มหาวิทยาลัยเวอจิเนียร์เทค ที่โชก่อคดีฆ่าหมู่
ความ อดทนของมนุษย์ที่ถือกันว่ายิ่งยวดที่สุดนั้น ประการหนึ่งคือความทนต่อความอยุติธรรมทั้งปวง เพราะบางครั้งความยุติธรรมที่คนส่วนใหญ่บอกกลับกลายเป็นความยุติธรรมจอมปลอม ประเภทที่ใช้กฎหมู่ แทนกฎหมาย หรือใช้ช่องโหว่ของกฎหมายเข้าเล่นงาน เราจะเห็นว่ามีหลายต่อหลายเหตุการณ์ที่คนดีซึ่งไม่ได้มีนิสัยโจรมาแต่อ้อน แต่ออกต้องลุกขึ้นมาใช้ความรุนแรงเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตน เนื่องจากทนรอให้กฎหมายที่ปรุพรุนไปด้วยช่องโหว่จัดการไม่ไหว เพราะคนที่เป็นผู้ร้ายนั้นก่อนจะ ทำกรรมชั่วก็ย่อมเตรียมตัวหาทางหนีทีไล่ไว้เป็นอย่างดี ผิดกับคนดีที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่แล้วก็ต้องกลายมาเป็นฝ่ายเดือดร้อนอยู่ เสมอๆ
เรื่องราว (ฉาว) เหล่านี้ได้เกิดในประเทศที่มีชื่อด้านหลักกฎหมายแน่นปึ้กอย่างอเมริกามานัก ต่อนัก จนถึงกับมีการรวมเล่มเป็นกรณีศึกษาเอาไว้ให้นักศึกษาได้เล่าเรียนกันถึงคดี ตัวอย่างที่ใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายหรือคดีที่ดูเหมือนว่าจะมีมูล แต่พอถึงเวลาคำตัดสินออกมากลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ดังเช่นคดีของนักเบสบอลชื่อดังอย่าง "โอ.เจ.ซิมป์สัน" ผู้ถูกตั้งข้อหาว่าฆ่าอดีตภรรยาและเพื่อนชายอีกรายหนึ่งของเธอจนตายคา บ้านพัก ซึ่งคดีนี้นับเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่มีผู้สนใจติดตามกันมากที่สุดในสหรัฐ อเมริกา จนได้ชื่อว่าเป็นคดีแห่งชาติเลยก็ว่าได้ โดยทางซิมป์สันได้จ้างทีมทนายระดับหัวกะทิของประเทศ ซึ่งมีทั้งทนายมือฉมังและศาสตราจารย์ ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยซานตาคลาราเข้าร่วมทีมด้วย
ความ อยุติธรรมที่ได้รับ อาจทำให้บางคนต้องลุกขึ้นสู้ด้วยตัวเอง (ภาพจาก Law Abiding Citizen)
ใน กระบวนการรวบรวมพยานหลักฐานนั้น ทางตำรวจลอสแอนเจลิสได้ใช้เทคโนโลยีด้านนิติวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยที่สุด ทั้งการตรวจลายนิ้วมือ, หารอยเลือดส่งตรวจดีเอ็นเอ และใช้ผู้เชี่ยวชาญดีเอ็นเอมาช่วยในการแปลผล ซึ่งก็พบว่ามีส่วนหนึ่งเป็นเลือดของผู้เสียชีวิตและส่วนหนึ่งเป็นเลือดของโอ .เจ.ซิมป์สัน แต่เมื่อเอาเข้าจริงหลักฐานก็ยังไม่แน่นหนาพอ จึงทำให้ในอีกหนึ่งปีต่อมาคำพิพากษาจึงตัดสินให้โอ.เจ.ซิมป์สันพ้นข้อกล่าว หา แต่ ก็ไม่สามารถจับตัวฆาตกรที่แท้จริงได้ ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์มหาศาลตามมา และคดีนี้ก็ถูกจัดเป็นเคสกรณีศึกษาถึงช่องโหว่ของกระบวนการยุติธรรมใน อเมริกาที่โด่งดังที่สุดกรณีหนึ่ง
ดังนั้น จึงมีหลายต่อหลายครั้งที่ผู้ถูกกระทำลุกขึ้น "สร้าง" ความ ยุติธรรมด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการฟ้องสื่อ หรือแม้แต่ตั้งศาลเตี้ยชำระความกันเอาเอง เพราะเห็นว่าตนไม่สามารถหาความยุติธรรมตามกฎหมายได้อีกแล้ว
หรือบาง กรณีความอยุติธรรมก็อาจจะไม่ได้ มาจากผลของกฎหมายโดยตรง แต่เป็นแรงกดดันจากความอยุติธรรมในสังคม ดังเช่นเรื่องของโช ซึง ฮุย นักศึกษาชาวเกาหลี ที่ก่อคดีช็อกโลกที่เวอจิเนียร์ เทค สหรัฐอเมริกา เนื่องจากถูกวงสังคมเพื่อนกดดัน จนถึงขีดสุด โชถูกเหยียดว่าเป็นชาวเอเชีย แถมเขา ยังพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง ยิ่งทำให้อยู่ในสภาพที่อึดอัดเหลือแสน เขาเคยถูกเขียนข้อความล้อเลียนกลางห้องว่า "กลับเมืองจีนไปซะ" แล้วทุกคนก็ พร้อมใจหัวเราะกันครืนอย่างเห็นขันไปด้วย เขาถูกหมู่เพื่อนร่วมชั้นเรียนซึ่ง ส่วนใหญ่เป็นลูกเศรษฐีล้อเลียนกดดันต่างๆนานา จนทำให้เกิดอาการซึมเศร้า ซึ่งเมื่อแพทย์ตรวจแล้ว ก็พบว่าเขามีโรควิตกกังวลร่วมเข้ามาอีกด้วย
ญาติ สนิทของโชได้เล่าให้ฟังว่า "ทุกครั้งที่กลับจากมหาวิทยาลัย โชจะร้องไห้คร่ำครวญว่า ไม่อยากกลับไปเรียนไปพบเจอเพื่อนอีกต่อไป" เมื่อถึงขั้นนี้โชก็เริ่มเก็บตัวมากขึ้นและพูดน้อยลงทุกที จนในที่สุดความกดดันทั้งหลายก็ระเบิดขึ้นมา เขานำปืนพร้อมด้วยกระสุนเต็มพิกัดเดินดุ่ย เข้าโรงเรียนไปยิงเพื่อนนักศึกษาและครูจนเสียชีวิต ไปถึง 32 ราย จากนั้นก็ได้กลับมาปลิดชีพตัวเอง พร้อมทั้งทิ้งข้อความสั้นๆเล่าความอยุติธรรมที่เขา ได้รับมาตลอด ซึ่งในนั้นมีคำว่า "ลูกเศรษฐี (Rich kids)" ที่ถูกตามใจจนเสียคนทั้งหลาย และก็ได้นิยามความตายของเขาว่าเป็นการเสียสละยิ่งใหญ่ ดุจเดียวกับพระคริสต์
ซึ่ง จากการวิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย แล้วก็ล้วนแต่เห็นตรงกันว่า อาการทางจิตถึงขั้นที่สุด ของเขานี้มีแรงผลักดันมาจากความอยุติธรรมที่มาจากสังคมโดยรอบ ทำให้วันหนึ่งเด็กชายที่ฉลาดเฉลียวอนาคตไกลต้องกลายมาเป็นฆาตกรเมื่อทนความ กดดันที่เลวร้ายจากเพื่อนนักศึกษาไม่ไหว
นอกจากนั้น ก็ยังมีเรื่องการล้างแค้นของเหล่า สาวๆในรัฐวิสคอนซินที่ถูกชายเจ้าชู้หลอกทั้งใจแถมทั้งเงินด้วยทำให้เกิดไฟ แค้นหนักหนาจึงรวม หัวกันกับหญิงที่ตกเป็นเหยื่อชายมากเล่ห์นี้ พวกเธอช่วยกันลวงเขาไปที่โมเต็ลเล็กๆแห่งหนึ่งก่อนจะจับมัดมือเท้าขึงพืด แล้วก็รุมสกรัมชกต่อยแถมส่งท้ายแค้นไว้ด้วยการเอากาวเหนียวพิเศษทาราดอวัยวะ เพศของชายเจ้าชู้ติดไว้กับหน้าท้องก่อนจะ หลบหนีไปโดยทิ้งให้เขาอยู่ในสภาพนั้นจนมีคนมาพบเข้า
แต่ทว่าบางครั้ง เพลิงแค้นก็กลับสลายไปได้ ดังที่ได้เคยมีกรณีมาแล้วในสหรัฐอเมริกา ที่คุณแม่
ผู้ มีลูกสาววัยรุ่นกำลังสะสวยน่ารักรายหนึ่งถูกเพื่อน ชายลวงพาไปให้เพื่อนหญิงที่หมั่นไส้เธอฆ่าทิ้งเสียอย่างเลือดเย็นโดยการกด น้ำ แรกทีเดียวคุณแม่ ผู้หัวใจสลายนี้ก็ประกาศกร้าวว่าจะต้องเอาฆาตกรมาลงโทษให้สาสมให้ได้ แต่เมื่อนานวันไปเมื่อเธอ เห็นเด็กหนุ่มผู้เป็นฆาตกรทำตัวดีขึ้นเรื่อยๆในคุก จนเวลาผ่านไปนับสิบปีคุณแม่รายนี้ก็ค่อยใจอ่อนจนที่สุดก็ยอมพบกับฆาตกร แล้วก็ยอมให้อภัย จนถึงขั้นกอดกันได้ ก็เป็นอันว่าเธอได้ไขกุญแจคลายตรวนความแค้นที่มัดหัวใจไว้นับสิบปีนี้ได้ออก จนเกลี้ยงแล้วในวันนั้นเอง
ส่วน อีกรายหนึ่งนั้นก็เป็นกรณีที่ดังมากเช่นกัน โดยคุณแม่รายนี้สูญเสียลูกชายไปเพราะถูกแก๊งเด็กวัยรุ่นอันธพาลฆ่า เมื่อจับตัวมือสังหารได้ คุณแม่ของเด็กหนุ่มผู้เสียชีวิตได้ไปเข้าฟังการไต่สวนคดีด้วยทุกนัด จนมาถึงครั้งสุดท้ายที่เป็นนัดตัดสิน ศาลได้พิพากษาให้จำคุกฆาตกรวัยรุ่น รายนี้ เมื่อได้ฟังดังนั้นเธอก็ได้เดินตรงเข้าไปหาเขา จ้องหน้า แล้วกล่าว สั้นๆว่า "ฉันจะฆ่าแก" เมื่อเวลาผ่านไปครึ่งปีที่เด็กหนุ่มได้รับโทษทัณฑ์ หญิงผู้นั้นก็ได้เข้าไปเยี่ยมคนที่สังหารลูกชายเธอ ซึ่งเธอเป็นคนแรกที่ไป เยี่ยมเขา เพราะเขาเป็นเด็กข้างถนน ไม่มีครอบครัว ไม่มีใครเหลียวแล ดังนั้น จึงมีแต่เธอที่แวะเวียนไปหาเขา หาขนม ของกิน ของใช้ส่วนตัวไปให้ เพราะรู้ว่าอย่างไรเด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่มีญาติคนไหนเหลืออีกแล้ว ครั้นถึงวันที่เขาพ้นโทษออกมา เธอก็ได้ช่วยหางานให้เขาทำ และเมื่อรู้ว่าเขาไม่มีที่ไปก็ชวนให้พักเสียด้วยกันที่บ้านของเธอ บ้านของเด็กหนุ่มที่เขาฆ่าเองกับมือ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปเกือบปี ความประพฤติที่ดีของเขาก็สร้างความประทับใจให้คนรอบข้างมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งเธอได้นั่งลงจ้องหน้าแล้วถามว่า ยังจำได้ใช่ไหมถึงคำที่เธอพูดกับเขาในศาลว่าจะฆ่าเขาเสียให้ตาย ซึ่งเด็กหนุ่มก็บอกว่าจำได้ พร้อมกับแววตาที่เริ่มหวั่นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อ แต่แล้วเธอก็บอกว่าบัดนี้เธอได้ทำดังนั้นแล้ว ด้วยการฆ่าฆาตกรคนเก่าที่อยู่ในตัวเด็กหนุ่มออกไป ตอนนี้เขาเหลือแต่ความเป็นวัยรุ่นที่สดใสเปี่ยมด้วยคุณภาพแทน และในที่สุดเธอก็ได้รับเขาเป็นลูกบุญธรรมนับเป็นการจบอย่างชื่นมื่น
ภาพ ถ่ายตัวเองของโช ซึง ฮุย
รวม ทั้งกรณีของ "แดเนียล เพิร์ล" นักข่าวชาวอเมริกัน ที่ถูกพวกหัวรุนแรงฆ่าตัดศีรษะอย่างโหดเ***้ยมในปากีสถานเมื่อปี 2002 ซึ่งคุณพ่อ ของเขาซึ่งเป็นถึงศาสตราจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิแห่งมหาวิทยาลัยยูซีแอลเอในสหรัฐ อเมริกา ได้แสดงความโกรธแค้นเกลียดชังต่อผู้ที่สังหารบุตรชายของเขาอย่างเปิดเผย และประกาศว่าจะไม่มีวันให้อภัยได้ ซึ่งในเวลาต่อมา ศาสตราจารย์เพิร์ลก็ได้แปรเพลิงแค้นนั้นให้กลายเป็นมูลนิธิแดเนียล เพิร์ล เพื่อสานความเข้าใจอันดีระหว่างชาติอิสลามและยิว นอกจากนั้น ยังมีกรณีของเหยื่อผู้เสียชีวิตจากการก่อการร้ายช็อกโลกที่ตึกเวิลด์เทรด ซึ่งมี ทั้งพ่อแม่ สามี ภรรยา และลูกอีกมากมายที่ต้องเป็นกำพร้าไปจากผลของ การแก้แค้นแบบเห็นแก่ตัว ใช้ชีวิตผู้อื่นเป็นเครื่องมือต่อรอง ซึ่งก็มีหลายต่อหลายรายที่แปรความแค้นไปในทางสร้างสรรค์และปวารณาตัวเพื่อ สร้าง สมานฉันท์ให้โลก โดยใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์หัวใจสลายนี้
เรื่อง ของการแก้แค้นความอยุติธรรมนี้ ถูกนำมาใช้เป็นประเด็นอยู่ เสมอในงานวรรณกรรมและภาพยนตร์ ดังเช่นล่าสุดนี้ก็มีภาพยนตร์ฮอลลีวูด "Law Abiding Citizen ขังฮีโร่ โค่นอำนาจ" ที่เป็นเรื่องของผู้ชาย ที่มีชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป แต่แล้วภรรยาและลูกของเขากลับถูกฆาตกรรมอย่างโหด******ม และแม้ว่าตำรวจจะจับฆาตกรได้ แต่ด้วยรูโหว่ ของกฎหมายทำให้ฆาตกรถูกปล่อยเป็นอิสระ จนทำให้เขาตัดสินใจใช้ ศาลเตี้ยตามล้างแค้นฆาตกรโหดด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ความยุติธรรมต้องหาเอาเอง
Credit by: ไทยรัฐออนไลน์
โดย ทีมงาน ต่วย'ตูน