ซิโม ฮายฮา สไนเปอร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก
Simo Hayha the world's Greatest Sniper
ซิ โม ฮายฮาระหว่างสงครามฤดูหนาว
ชีวิต ในช่วงแรกและระหว่างสงคราม
ชีวิตใน ช่วงบั้นปลาย
ซิโม ฮายฮา (17 ธันวาคม 1905-1 เมษายน 2002) ได้รับฉายาจากกองทัพโซเวียตว่า "White Death"=ไวท์ เดธ) เรียกเป็นภาษาไทยได้อย่างเท่ๆว่า "ความตายสีขาว" (ในภาษารัสเซียเรียกว่า Belaya Smert=เบลาย่า สเมิร์ท,ภาษาฟินแลนด์เรียกว่า Valkoinen kuolema=วาลคอยเน็น คูโอเลม่า) เขาเป็นทหารฟินแลนด์ที่ในปัจจุบันยังถกเถียงกันว่าเขาคือพลซุ่มยิงที่ยิ่ง ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ใช่หรือไม่?
ชีวิตในช่วงแรก และระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง(Early life, World War II service)
ฮายฮากับชุดพราง สีขาวที่ทำให้กลมกลืนกับภูมิประเทศที่มีแต่หิมะเป็นอย่างมาก
ฮา ยฮาเกิดในเขตเทศบาลเลาซ์จาไว(municipality of Rautjarvi) ซึ่งปัจจุบันเป็นชายแดนของรัสเซียไปแล้ว เขาได้เข้าเป็นทหารในกองทัพเมื่อปี 1925 โดยก่อนหน้านี้เขามีอาชีพเป็นชาวนาหรือเกษตรกร เมื่อสงครามฤดูหนาว(Winter War) ซึ่งเกิดขึ้นจากรัสเซียได้ทำการรุกรานฟินแลนด์ตั้งแต่ปี1939-1940 เริ่มขึ้น เขาก็ได้รับหน้าที่ให้เป็นพลซุ่มยิงเพื่อสังหารทหารกองทัพแดง ในภูมิประเทศที่มีอุณหภูมิหนาวตั้งแต่ -20 ถึง-40องศาเซลเซียล (วัดเป็นองศาฟาเรนไฮต์ก็จะอยู่ที่ระหว่าง -4ถึง-40องศา) โดยฮายฮาใส่ชุดพรางหิมะสีขาว เขามียอดสังหารทหารโซเวียตที่ได้รับการยืนยันถึง 542ศพ!
สถิตินี้มา จากกองทัพฟินแลนด์จากสนามรบที่คอลล่า (battlefield of Kollaa)ซึ่งเป็นสถานที่ฮายฮาสามารถสังหารข้าศึกได้เป็นจำนวนมากถึง 542ศพ จากสมุดบันทึกที่คอลล่าได้กล่าวไว้ว่า "ฮายฮาใช้ปืนยาวเอ็ม 28 (Finnish Mosin nagant M28 rifle) ซึ่งเป็นปืนที่ฟินแลนด์ลอกแบบมาจากปืนยาวแบบโมซินนากังค์ของรัสเซีย (Soviet Mosin nagant rifle) รู้จักกันในหมู่ทหารฟินแลนด์ว่า ปืนยาว"พีสตี้คอร์ว่า"("Pystykorva") ซึ่งหมายถึงสุนัขพันธ์สปิทส์(spitz) ฮายฮาเป็นคนที่มีรูปร่างเล็กคือมีความสูง 5ฟุต3นิ้ว(1.60เมตร ฝรั่งเขาถือว่าเตื้ยนะ) เขา ชอบใช้ศูนย์เล็งเหล็กมาตรฐานของปืน(iron sights) สำหรับยิงเป้าขนาดเล็ก(smaller target) มากกว่าสูนย์แบบกล้องเล็ง(telescopic sights) สาเหตุมาจากเวลาเขาจะใช้กล้องเล็งจะต้องยกศรีษะสูงขึ้น และเขายังบอกว่าการใช้ศูนย์เล็งแบบเปิดนี้จะช่วยปกปิดที่ตั้งของตนเองได้ดี กว่าศูนย์แบบกล้องเล็ง (แสง อาทิตย์ที่ส่องใส่เลนส์ของศูนย์กล้องจะสะท้อนแสงทำให้ถูกพบที่ตั้งของพลซุ่ม ยิงได้)
สุนัขพันธุ์สปิทส์ช่างน่ารักน่า ชัง
(ไม่สมที่เรียกเป็นชื่อปืนเล้ย)
นอกจากเขาจะใช้ปืนยาวในการซุ่มยิงศัตรูแล้ว ฮายฮายังใช้ปืนกลมือซูโอมิ เอ็ม31อันโด่งดังของฟินแลนด์ยิงสังหารทหารรัสเซียไปเป็นจำนวนมากถึงสอง ร้อยกว่าศพ!ทำให้ยอดสังหารข้าศึกของเขาเพิ่มเป็นถึง 705ศพ!(ยิ่งเทพเข้าไปใหญ่ คนรึเปล่าเนี่ย?) หลังจากทำหน้าที่ในสนามรบมาเป็นเวลากว่า100วัน เขาก็ถูกกระสุนปืนใส่บาดเจ็บ เฉลี่ยแล้วในวันๆหนึ่งเขาจะสังหารศัตรูไป 5ศพ ส่วนใหญ่ฮายฮาจะซุ่มยิงตอนกลางวันในฤดูหนาวแทบจะ ทุกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกกว่าพลซุ่มยิงคนอื่นๆของโลก
ก่อนที่ฮายฮาจะได้รับบาดเจ็บฝ่ายรัสเซียมีแผนที่จะกำจัดเขาให้ได้ ด้วยการใช้พลซุ่มยิง เรียกว่าพลซุ่มยิงก็ต้องจัดการด้วยพลซุ่มยิง(counter snipers=เคาน์เตอร์สไตรค์ เอ้ย! เคาน์เตอร์ สไนเปอร์)เรียกแบบไทยก็คือเพขรตัดเพชรหรือตาต่อต่าฟันต่อฟัน หรืออีกวิธีที่ขี้ขลาดหน่อยก็คือใช้ปืนใหญ่ยิงถล่ม(artillery strikes=อาร์ทิเลอะลี่ สไตรค์) โดยปืนใหญ่รัสเซียชอบใช้กระสุนปืนใหญ่แบบแตกกลางอากาศ(shrapnel=ชรัปเนล) ที่จะระเบิดกลางอากาศแล้วปล่อยลูกเหล็กกลมก้อนเล็กๆพุ่งลงมาเป็นสายฝน โดยโซเวียตน่าจะส่งทหารมาล่อให้ฮายฮายิงเพื่อที่จะได้ทราบตำแหน่งของเขาแล้ว จัดการยิงปืนใหญ่ถล่มใส่ซะ แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถเก็บฮายฮาได้ แถมเขาก็ไม่เคยโดนกระสุนแบบนี้เลยเรียกว่าไร้รอยแมวข่วน(เทพอีกละ) ส่วนสไนเปอร์ที่ส่งมาเก็บเขาก็ถูกฮายฮาเก็บซะเอง
กระสุนปืนใหญ่ แบบชนัปเน็ลสังเกตลูกเหล็กกลมเล็กๆในกระสุน
พอถึงวันที่ 6 มีนาคม ปี1940 ฮายฮาก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บอีกคราวนี้โดนยิงที่ขากรรไกร(jaw=จอ ถ้าคิดไม่ออกว่าตรงไหนก็ให้คิดถึงหนังเรื่องจอ 4ไว้นะครับ) ระหว่างการต่อสู้ในระยะใกล้(close combat) กระสุนพุ่งเข้าไปในหัวด้านซ้ายของเขา ฮายฮาถูกหามออกจากสนามรบโดยทหารที่หามเขากล่าวว่า "หัวของเขาหายไปครึ่งหนึ่ง" ฮายฮากลับมาได้สติเอาอีกทีก็วันที่ 13 มีนาคม(หมดสติไปตั้ง 7วันเชียวนะเนี่ย) ซึ่งพอเขาตื่นมาก็เป็นวันที่ฟินแลนด์กับรัสเซียได้ประกาศสงบศึกกันพอดี หลังจากสงครามสิ้นสุดได้ไม่นานเขาก็ได้รับการเลื่อนยศจากสิบโท(corporal) เป็นร้อยตรี(second lieutenant)
ท่าน จอมพลแมนเนอร์ไฮม์ยอดขุนศึกของฟินแลนด์
(ชุดนี้ตอนร่วมรบกับเยอรมันแล้ว)
หลายท่านคงจะคิดว่าอะไรมันจะเลื่อนยศแบบก้าวกระโดดขนาดนั้นเนอะ ผมว่าสงสัยน่าเป็นเพราะผลงานที่เทพสุดๆของเขาชัวร์ๆ โดยฮายฮาได้รับยศนี้ จากจอมพล คาร์ล กุฟตาฟ อีมิล แมนเนอร์ไฮม่(Field Marshal Carl Gustaf Emil Mannerheim) จอมพลผู้โด่งดังของฟินแลนด์ผู้บัญชาการป้องกันประเทศ และชื่อของเขาก็ถูกตั้งชื่อเป็นแนวป้องกันประเทศนั้นคือแนวแมนเนอร์ไฮม์นั้น เอง (Mannerheim Line=แมนเนอร์ไฮม์ ไลน์) ทำให้ฮายฮานับเป็นทหารคนแรกของกองทัพฟินแลนด์ ที่ได้ยศแบบข้ามขั้นขนาดนี้โดยที่ไม่มีทหารคนไหนจะเสมอเหมือนได้
ชีวิตในช่วง หลัง(Later life)
ฮา ยฮาในชุดยศร้อยตรี
ฮายฮาใช้ชีวิตหลังสงครามในการรักษาอาการบาดเจ็บหลายครั้ง จากกระสุนของทหารโซเวียตที่เจาะขากรรไกรและเข้าไปฝังในแก้มข้างซ้ายของเขา หลังสงครามโลกครั้งที่สองสงบลงเขาก็หวนกลับไปสู่วิถีชีวิตแบบเดิม คือกลับไปจับปืนเหมือนเดิมแต่ที่แตกต่างจากแต่ก่อนก็คือเขาไม่ได้ยิงคน แต่กลายเป็นนายพรานล่ากวางมูซชั้นเยี่ยม(successful moose hunter=ซัคเสดฟูล มูซ ฮันเตอร์) ก็คนมันเคยเทพนี่หน่าทำไงได้ นอกจากนี้เขายังเป็นคนเพาะพันธ์สุนัข(dog breeder=ด็อก บรีดเดอร์)อีกด้วย
ฮายฮาในวัย ชราภาพ
จากการสอบถามฮายฮาในปี 1998 ว่าทำยังไงถึงยิงปืนได้แม่น?(ถามอย่างกะเกรียน 555) เขาก็ตอบว่า"มันอยู่ที่การฝึกฝน"(Practice) เมื่อถามว่าเขารู้สึกเสียใจไหมที่ได้เข่นฆ่าผู้คนไปเป็นจำนวนมาก?(คราวนี้ ถามอย่างกับกากSF) เขาก็ตอบว่า"ผมทำตามคำสั่งและทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้" ("I did what I was told to as well as I could.") แปลถูกไม่ถูกก็ช่วยๆบอกกันบ้างนะครับ ฮายฮาใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆชื่อโรคอลาซติ(Ruokolahti) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฟินแลนด์ซึ่งถัดไปเป็นดินแดนของรัสเซียจนเสียชีวิต อยู่ที่หมู่บ้านนี้นั้นเอง เป็นการปิดฉากชีวิตของเพชรฆาตผู้สังหารทหารรัสเซียไปเป็นจำนวนมากลงอย่างสงบ
อาวุธคู่กายของ ฮายฮาบนคือปืนกลซูโอมิเพชรฆาต 200ศพ
ล่าง คือปืนยาวเอ็ม28เพชรฆาต 542ศพ
ปืน ยาวโมซินนากังค์ เอ็ม28 เมคอินฟินแลนด์กระบอกนี้แหละครับที่เป็นอาวุธซุ่มยิงของฮายฮา
ปืนสไนเปอร์ โมซิน-นากังค์ เอ็ม91/30 ติดกล้องเล็งแบบเดียวกับที่ชิโดเรนโก้ใช้
อิวาน ชิโดเรนโก้ สุดยอดสไนเปอร์แห่ง อิวาน ชิโดเรนโก้ สุดยอดสไนเปอร์แห่งสหภาพโซเวียต
Ivan Sidorenko a most sniper of the soviet unionสหภาพโซเวียต
Ivan Sidorenko a most sniper of the
อิ วาน มิคาลโลวิช ชิโดเรนโก้(Ivan Mikhaylovich Sidorenko) เกิดเมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ.1919 ณ.เมืองสโมเลนสค์(Smolensk) ในสหภาพโซเวียต(ประเทศรัสเซียในปัจจุบัน) ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อกองทัพนาซีเข้ามาเหยียบย่ำแผ่นดินแม่รัสเซีย ขณะนั้นชิโดเรนโก้มียศเป็นนายทหารอยู่ในกองทัพแดง และจากการปฏิบัติการของเขาทำให้ชิโดเรนโก้ได้กลายเป็นหนึ่งในสุดยอดพลซุ่ม ยิง(ซึ่งต่อไปนี้ขอเรียกว่าสไนเปอร์)ของสหภาพโซเวียตในระหว่างสงคราม และมียอดสังหารชีวิตข้าศึกซึ่งได้รับการยืนยันแล้วกว่า 500 ศพ!!!
ช่วงแรกของชีวิต Early years
ชิโดเรนโก้เกิดมาในครอบครัวของชาวชนบท โดยชิโดเรนโก้มีผลการเรียนเป็นอันดับสิบของโรงเรียน(เก่งไหมละนั้น) และต่อมาเขาได้เข้าเรียนในวิทยาลัยศิลปะเพนซา(Penza Art College ว้าว!หัวศิลป์ซะด้วย) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเพนซา(ชื่อก็บอกอยู่แล้ว) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงมอสโคว์ แต่พอถึงปีค.ศ.1939 ชิโดเรนโก้ก็ต้องออกจากวิทยาลัยศิลปะ เพราะโดนหมายเรียกเกณฑ์ทหารให้เข้าไปเป็นทหารเกณฑ์อยู่ในกองทัพแดง ชิโดเรนโก้ได้ถูกฝึกเป็นหทารอยู่ที่โรงเรียนฝึกสอนทหารราบซิมเฟโรพอ ล(Simferopol Military Infantry School) ในแคว้นไครเมีย(Crimea)โน้น เรียกว่าเขาโดนย้ายไปซะไกล แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะประเทศรัสเซียกว้างมากๆนี่หน่า
ถนนสายประวัติศาสตร์ใน เมืองเพนซาครับ
เข้าประจำการในสงครามโลกครั้งที่สอง World War II service
หน่วยปืนค.ของโซเวียตในชุดพรางฤดูหนาว
ในปีค.ศ.1941 ชิโดเรนโก้ได้มีโอกาสเข้าร่วมรบในการรบแห่งมอสโคว์(Battle of Moscow) ซึ่งในขณะนั้นชิโดเรนโก้มียศเป็น เรือโท(Junior Lieutenant) ในกองร้อยปืนครก(mortar company)....แล้วมันเกี่ยวกะสไนเปอร์ตรงไหนนี่? อ้าวๆอย่าพึ่งงง สาเหตุมันอยู่ตรงนี้ครับ ในระหว่างการรบนั้นชิโดเรนโก้มักใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝนตัวเองในการ ซุ่มยิงข้าศึก(สงสัยจะเบื่อสั่งการยิงปืนค.ละมั้ง 5555) ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆเพราะชิโดเรนโก้ประสบความสำเร็จในการล่าทหารเยอรมัน เป็นอย่างยิ่ง ทันใดนั้นเองผู้บังคับบัญชาของชิโดเรนโก้ ก็ได้มีคำสั่งฟ้าผ่าให้เขาไปรับการฝึกฝนเพื่อเป็นพลซุ่มยิงเพิ่มเติมซะ (พูดแบบภาษาเกมส์ออนไลน์ก็คือ เมื่อเอ็งอยากเปลี่ยนคลาสเป็นสไนเปอร์ก็ไปฝึกให้เลเวลอัฟซะไป๊ 5555) คงเป็นเพราะผู้บัญชาการของเขาเล็งเห็นแววสไนเปอร์ในตัวของชิโดเรนโก้ จึงไม่อยากให้ชิโดเรนโก้หมดอนาคต(ว่าไปนั้น) กับการมาเป็นแค่ทหารปืนค.เท่านั้น
ชุดพรางลายอะมีบาของสไนเปอร์โซเวียต
สิ่ง แรกๆที่ชิโดเรนโก้ได้รับการฝึกก็คือ การทดสอบคัดเลือกผู้ที่จะมาเป็นสไนเปอร์นั้นเอง โดยเริ่มตั้งแต่การวัดสายตา(eyesight) ความรู้เกี่ยวกับอาวุธชนิดต่างๆ(weapons knowledge) และที่สำคัญที่สุดคือความอดทน(endurance) โดยเริ่มแรกนั้นชิโดเรนโก้ได้รับหน้าที่ให้ทำการสอนหลักการซุ่มยิงต่างๆ และกว่าจะได้เข้าสู่ภารกิจจริงก็นานมาก(อดโชว์ความเทพให้โลกรู้ว่างั้น) จนต้องรอให้พวกเจอรี่(เยอรมัน)ส่งสไนเปอร์มาส่องทหารในพื้นที่รับผิด ชอบ(area of operation)ของชิโดเรนโก้ซะก่อน จึงทำให้ชิโดเรนโก้และลูกน้องของเขารู้สึกถึงภัยคุกคามของพวกเจอรี่
หรียญกล้าหาญดาวทอง
(Golden Star medal)ที่ชิโดเรนโก้ได้รับ
ต่อมาชิโดเรนโก้จึงได้รับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้ บัญชาการ(assistant commander) แห่งศูนย์บัญชาการกรมทหารปืนยาวที่ 1122(Headquarters of the 1122nd Rifle Regiment) และเขาก็ได้เข้าร่วมรบอยู่ใน แนวหน้าบอลติกที่1(1st Baltic Front) ถึงแม้ว่าหน้าที่โดยหลักของชิโดเรนโก้คือการสอน แต่เมื่อมีโอกาสในสนามรบชิโดเรนโก้มักจะให้ผู้ที่เขาสั่งสอน(trainees)หนึ่ง คนติดตามเขาไปด้วย ซึ่งหนึ่งในการไปท่องเที่ยวหาอันตรายกับพวกเจอรี่ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ชิโดเรนโก้สามารถทำลายรถถังเยอรมันได้หนึ่งคัน และรถแทร็กเตอร์อีกสามคัน ด้วยกระสุนเจาะเกราะเพลิง(incendiary bullets) และก็เพราะการเที่ยวเล่นกับความตายของเขานี่แหละ ที่ทำให้ชิโดเรนโก้ต้องได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง แต่ก็ไม่ยักกะถึงฆาตซะทีหนึ่ง(สงสัยนรกไม่กล้ารับมั้ง 555) ซึ่งครั้งที่สาหัสที่สุดนั้นคือที่เอสโตเนียในปีค.ศ. 1944 บาดแผลในครั้งนี้ทำให้เขาต้องใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดไปกับการรักษาตัวจน สงครามสิ้นสุดลง
และในระหว่างที่พักฟื้นอยู่นั้น ในวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ.1944 ชิโดเรนโก้ก็ได้รับการประกาศให้เป็นวีรบุรุษแห่งสหภาพโซเวียต(Hero of the Soviet Union) และตั้งแต่นั้นชิโดเรนโก้ก็ถูกเบื้องบนสั่งห้ามไม่ให้เข้าสู่สนามรบ อีก(สงสัยคงอยากสงวนชีวิตของชิโดเรนโก้ไว้) แต่เขาก็ได้เป็นผู้ฝึกสอนพลสไนเปอร์รุ่นต่อไปของสหภาพโซเวียต (ถ่ายทอดความเทพอีกนะ 555) และเมื่อสิ้นสุดสงครามชิโดเรนโก้ก็ได้รับเครดิตยืนยันว่าเขามียอดสังหารทหาร ข้าศึกถึงห้าร้อยศพ และยังเป็นผู้ฝึกสอนให้กับทหารมากกว่าสองร้อยคน และพลสไนเปอร์อีกกว่าห้าสิบคน ยศสุดท้ายที่ชิโดเรนโก้ได้รับคือยศพันตรี(Major) นับว่าเขาเป็นพลซุ่มยิงของสหภาพโซเวียตที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในสงคราม โลกครั้งที่สอง โดยใช้อาวุธคือปืนซุ่มยิงโมซิน-นากังค์(Mosin-Nagant rifle) ติดศูนย์กล้องเล็ง(telescopic sight) ชิโดเรนโก้จึงเป็นสไนเปอร์ที่มีความสามารถพิเศษกว่าพลซุ่มยิงโซเวียตคนอื่นๆ ทั้งหมด เพราะเขาเป็นสไนเปอร์ที่ใช้ปืนซุ่มยิงติดกล้องเล็งสังหารศัตรูได้เป็นจำนวน มาก(ศพกองเป็นภูเขาเลากา) ซึ่งตรงกันข้ามกับพลซุ่มยิงชาวฟินแลนด์ ซิโม ฮายฮา เพราะซิโมไม่ได้ใช้กล้องเล็งจะใช้ก็ แค่ศูนย์เล็งเหล็กเดิมของปืนยาวเท่านั้น แต่ซิโมก็สังหารข้าศึกได้มากกว่าชิโดเรนโก้ไปหน่อยคือ 524 ศพ จึงทำให้ซิโมได้อันดับหนึ่งไป
ชีวิตหลังสงคราม Post-war life
เทือกเขายูราล
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองได้สิ้นสุดลง ไปแล้ว ชิโดเรนโก้ก็ได้ปลดประจำการออกจากกองทัพแดง และได้ย้ายไปอยู่ที่หน่วยงานบริหารของสหภาพโซเวียตในแคว้นเชเลียบิ นสค์(Chelyabinsk Oblast) ซึ่งตั้งอยู่ในเทือกเขายูราล(Ural Mountains) โดยชิโดเรนโก้ทำงานเป็นหัวหน้าคนงาน(foreman)ในเหมืองแร่(coal mine) พอถึงปีค.ศ.1974 ชิโดเรนโก้ก็ได้ย้ายไปอยู่สาธารณรัฐดาเกสถาน(Republic of Dagestan)ซึ่งตั้งอยู่ในแถบคอเคซัส(Caucasus) ส่วนในปัจจุบันนั้นคาดว่าชิโดเรนโก้น่าจะยังคงมีชีวิตอยู่เพราะในวิกิฯไม่ ได้บอกว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว???
มัสเธ อุส เฮทเซ็นเนาว์ สุดยอดสไนเปอร์แห่งเยอรมัน
Matthaus Hetzenauer a most sniper of the germany
มัสเธอุส เฮทเซ็นเนาว์(Matthaus Hetzenauer)หรือมัสเทียส เฮทเซ็นเนาว์(Matthias Hetzenauer) เกิดเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ปีค.ศ. 1924 ณ.แคว้นไทรอล(Tyrol) ในประเทศออสเตรีย(Austria คนละที่กับออสเตรเลียเน้อ) เฮทเซ็นเนาว์เป็นสไนเปอร์ของกองทัพเยอรมัน(แต่มีเชื้อชาติออสเตรีย พอเยอรมันรวมออสเตรียก็เลยได้คนนี้มาด้วย 555) สังกัดในกองพลทหารภูเขาที่3(3rd Mountain Division) ประจำในแนวรบด้านตะวันออกระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเฮทเซ็นเนาว์ได้รับการยืนยันว่ามียอดสังหารทหารข้าศึกเป็นจำนวนมากถึง 345ศพ!! และยังได้รับการยืนยันว่าระยะยิงสังหารข้าศึกที่ไกลที่สุดของเขาอยู่ที่ 1,100 เมตร!!!