ในครั้งแผ่นดินยุโรปเข้าสู่ ‘กลียุค’ เมื่อนาซีเยอรมนีเรืองอำนาจ จึงเกิดลัทธิรักษาสายโลหิต อารยัน สายเลือดบริสุทธื์เปรียบดั่งมนุษย์ทองคำ ด้วยโครงการ ‘เลเบนบอน’ คลังผลิตทารกใต้ดินของนาซี
ในยุคที่นาซีเยอรมนีเรืองอำนาจ แม้จะมีผู้รู้ล้วงความลับของ ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ ผู้นำชื่อกระฉ่อนโลกจากพรรคนาซีเยอรมนีว่าแท้จริงแล้ว รากเหง้าที่แท้จริงของเขาคือชาว ‘ยิว’ แต่ไม่วายที่ในอดีต เขาจะยืนกรานประกาศก้องว่าตนเองคือเชื้อชาติ ‘อารยัน’ บริสุทธิ์ เชื้อสายเยอรมันตามความเชื่อดาร์วินิสต์ทางสังคมหรือเผ่าพันธุ์นิยม
และปฏิเสธเผ่าพันธุ์ที่แท้จริงของตัวเอง ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับ และถูกดูหมิ่นเกลียดชังจากสังคม ทั้งยังบัญชาการ ให้ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของตัวเอง เลือดเย็น โหดร้ายทารุณหาที่เปรียบไม่ได้ และด้วยความภาคภูมิใจในมโนภาพสายเลือดอารยัน ชนชาติชั้นเลิศ เขาจึงจัดตั้งโครงการลับที่มีชื่อว่า ‘เลเบนบอน’ ขึ้น ? ซึ่งกินระยะเวลายาวนาน 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2478 จนถึงปี 2488
‘เลเบนบอน’ ภาษาเยอรมนี แปลว่า บ่อเกิดของชีวิต มีจุดมุ่งหมายคล้ายโรงงานผลิตเด็ก เพิ่มจำนวนสายเลือดบริสุทธิ์ ที่พรรคพวกเชื่อว่าเป็นชาติพันธุ์ที่ดีที่สุดในโลก ด้วยลักษณะตาฟ้า หรือเขียว สูงสง่า ผมสีบลอนด์ และมีผิวพรรณขาวผุดผ่อง ในขณะที่ การสร้างสังคมอันสูงส่งของอารยัน จำเป็นต้องกำจัด คนไข้โรคจิต ผู้ป่วยเรื้อรัง คนชราในบ้านพักคนชรา กลุ่มเพศทางเลือก คนยิปซี ถือเป็นตัวถ่วงความเจริญของอาณาจักร ภายใต้ลัทธิที่มีชื่อว่า ‘Eugenics’ของ ฮิตเลอร์ผู้นำพรรคนาซี ซึ่งถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดในหนังสือชื่อว่า ‘Doctors from hell’
จุดหมายปลายทางโครงการนรกแห่งนาซี มุ่งหวังว่าโครงการใต้ดินนี้จะนำประเทศไปสู่อาณาจักรแห่ง ‘อารยันนาซี’และบุตรแห่งเลเบนบอน จะเป็นประชากรแถวหน้าให้กับหน่วย เอสเอส กองระวังป้องกัน ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเป็นกองกำลังองครักษ์ประจำตัว อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ หนึ่งในโครงการลับสุดยอด ที่น่าสะพรึงกลัว และเป็นตราบาปทางด้านศีลธรรมของโลก แบบที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกและจดจำไปอีกแสนนาน
โครงการผลิตเด็กนี้ ริเริ่มโดย ‘เฮ็นริช ฮิมม์เลอร์’ หัวหน้าหน่วย ‘เอสเอส’ (SS) ตำรวจองครักษ์แนวหน้าของฮิตเลอร์ เริ่มต้นตำนานตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค. 2478 เพื่อแก้ไขปัญหาในเยอรมนี ที่มีอัตราการเกิดของเชื้อชาติแห่งมนุษย์ทองคำอารยันดิ่งลงทุกขณะ
โดยการดำเนินการจะเริ่มจากการเฟ้นหาแม่พันธุ์ที่มีเชื้อชาติอารยันอันบริสุทธิ์ และให้กำเนิดทายาทให้แก่หน่วยเอสเอส อย่างลับๆ แต่ก่อนจะส่งมอบไปยังองค์กรแนวหน้านาซีนั้น จะต้องมีการทดสอบโดยเกณฑ์ของแม่พันธุ์เหล่านี้ ด้วยการวัดสีผม สีตา และรากเหง้าของวงศ์ตระกูลขึ้นไปอย่างน้อย 3 ช่วงอายุคน
ผลคือเพียงร้อยละ 40 เท่านั้นที่จะผ่านการคัดกรองอย่างเข้มข้นในแต่ละด่าน จนได้เป็นแม่พันธุ์อันสมบูรณ์แบบ เมื่อได้แม่พันธุ์ที่ปราศจากการเจือปนของชนชาติด้อยคุณภาพแล้ว ก็จะสามารถเข้าสู่โปรแกรมเลเบนบอนได้ในที่สุด ซึ่งพ่อพันธุ์ก็หาใช่คนอื่นไกล หากแต่เป็นสมาชิกภายในหน่วยเอสเอส ด้วยการดำเนินการด้วยการอุปโลกน์วิธีการทางวิทยาศาสตร์ลวงโลกชื่อว่า ‘นูเจนิก’ ซึ่งอ้างว่าเป็นขั้นตอนในการยกระดับพันธุกรรมให้สูงส่ง ฉลาด สุขภาพแข็งแรง และมีจรรยาที่เที่ยงธรรม แต่แท้ที่จริงแล้วกลับเป็นเรื่องที่เสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาเท่านั้น เพราะมันไม่มีอยู่จริง !!
โดยหลังจากได้ทายาทหน่วยเอสเอสในฐานะสายโลหิตอันบริสุทธิ์ อนาคตแนวหน้าหน่วยอารยันนาซีแล้ว พวกเขาจะถูกส่งไปยัง ‘บ้านหลังแรก’ ท่ามกลางหมู่บ้านเล็กๆ เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต ใน ‘Steinhoering’ ไม่ไกลจากเมืองมิวนิค ทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีที่สุด ที่แย่งชิงมาจากครอบครัวของชาวยิวที่ร่ำรวย และถูกกดขี่ในยุคนั้นอย่างแสนสาหัส แต่โครงการนี้มีคลังสะสมทารก ในลักษณะดาวกระจาย ทั้งในนอร์เวย์ ออสเตรีย เบลเยียม ฮอลแลนด์ ฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก และ เดนมาร์ก ซึ่งหน่วยเอสเอส ยังมีนโยบายในการเปิดรับแม่พันธุ์พื้นเมือง เพื่อผลิตทายาท อารยันนาซี ให้แก่หน่วยเอสเอสอีกด้วย
นอกจากโครงการในการสร้างประชากรในกองทัพด้วยตนเองแล้ว ยังมีอีกนโยบายซึ่งเป็น ‘ทางลัด’ ที่สร้างบาดแผลให้กับครอบครัวจำนวนไม่น้อยในยุคนั้น คือการลักพาตัวเด็กที่มีเชื้อชาติที่ดีที่สุดจากบิดา-มารดาแท้ๆ รวมไปถึงเด็กกำพร้าในสถานสงเคราะห์ เพื่อส่งไปยัง เลเบนบอน ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า เด็กอารยันกว่า 10,000 คนถูกลักพาตัวมาจากโปแลนด์
ทั้งนี้หลังจากได้ตัวเด็กเหล่านี้มา พวกเขาจะถูกล้างสมองให้ลืมเลือนพ่อแม่ที่แท้จริง หรือสร้างเรื่องให้พวกเขาเข้าใจว่าถูกพ่อแม่แท้ๆทอดทิ้งโดยเจตนา หากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้คุม ก็จะถูกทรมานหรือถ่ายโอนไปยังค่ายกักกันอันโหดร้าย หากเชื่อฟัง ก็จะปลูกฝังให้เข้าลัทธิ จงรักภัคดี และเป็นผู้นำตั้งแต่ยังเยาว์วัย
แม้โครงการดังกล่าวจะไม่เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลกเท่าใดนัก ทว่ามันเป็นโครงการสำคัญในการทำลายเชื้อชาติ ด้อยคุณภาพ เพื่อสร้าง เชื้อชาติอันสูงส่ง ภายใต้การน้อมนำ ทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินมาใช้อย่างผิดๆ จนกระทั่งทำให้ทั้งภูมิภาคเข้าสู่ ‘กลียุค’ แผ่นดินนองเลือด และลุกเป็นไฟ แนวคิดอารยันนาซี ไม่เพียงแต่เพิ่มจำนวนเชื้อชาติอันสูงส่ง แต่ยังทำลายทรัพยากรมนุษย์ ที่พวกเขาคิดว่า ไม่เป็นประโยชน์ใดๆ จึงดำเนินการบัญชาให้คงเครือของผู้ที่มีญาติ มีความผิดปกติทางสติปัญญา หรือ ปัญญาอ่อน ต้องเข้ารับการทำหมันเพื่อไม่ให้ผลิตประชากรออกมาเป็นภาระแก่สังคม ครั้งนั้นมีผู้ถูกบังคับให้ทำหมันทางตรงกว่า 60,000 คน ไม่หมายรวมถึงการหลอกล่า ฉายรังสี เพื่อตัดวงศ์วานของชาวยิวอีกเป็นจำนวนมหาศาล
โดยจุดจบของโครงการ ‘เลเบนบอน’ เริ่มขึ้นเมื่อสงครามสิ้นสุดลง หลังจากที่ฮิตเลอร์ลาโลก พ่ายแพ้สงคราม ทหารอเมริกันได้บุกเข้าไปในบ้าน Steinhoering และพบกับทายาท อารยันนาซี กว่า 300 คน ตั้งแต่วัย 6เดือน ไปจนถึง 6 ปี ซึ่งเด็กเหล่านี้ได้ถูกส่งไปยังครอบครัวที่แท้จริงและส่งกลับไปยังประเทศของตนเอง
แต่เด็กส่วนใหญ่จะถูกปลอมแปลงชาติกำเนิดจึงไม่สามารถจะส่งกลับไปยังถิ่นฐานของตนเองได้ ดังนั้นจึงมักจะถูกส่งไปยังสถานสงเคราะห์ หรือถูกรับไปเลี้ยงอีกทอดหนึ่ง
ศิลัญชญา ปานมงคล : รายงาน