได้มาช่วยจุนเจือครอบ ครัว และฮาวาร์ดก็บอกว่าเขามีฟาร์มอยู่ที่ลองไอส์แลนด์ และมาที่นี่เพื่อสัมภาษณ์เอ็ดเวิร์ดว่าจะเหมาะสมกับงานหรือไม่ ในวันนี้ชายชราบอกว่าเขายังต้องสัมภาษณ์ผู้สมัครงานคนอื่นด้วยและกลับไปโดย ไม่ได้ทำอะไร
วันที่ 3 มิถุนายน ชายชรากลับมาหาครอบครัวบัดด์อีกครั้งและบอกว่าเขาตกลงรับเอ็ดเวิร์ดเข้าทำ งาน ครอบครัวบัดด์ต่างพากันดีใจ นอกจากนี้ชายชรายังแสดงน้ำใจด้วยการนำคอทเทจชีสมาฝากและให้เงินแก่ลูกชายคน รองไว้เป็นค่าขนมอีกด้วย ครอบครัวบัดด์จึงรู้สึกสนิทสนมกับชายชราในเวลาไม่ช้า เมื่อรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันเสร็จ ชายชราก็กล่าวขึ้นว่าน้องสาวของเขาที่อาศัยอยู่ที่บล๊อกที่ 137 ในถนนโคลัมบัสจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับเด็กผู้หญิงในวันนี้พอดี และเขาก็อยากจะพา เกรซ บัดด์ (10) ไปร่วมงานวันเกิดที่ว่านี้ด้วย ในครั้งแรก มิสซิสบัดด์ไม่อยากให้เกรซไปนัก แต่อัลเบิร์ตผู้พ่อก็เห็นว่าเกรซควรจะได้มีโอกาสไปเปิดหูเปิดตาบ้าง พวกเขาจึงส่งเกรซในชุดออกงานสีขาวออกจากบ้านไปพร้อมกับชายชรา และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้เห็นเกรซ
เมื่อเกรซไม่กลับมา ในวันรุ่งขึ้นครอบครัวบัดด์ก็แจ้งความกับตำรวจ หากการสืบสวนก็มืดแปดด้าน ถนนโคลัมบัสมีเพียงแค่ 109 บล๊อกและก็ไม่มีฟาร์มของ "แฟรงค์ โฮวาร์ด" อยู่ที่ลองไอส์แลนด์ - เวลาผ่านไปกว่า 6 ปี ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1934 มีจดหมายประหลาดส่งมายังบ้านบัดด์ มิสซิสบัดด์เป็นผู้รับ หากแต่เธออ่านหนังสือไม่ออก ลูกชายของเธอจึงเป็นผู้อ่านและรีบนำแจ้งตำรวจทันที
"คุณนายบัดด์ ที่รัก ... ในปี ค.ศ.1894 เพื่อนผมคนหนึ่งเดินทางไปกับเรือเดินสมุทรชื่อทาโคม่าในฐานะต้นหน มีกัปตันชื่อ จอห์น เดวิส เดินทางจากซานฟรานซิสโกไปยังฮ่องกง, ประเทศจีน เพื่อนของผมและสหายขี้เหล้าลงจากเรือไปเมากันกลิ้งหลังจากเรือเทียบท่าที่ ฮ่องกง เมาจนกระทั่งลืมเวลา พอกลับมาที่ท่าเรือ ให้ตายสิ ! เรือออกจากท่าเรือไปเสียแล้ว
ตอนนั้นในเมืองจีนเกิดภาวะอดอยากไป ทั่ว เนื้ออะไรก็ตามมีราคาประมาณปอนด์ละ 1-3 ดอลลาร์ บรรดาครอบครัวคนจนจำต้องขายลูกออกไปเพื่อนำเงินไปซื้ออาหารเพื่อต่อชีวิตให้ พ้นจากความอดตาย เด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี พ่อแม่ไม่ให้ออกไปเดินเล่นบนถนน เพราะกลัวลูกตนถูกจับไปชำแหละเอาเนื้อไปกินหรือไปขาย หากใครไปร้านขายเนื้อแล้วขอซื้อเนื้อสำหรับทำสเต็กหรือทำสตูวว์ พ่อค้าจะหยิบร่างของเด็กที่ชำแหละเรียบร้อยแล้วมาวางตรงหน้า แล้วถามว่าจะแล่หรือสับตรงไหนดีว่ามา ส่วนที่เปื่อยและดีที่สุดจะถูกขายในราคาที่แพงหูฉี่
เพื่อนเล่าให้ผมฟังว่าเขากินเนื้อคน ทุกวัน จนกระทั่งหลงใหลในความอร่อยของเนื้อมนุษย์ที่มีรสชาติวิเศษมากกว่าเนื้อใดๆ ในโลกก็ว่าได้ เมื่อเขากลับมาถึงนิวยอร์ค ความอยากลิ้มรสเนื้อมนุษย์ทำให้เขาไปลักพาตัวเด็กผู้ชายมาสองคน อายุ 7 ขวบ หนึ่งคน อายุ 11 ขวบอีกคน ไปที่บ้าน จากนั้นก็แก้ผ้าเด็กทั้งสองออกหมดแล้วเอาไปเผาทิ้งทำลายหลักฐาน
เขามัดเด็กไว้ในห้องน้ำ เอาไม้ทุบตี ทรมานเด็กทั้งสอง วันละหลายครั้งหลายคราเพื่อให้เนื้อนุ่ม เขาเชือดเด็กวัย 11 ขวบก่อน เพราะมันอ้วนจ่ำม่ำยั่วน้ำลาย ก้นของมันนุ่มอย่าบอกใคร ไม่มีกินทิ้งกินขว้างนะจะบอกให้ ยกเว้นเพียงหัวกับกระดูกแข็งๆ เท่านั้นที่ถูกทิ้ง นอกนั้นกินเรียบ ก้นของมันถูกเสียบเหล็กย่างแบบน้ำตก ที่เหลือต้มซุปบ้าง ทำสตูว์บ้าง เอาไปทอดบ้าง ส่วนเด็กอายุ 7 ขวบที่เหลือก็จัดการแบบเดียวกัน ตอนนั้นผมอยู่บ้านเลขที่ 409 ถนน อีฮันเดรด เขาพูดกรอกหูผมทุกวันว่า
“เฮ้ ! เพื่อนยากเนื้อมนุษย์สุดแสนจะอร่อย ... ไม่ลองไม่รู้ ไม่ลองไม่รู้” เป็นไงเป็นกันผมตัดสินใจลองดูด้วยตนเอง และผมก็เลือกครอบครัวคุณ
ผมซื้อสตรอว์เบอรี่กับเนยกระปุกมาแหก ตาคุณในวันที่ 3 มิถุนายน 1928 ขณะที่กินอาหารกลางวันของคุณ เกรซี่นั่งตักผมเพราะแกคิดว่าผมคือตาแก่ใจดี ผมตัดสินใจในตอนนั้นว่าจะเอาเธอไปกิน ผมหลอกว่าจะพาเธอไปงานปาร์ตี้วันเกิดหลานสาวผม พวกคุณก็อนุญาตให้ผมพาเธอไป แต่ผมไม่ได้เธอพาไปงานปาร์ตี้อะไรนั่นหรอก ผมพาเธอไปบ้านร้างในเวทซ์เจอร์ที่ผมหมายตาไว้ล่วงหน้าแล้ว พอไปถึงผมก็บอกให้เธอรออยู่ข้างนอกก่อน เธอก็เดินไปเก็บดอกไม้ป่าตามประสาเด็ก
ส่วนผมขึ้นไปชั้นบน เปลื้องเสื้อผ้าออกจนหมด เหลือแต่ตัวล่อนจ้อน ผมรู้ว่าหากผมฆ่าเธอแล้วเลือดของเธอคงจะเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าจนเป็นหลักฐาน มัดตัวผมในภายหลัง จากนั้นผมโผล่หน้ามาที่หน้าต่างเรียกเธอให้ขึ้นมา ผมวิ่งซ่อนในห้องน้ำ พอเธอเดินมาใกล้ผมก็โผล่ออกไปหาเธอ
พอเธอเห็นผมมาในลักษณะล่อนจ้อน เธอตกใจมาก ร้องลั่นและพยายามหนีลงชั้นล่าง ผมรวบตัวเธอไว้ เธอเตะ ถีบ ข่วน กัด ปากร้องจะฟ้องแม่ให้เล่นงานตาแก่บ้า ผมหักคอเธอตายคามือ จากนั้นลงมือชำแหละเธอออกเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อสะดวกในการนำไปทำอาหารกินที่บ้านผม
ผมจะบอกให้นะ ก้นของลูกสาวคุณที่ผมย่างสุกแล้วมันหวานนุ่มอร่อยจนเอาเสต็กเนื้อชิ้นเบ้อ เริ่มมาแลกก็ไม่ยอม ผมทำโน่นทำนี่ตามเมนูที่ผมเลือกสรรอยู่ 9 วันถึงกินเนื้อเธอหมดเกลี้ยง ผมสาบานได้นะผมไม่ได้ข่มขืนเธอ เธอตายแบบสาวบริสุทธิ์"
ครึ่งแรกไม่น่าจะมี มูลความจริง แต่ในครึ่งหลังเป็นการบ่งอย่างชัดเจนว่าเขาฆ่าและกินเกรซลงไปเรียบร้อยแล้ว ทีมสืบสวนนำโดยสารวัตรคิงทำการไล่เลียงที่มาของจดหมายฉบับนี้จากซองจดหมาย และเมื่อตามไปจนถึงอพาร์เมนท์แห่งหนึ่ง หญิงผู้ดูแลก็ตอบได้ในทันทีที่ฟังรูปพรรณสันฐานของ "แฟรงค์ ฮาวาร์ด" ว่าเขาน่าจะเป็น "อัลเบิร์ท ฟิช" ซึ่งเช่าห้องอยู่ข้างบนนี่เอง (ที่จริงฟิชย้ายออกไปแล้ว แต่กลับมาที่อพาร์ทเมนท์เพื่อรอรับเช็คที่ลูกชายส่งมาให้) สารวัตรคิงทำการจับกุมฟิชในที่นั้นทันที (มีรายงานว่าเมื่อตำรวจเข้าไปถาม เขาก็ตอบรับด้วยท่าทีสงบว่าตนเองคือ อัลเบิร์ท ฟิช จริง หากจู่ๆ ก็ควักมีดโกนออกมา ซึ่งตำรวจก็ทำการปลดอาวุธได้ทันและเมื่อทำการค้นตัวก็พบมีดโกนซ่อนอยู่อีก จำนวนหนึ่ง
ฟิชยอมรับว่าเขาฆ่าและกินเกรซจริง (ฟิชกล่าวว่า ตอนแรกเขาเล็งเอ็ดเวิร์ดไว้เป็นเหยื่อ หากเมื่อได้เจอตัวจริงก็เห็นว่าเอ็ดเวิร์ดตัวใหญ่และแข็งแรงเกินกว่าที่เขา จะทำอะไรได้ และเมื่อได้เห็นเกรซ เขาก็ตัดสินใจว่าเขาจะต้องกินเธอให้ได้) นอกจากนี้เขายังสารภาพอีกด้วยว่าเขาเคยย้ายบ้านมาแล้วกว่า 23 รัฐ และในแต่ละรัฐได้ก่อคดีฆาตกรรมไว้อย่างน้อยรัฐละ 1 ครั้ง เหยื่อของเขาเป็นเด็กชาย-หญิง จากปี 1910-1934 เขาได้สังหารไปกว่า 400 คนเลยทีเดียว จำนวนนี้เป็นคำให้การของฟิชเอง ซึ่งไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริงเท็จแค่ไหน แต่ตามคดีที่มีหลักฐานแน่นอนแล้ว เขาฆ่าเด็กกว่า 15 คน และน่าจะมีผู้ตกเป็นเหยื่อประมาณ 100 คน (ในจำนวนนี้ ส่วนใหญ่เป็นคดีที่เขาก่อในชื่อของ Gray Man ซึ่งในครั้งแรกไม่มีใครนึกว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับคดีของเกรซ บัดด์)
รูป เอ็กซเรย์ช่องท้องของฟิช มีตะปูอยู่ถึง 29 อัน
อัลเบิร์ท ฟิช เกิดที่วอชิงตัน ดีซี ในปี 1870 เขาถูกเลี้ยงดูมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งมีการลงโทษเด็กที่ทำผิดด้วยการ เฆี่ยน (มีการวิจารณ์ว่าที่ฟิชมีรสนิยม SM ก็เพราะการลงโทษที่ว่านี่เอง) เมื่อายุได้ 15 ปี ก็ออกมาทำงานกับช่างทาสี และเมื่ออายุ 28 ปี ก็แต่งงานกับผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า 9 ปี เขามีบุตร 6 คน ซึ่งแต่ละคนต่างก็ได้รับความรักใคร่เอ็นดูอย่างที่เด็กธรรมดาควรจะเป็น นับเป็นครอบครัวตัวอย่างที่ใครๆ ต่างก็อิจฉา (ในช่วงนี้ ฟิชมีคดีทำอนาจารเด็กในสลัมก็จริง แต่ยังไม่เคยก่อคดีร้ายแรงขนาดฆาตกรรม มีรายงานว่าเขาพบจิตแพทย์ในช่วงนี้ด้วย ซึ่งการวินิจฉัยก็บันทึกเพียงว่าปกติดีทุกประการ)
ฟิชเริ่มออกอาการหลังจากที่ภรรยาของ เขาหนีไปกับผู้ชาย (หลังจากนั้น เขามีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอีก 3 คน หากโดยทะเบียนสมรสแล้ว ยังเป็นชื่อภรรยาคนแรกอยู่) เขาอาศัยอาชีพช่างทาสีของตนออกเดินทางไปทั่วประเทศ อาการ SM ของเขาเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ฟิชจ้างเด็กให้ใช้แส้เฆี่ยนเขา รับประทานสิ่งปฏิกูลของผู้อื่น กระทั่งสำเร็จความใคร่ของตัวเองด้วยการแทงตะปูและเข็มลงไปรอบๆ อวัยวะเพศ (เข็มเหล่านี้ถูกแทงซ้ำๆ หลายครั้งจนถอนไม่ออกและถูกปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น) นอกจากนี้ฟิชยังเล่าด้วยว่าเขาเผาทวารหนักตัวเองด้วยการเอาผ้าชุบน้ำมันยัด เข้าทางทวารหนักและจุดไฟเผา
ในไม่ช้าฟิชก็เริ่มฆ่าเด็กและกินศพของ พวกเขา ซึ่งเขาได้ให้การเกี่ยวกับ บิลลี่ กาฟฟ์เนอร์ หนึ่งในเหยื่อของเขาว่าเขาได้เฆี่ยนก้นของเด็กจนเลือดออก (เพื่อทำให้เนื้อนิ่ม) แล้วเฉือนจมูกกับหูออก เขากรีดปากจากหูจรดหูอีกข้าง ควักลูกตาออกมา ถึงตรงนี้เด็กก็ตายแล้ว จากนั้นก็เอามีดปักท้องแล้วดื่มเลือดที่ไหลออกมา ก่อนจะหั่นศพเป็นชิ้นๆ แขน มือ ถูกยัดใส่ถุงพร้อมกับหินแล้วนำไปทิ้งในบ่อ เนื้อเฉพาะส่วนที่ชอบถูกนำมาทำเป็นอาหาร หู จมูก หน้าและเนื้อที่เฉือนมาจากท้องถูกนำมาทำสตูว์ เนื้อก้นแบ่งเป็นสองส่วน นำไปอบพร้อมกับอวัยวะเพศซึ่งโปะเบคอนสับละเอียดลงไปด้วย ระหว่างอบนี้ก็ทำซอสไปพร้อมๆ กันด้วยการเติมน้ำและใส่หัวหอมลงไป ต้องคอยตักซอสราดตลอดเวลาเพื่อไม่ให้เนื้อไหม้
ทนายของฟิชยืนยันว่าเขามีความผิดปกติ ทางจิตและควรได้รับการละเว้นโทษ (แพทย์วินิจฉัยว่าฟิชเป็นไซโคพาท (APSD) ก็จริงแต่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคจิต) หากศาลก็ตัดสินประหารชีวิตในท้ายที่สุด
ซึ่งในขณะเดียวกันจิตแพทย์ผู้รับผิด ชอบคดีของฟิชก็กล่าวว่า อาการของฟิชเลวร้ายจนไม่อาจรักษาได้ก็จริง หากการลงโทษก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเช่นกัน เนื่องจากฟิชกำลังใจจดใจจ่อรอเก้าอี้ไฟฟ้าของเขาอยู่อย่างตื่นเต้นทีเดียว - อัลเบิร์ท ฟิช ถูกประหารด้วยเก้าอี้ไฟฟ้าเมื่อวันที่ 16 มกราคม 1936