รูปร่างหน้าตาทุเรียน หลงลับแล(ซ้าย)-หลินลับแล(ขวา) ในส่วนของทุเรียนหลินลับแลนั้น คุณลุงสามารถเล่าประวัติและอธิบายความแตกต่างให้ฟังว่า “ ทุเรียนหลินลับแล เกิดขึ้นจาก นายหลิน บันลาด ได้นำเมล็ดทุเรียนไม่ทราบพันธุ์มาปลูกเหมือนกัน แต่กลับได้ทุเรียนที่มีรูปร่างลักษณ์ที่แตกต่างออกไป ซึ่งจะมีรูปลักษณ์ออกเป็นแนวตั้ง แต่ละภูแยกกันอย่างชัดเจน มองดูแล้วคล้ายกับมะเฟือง ขนาดแต่ละลูกจะมีน้ำหนักประมาณ 1-2 กิโลกรัม ในส่วนเนื้อในจะมีสีเหลืองอ่อน เมื่อได้ลองชิมจะรู้สึกว่า เนื้อจะแห้งไม่เละ รสหวานมัน และกลิ่นหอมไม่แรง”
หลงลับแล” เนื้อสีเหลืองเข้มน่าลิ้มลอง นอกจากจะมีรูปลักษณ์และรสชาติที่อร่อยอย่ามีเอกลักษณ์แล้ว ทุเรียนสองสายพันธุ์นี้ ก็ยังถือได้ว่าเป็นทุเรียนที่มีราคาค่อนข้างสูง และด้วยสาเหตุใดนั้นคุณลุงสามารถ จึงได้อธิบายต่อว่า “เนื่องจากมีรสชาติที่อร่อยจนเป็นที่ร่ำลือ จึงเป็นที่ต้องการของท้องตลาดอย่างมาก เพราะใครๆ ก็ต้องการที่จะลองลิ้มชิมรส ผลไม้รสอร่อยที่ในหนึ่งปีจะมีหนึ่งครั้ง ซึ่งผลผลิตในแต่ละปีก็ไม่สามารถคาดเดาได้ และทุเรียนสองชนิดนี้ก็ยังปลูกอยู่บนภูเขา เพราะพื้นที่ในอำเภอลับแลเป็นภูเขา การดูแลรักษาจึงมีความลำบากไม่น้อย ซึ่งไม่สามารถนำน้ำขึ้นไปลดได้ทุกต้น ผลผลิตจึงต้องขึ้นอยู่กับฟ้าฝน และการขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเสียบกิ่งกับต้นทุเรียนพันธุ์พื้นเมือง ซึ่งก็ทำใช้เวลานานกว่า 6-8 ปี จึงจะได้ผลผลิต" "และเมื่อได้ผลผลิตแล้ว ก็ต้องใช้ความชำนาญในการเก็บ เพราะทุเรียนแต่ละต้นนั้นสูงใหญ่และตั้งอยู่ตามเนินเขา อีกทั้งการลำเลียงผลทุเรียนออกจากสวนที่อยู่ในภูเขา ก็ต้องใส่ลูกทุเรียนไว้ในตะแกรงที่ติดไว้กับรถจักรยานยนต์ เพื่อขนทุเรียนลงมาจากบนเขา ซึ่งเเต่ละเที่ยวก็บรรทุกได้น้อย อีกทั้งเส้นทางในการขนลงมาก็คดเคี้ยวลาดชัน” เรื่องราวที่ได้เล่าให้ฟังนั้น จึงเป็นเหตุผลที่ทุเรียนสองสายพันธุ์นี้ มีราคาที่ค่อนข้างเเพง
อ่านต่อได้ที่ : http://www.manager.co.th/Food/ViewNews.aspx?NewsID=9580000063645