รวมสัตว์ในตำนาน และเทพนิยาย ตอนที่ 9

กอบลิน


ก๊อปลิน (Goblin)แปลว่า ดวงวิญญาณที่ไม่ชอบสิงสู่ตามเคหะสถาน แต่ชอบเป็นวิญญาณล่องลอยไปตามสถานที่ต่างๆ
เนื่องจากก๊อปลินมักนิยมใช้เรียกพวกปีศาจขนาดเล็กที่ เป็นอันตราายและซุกซน กับมนุษย์
บางความเชื่อก็เชื่อว่า ก๊อปลินนั้นมาจาก Gob, Gnob ซึ่งเป็นราชาของพวกโนมนั้นเอง
ก๊อบลิน (Goblin) มีรูปร่างวิกลวิการ พวกมันชอบเล่นสนุก
แต่บางครั้งก็ชั่วร้ายและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมสามา รถทำอันตรายแก่ผู้คน รอยยิ้มของก็อบลินทำให้เลือดหยุดไหล
เสียงหัวเราะทำให้นมบูดและผลไม้หล่น
ก็อบลินมีต้นกำเนิดมาจากฝรั่งเศส ก๊อปลินนั้นเป็นปีศาจ อาศัยอยู่ใต้ดิน ในตำนานเดิมของยุโรปเล่าถึง ก็อบลิน ว่า
เป็นปีศาจร่างเล็ก (อาจจะสูงประมาณ 70 ซม.) ลักษณะคล้ายซากศพ บาง ตำนานก็กล่าวว่า
ก๊อปลินรูปร่างจนมีหน้าตาอัปลักษณ์ไม่ชวนมอง ซึ่งหน้าตาหรือรูปร่างของพวกก๊อปลินจะเป็นเช่นไร
มักขึ้นอยู่กับตำนานหรือของเชื่อของผู้คนในแถบนั้น
ชาวบ้านสามารถไล่ก๊อปลินออกไปด้วยการโปรยเมล็ดปอเอาไ ว้ให้ทั่วห้องครัว ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่มีใครรู้
(อาจจะโดนคำสาป) พวกก๊อปลินจำเป็นต้องเก็บเมล็ดปอทั้งหมดให้เรียบร้อย
แน่นอนว่าเป็นงานที่น่าเบื่อมากสำหรับพวกมัน แล้วพวกมันก็จะไม่มาที่บ้านของคุณอีกเลย

สฟิงซ์

ชาวอียิปต์เชื่อว่า สฟิงซ์แห่งอียิปต์มีความเกี่ยวโยงไปถึงกษัตริย์ สุริยเทพ-เร อย่างแน่นอน
แต่ชาวอาหรับกลับเรียกสฟิงซ์ว่า อะบลูฮัล ( Abu Hal) แปลว่า บิดาแห่งความน่าสะพรึงกลัว
สฟิงซ์จะมีใบหน้าและทรวงอกของหญิงสาว ท่อนล่างเป็นสิงโต และ มีปีกแบบนกอินทรี
ส่วนสฟิงซ์ของพวกกรีก มันทรยศหักหลัง ก้าวร้าวรุนแรง และกระหายเลือด และพวกนี้ยังชอบกินคนเป็นอาหารเสียด้วย
ลักษณะที่เด่นชัดของสฟิงซ์ กรีกอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความคล้ายแมว หรือจะว่าอีกทีก็คล้ายผู้หญิงด้วย
นั่นคือ มันจะพูด คุยหยอกเหยื่อของมันก่อนที่จะสวาปามเข้าไป แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเกิดเยื่อหนีรอด ไปได้ สฟิงซ์จะบินดิ่งทิ้งตัวกระแทกพื้นหรืออะไรสักอย่าง ด้วยความโกรธเกรี้ยวจนตายไปเอง



เรื่องราวเกี่ยวกับสฟิงซ์ของกรี กที่โด่งดังเรื่องหนึ ่ง เห็นจะไม่พ้นเรื่องของ เจ้าแม่เฮรา (Hera) ซึ่งมอบหมายหน้าที่ลงโทษชาวเมืองธีบีส (Thebes) เพราะความเมามายไร้สติของพวกเขา หลังจากที่ ไดโอนิซุส เทพแห่งเมรัยได้มาสอนการทำไวน์ ให้แก่ชาวเมืองนี้ ตามปกติสฟิงซ์จะไม่เข้าขย้ำเหยื่อ ที่ผ่านมาในทันทีทันใด แต่จะ ให้โอกาสเหยื่อด้วยการถามปัญหา ที่เรียกกันว่าปัญหา ของตัวสฟิงซ์ (The Riddle of the Sphinx) ซึ่งสัญญาจะปล่อยเหยื่อเป็นอิสระ หากตอบปัญหาของนางได้
สฟิงซ์ (Sphinx)อียิปต์ เป็นลูกผสมที่มีส่วนผสมของสัตว์หลายชนิดรวมอยู่ในตัว เดียวกัน
ตามความเชื่อของคน แถวอียิปต์
แอนโดรสฟิงซ์ (Andro-Sphinx) สฟิงค์ที่เกิดจาก การรวมตัว อันแปลก ประหลาด ระหว่างมนุษย์กับสิงโต ส่วนหัวที่เหมือนมนุษย์นั้น มีสัญลักษณ์ ของฟาโรห์อียิปต์ แสดง ไว้ชัดเจน คือมีเคราที่คาง ตรงหน้าผาก มีงูจงอางแผ่แม่เบี้ย และมีเครื่องประดับ รัดเกล้าแบบกษัตริย์โดยรอบ
ความกว้างของ ใบหน้านั้น ประมาณ 14 ฟุต ส่วนลำตัวที่เป็นสิงโต มีความยาว เกินกว่า 240 ฟุต (วัดจากหัวถึงหาง) ขนาดของมัน มโหฬาร จนคนที่เดินผ่าน เหลือตัวนิดเดียวว่ากันว่าสฟิงซ์ คือ รูปเหมือน ขนาดใหญ่ กว่าร่างจริง สองเท่าของฮาร์มาชิส เทพแห่งรุ่งอรุณ เมื่อตอนที่แปลงร่าง เป็นสิงโต มีเศียร เป็นฟาโรห์อียิปต์หรือ "sphingein แปลว่า การบีบรัด
ที่ได้ชื่อว่าบีบรัดนั้นก็เพราะว่า สฟิงซ์ของชาวกรีก เป็นสฟิงซ์ที่นิสัยไม่ดี ชอบหยอกเล่นกับเหยื่อ พอมีเหยื่อหลงเข้ามา ก็จะถามคำถาม และถ้าตอบไม่ถูก จะฆ่าทิ้ง
ความจริงสฟิงซ์ในอียิปต์มิใช่มีแต่รูปสิงโตเท่านั้น หากแต่ว่าในสมัยต่อๆ มา โดยเฉพาะสมัยราชอาณาจักรกลางและใหม่ มักมีการสร้างสฟิงซ์ในรูปของแกะ และสัตว์อื่นๆ เพื่อตั้งเรียงรายเป็นแถวยาวเหยียดอยู่หน้าวิหาร เช่น วิหารลักซอร์ มหาวิหารคานัก แะวิหารของพระนางแฮตเซปชุต เป็นต้น

ตำนาน สฟิ้งค์

http://writer.dek-d.com/writer/story...728&chapter=17

ปักษาวายุภักษ์


นั้นวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ได้ อธิบายถึง อสูรวายุภักษ์ รูปร่างเป็นนกอินทรี ตัวและหน้าเป็นยักษ์ มีปีก มีหาง มีเท้าเหมือนครุฑ แต่หางมีแววเหมือนนกยูง
บางตำนานก็ว่า ปักษาวายุภักษ์หรือ นกการเวกนี้ เป็นสัตว์หิมพานต์ บินสูงเหนือเมฆ จึงไม่ใคร่มีใครเห็นตัว กินลมเป็นอาหาร มีเสียงหวานไพเราะมาก ใครได้ยินเสียงร้องจะหยุดชะงักด้วยความจับใจในเสียงร ้องนั้น นกการเวกเป็นนกที่มีขนงาม ขนนกการเวกเป็นของวิเศษ ผู้ที่ต้องการขนนกการเวกจะต้องทำร้านไว้บนยอดไม้ เอาขันใส่น้ำไปวางไว้ นกการเวกจะมาอาบน้ำในขันแล้วสลัดขนไว้ให้ ขนนั้นเก็บไว้ก็จะกลายเป็นทอง



ตามประวัติในเรื่องรามเกียรติ์ว่า วายุภักษ์มีพ่อเป็นอสูรผู้ครองกรุงวิเชียร ซึ่งอยู่ที่เชิงเขาจักรวาลเป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์มาก จึงมักจะเที่ยวข่มเหงรังแกเทวดาและฤาษีชีไพรอยู่เสมอ เมื่อพระรามพระลักษมณ์ออกเดินดงครั้งที่ ๒ อสูรวายุภักษ์บินผ่านมาพบเข้าจึงโฉบลงมาจับพระราม พระลักษณ์จะนำไปกินเป็นอาหาร
หนุมาน สุครีพ และไพร่พลลิงก็รีบตามไปช่วย และได้เข้าต่อตีกับอสูรวายุภักษ์ ในที่สุดก็ช่วยพระราม พระลักษมณ์ไว้ได้ และองคตกับนิลพัทก็ได้ฆ่าอสูรวายุภักษ์ตาย รูปนกวายุภักษ์ เดิมเป็นตราตำแหน่งพระยาราชภักดี ผู้มีหน้าที่เป็นหัวหน้าทำการคลังมาก่อน คณะเสนาบดีในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้กำหนดให้นำตรานกวายุภักษ์มาใช้เป็นตรากระทรวงพระค ลัง และใช้เป็นตรากระทรวงการคลังติดต่อกันเรื่อยมา โดย สมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้ทรงใช้รูปนกการเวกเป็นแบบการเขียนตราวายุภักษ์
นอกจากนี้ในพระบาลีระบุว่าเสียงของพระพุทธเจ้านั้นเห มือนเสียงพรหม แจ่มใสชัดเจน อ่อนหวาน สำเนียงเสนาะ ไม่แตก ลึกซึ้ง มีกังวาลไพเราะและเหมือนเสียงนกการเวก ส่วนอาหารของนกการเวกนั้น มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ปัญจสุทนีว่า นกการเวก กินน้ำมะม่วงสุกเป็นอาหาร แต่โดยที่นกชนิดนี้หายากหลงเข้าใจกันแต่ว่าอยู่บนท้อ งฟ้ากินลมเป็นอาหารจึงตั้งชื่อว่า วายุภักษ์ ก็มีเช่นกัน ตามวรรณคดีไตรภูมิพระร่วงนั้น กล่าวว่าขนนกการเวกนั้นเป็นที่ต้องการเพราะกลายเป็นท องคำได้

เนสซี





เนสซี (Nessie) คือสิ่งมีชีวิตลึกลับชนิดหนึ่งที่เชื่อว่าอาศัยอยู่ใ นทะเลสาบบล๊อคเนสส์ แคว้นสกอต์แลนด์ชื่อว่ามีรูปร่างคล้ายพลิสซิโอซอรัส( Plesiosaur) หรือ อีลาสโมซอรัส (Elasmosaurus) สัตว์เลื้อยคลานที่อาศัยในทะเลยุคเดียวกับไดโนเสาร์ มีผู้อ้างว่าเคยพบเห็นถึงปัจจุบันกว่า 4,000 ครั้ง และมีรูปถ่ายทั้งภาพนิ่งและภาพยนต์มากมาย โดยเอกสารแรกสุดที่กล่าวถึงเนสซี คือ บันทึกของบาทหลวงเซนต์โคลัมบา เมื่อราว 1,400 ปี ที่แล้ว กล่าวถึงมังกรที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ และท่านเองก็เคยทำพิธีขับไล่มังกรตัวนี้ด้วย
การพบเห็นเนสซี
แรกสุด ในบันทึกของ Saint Columba ใน คศ 565 ได้กล่าวถึงการช่วยชีวิตของคนที่ว่ายน้ำอยู่จากสัตว์ ประหลาดในทะเลสาป จากนั้น ได้มีเรื่องราวมากมายของสัตว์ที่ลึกลับได้ปรากฏตัวออ กมาเป็นระยะๆ ทว่ามีเพียงเล็กน้อยที่เป็นเรื่องจริงและได้ถูกบันทึ กไว้ จนกระทั่งศตวรรษที่ 20

โนม



เป็นภูต ขนาดเล็ก มีชื่อหลายต่อหลายชื่อที่แตกต่างกันออกไป มักปรากฎในนิทาน รูปร่างคล้ายคนแคระ โนมมีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินในดิน เป็นผู้ที่เรียนรู้จากอดีต และยังสามารถเรียนรู้ จากอนาคตได้อีกต่างหาก
ลักษณะ พิเศษสุดๆ ก็คือ โนมเป็นมีความรู้แตกฉานในทุกแง่มุมของจักรวาล และโนมจะเป็นผู้ที่มีอารมณ์ดี อยู่ตลอดเวลาโนม เป็นพวกที่มีความเมตตาและชอบช่วยเหลือ ด้วยความที่เป็นผู้รู้ผู้ฉลาด จึงทำให้โนมสามารถติดต่อ หรือทำสิ่งต่างๆได้ดี นอกจากนี้โนมยังเป็นผู้ริเริ่มงานฝีมืออีกด้วย


โนม เป็นภูตขนาดเล็ก มีชื่อหลายต่อหลายชื่อที่แตกต่างกันออกไป มักปรากฎในนิทาน รูปร่างคล้ายคนแคระ โนม มักชอบดูแลสมบัติล้ำค่าเสมอ ทั้งนี้ พวกโนมยังอาศัยอยู่ในถ่ำคอยเก็บรักษาสมบัติล้ำค่า พวกนี้สามารถย้ายสิ่งของที่อยู่ใต้ดินง่ายเหมือนย้าย ในอากาศ
โนมปราก ฎในหนังสือ แฮร์รี่ พอตเตอร์ กล่าวว่า โนมนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตตัวจุ้น มีมากหลังบ้านรอน วีสลีย์ เพื่อรักของ แฮร์รี่ พอตเตอร์ นอกจากนี้ โนม ยังปรากฎในวีดีโอเกมส์ แฮร์รี่ พอตเตอร์ อีกด้วยครับ ซึ่งมันมักแย่งของจากเราเสมอ ออกจะดูขี้เล่น แต่ก็น่ารำคาญในเวลาเดียวกัน
พวกโน มชอบเข้ามาในเขตบ้านของพวกวีสลีย์ ทำให้แฮร์รี่และพี่น้องตระกูลวีสลีย์ต้องช่วยกันขับไ ล่พวกโนมออกไป โดยการจับมันเหวี่ยงให้เป็นวงกลมให้เวียนหัว แล้วโยนข้ามกำแพงสวนออกไป หรืออาจใช้ตัวจาร์วี่จัดการ แต่พ่อมดหลายคนในยุคนี้เห็นว่าเป็นวิธีการกำจัดโนมที ่ป่าเถื่อนเกินไป
คำเตือน - หากเจอโนมให้อยู่ห่างๆ เพราะฟันโนมค่อนข้างแหลมคม สามารถทำอันตรายกับเราได้

 

 โทรลล์


โทรลล์ในที่นี้ก็คือ โทรลล์ที่อยู่ในนิทานพื้นบ้านแถบสแกนดิเนเวียหรือตำน านนอร์ส ไม่ใช่ศัพท์แสลงที่เราใช้กับ กับคนที่ก่อความวุ่นวายบนกระดานสาธารณะต่างๆ ซึ่งเป็นอีกปัญหาร้ายแรงของอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน นะคะ
โทรลล์มีถิ่นกำเนิดในสแกนดิเนเวีย แต่ทุกวันนี้อาจพบได้ในอังกฤษ ไอร์แลนด์ และ บริเวณอื่นๆในยุ โรปตอนเหนือ
โทรลล์ มีรูปร่างลักษณะต่างกันไปในแต่ละความ เชื่อของท้องถิ่น เช่น เป็นยักษ์ร้ายอาศัยอยู่ในทะเล เป็นยักษ์หรือคนแคระอาศัยใต้ดินหรือโพรงไม้ เป็นช่างผู้เชี่ยวชาญของนอร์ส (norse) มีรูปร่างเป็นยักษ์เป็นต้น
แต่เดิมมาโทรลล์ในตำนานทั่วไปจะมีรูปร่างเป็นยักษ์ ภายหลังกลายเป็นคนแคระไป .....
โทรลล์โดดเด่นในเรื่องพละกำลังที่มากพอๆกับความโง่เข ลาของมัน ส่วนใหญ่ มีนิสัยโหดร้าย กักขฬะ และไม่สามารถคาดเดาพฤติกรรมได้ บางตำนานก็กล่าวว่าพวกโทรลล์ใจดีก็มี


โทรลล์มีอยู่สามชนิด คือ
1.โทรลล์ภูเขา พันธุ์ที่ตัวใหญ่ที่สุดและดุร้ายที่สุด หัวล้านผิวสีเทาซีด
2.โทรลล์ป่า ผิวสีเขียวซีด และบางสายพันธุ์ก็มีผมสีเขียวหรือสีน้ำตาลที่บางและย ุ่งเหยิง
3.โทรลล์แม่น้ำ น้ำมีเขาสั้นๆและอาจมีขนดก ผิวสีม่วง มักจะซ่อนตัวอยู่ใต้สะพาน
ตามตำนานกล่าวว่า พวกโทรลล์จะอยู่ใต้ดิน โทรลล์จะออกมานอกปราสาทในตอนกลางคืนเท่านั้น เนื่องจากมันจะกลายเป็นหินหากถูกแสงอาทิตย์เข้า (แต่ใน Lord of the ring กับเดินกลางแสงได้ซะอย่างนั้น)
เมื่อชาวสแกนดิเน เวียอพยพมาสู่เกาะอังกฤษ โทรลล์ก็ตามมาด้วย และมักจะสร้างบ้านอยู่ใต้สะพาน ซึ่งอาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้มันมีกลิ่นเหมือนน้ำจ ากท่อโสโครก ทางแถบเหนือของเกาะอังกฤษมีก้อนหินขนาดใหญ่ ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นพวกโทรลล์ที่โดนแสดงอาทิต ์เข้าจนกลายร่างเป็นหิน

ตำนาน โทรลล์
http://writer.dek-d.com/writer/story...728&chapter=39

 อิมป์


อิมป์เป็นปีศาจในเทพนิยาย บางตำนานพวกอิมป์นี้เกิดก่อนก็อปลิน บ้างก็ว่าอิมป์นั้นเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของพวกตัวเกรมล ิน แต่โดยส่วนมากแล้วพวก อิมป์นี้จะพบอยู่ที่เกาะอังกฤษและไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของมันนั้นเอง
อิมป์มีความสูง 5-8 นิ้ว มีรูปร่างคล้ายพิกซี่ แต่เพียงบินไม่ได้เหมือนพิกซี่ และมีส่วนมากจะมีสีน้ำตาลเข้มถึงดำ ไม่ได้มีสีสันสดใสเหมือนพวกพิกซี่
บางตำนานนั้น พวกอิมป์ก็มีปีก และมีหางอีกด้วย
อิมป์นั้นเป็นพวกชอบทำลายข้าวของ และเป็นปีศาจที่มีอารมณ์ขัน แต่ก็มีบางตำนานกว่าว่าอิมป์นั้นเป็นพวกโหดร้ายเหมือ นกัน พวกมันชอบอาศัยอยู่ในบริเวณที่เปียกชื้นหรือหนองบึง และกิินสัตว์เล็กๆเป็นอาหาร
อิมป์นั้นไม่มีช่วงที่เป็นดักแด้เหมือนแฟรี่ แต่จะแพร่พันธ์ด้วยไข่ โดยตัวอ่อนที่ฟักออกมาจากไข่นั้นจะเป็นตัวอ่อนสมบูรณ ์ มีความสูงประมาณ 1 นิ้ว

 

ยูนิ คอร์น


ยูนิคอร์น (Unicorn) เป็นสัตว์ในตำนาน เชื่อว่าพบได้ตามป่าทางตอนเหนือของยุโรป ตัวโตเต็มที่มีลักษณะเป็นม้าสีขาวบริสุทธิ์ สง่างาม มีเขาหนึ่งเขาที่กลางหน้าผาก (โดยมากเขาจะเป็นเกลียวด้วย) ลูกยูนิคอร์นแรกเกิดมีขนสีทอง และจะเปลี่ยนเป็นสีเงินก่อนที่จะโตเต็มวัย เขา เลือด และขนของยูนิคอร์นมีคุณสมบัติทางเวทมนตร์สูง
โดยทั่วไปยูนิคอร์นจะหลีกเลี่ยงการข้องแวะ กับมนุษย์ และจะยอมให้แม่มดเข้าใกล้มากกว่าพ่อมด นอกจากนั้น ยูนิคอร์นยังวิ่งได้เร็วมาก จึงยากที่จะจับตัวได้ ในโลกตะวันตก ยูนิคอร์นถือเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายและรักความสันโ ดษ เรื่องเล่าของยุโรประบุว่าการจับยูนิคอร์นนั้นต้องใช ้สาวพรหมจรรย์เป็นผู้จับยูนิคอร์น ซึ่งยูนิคอร์นจะลืมสัญชาตญาณป่าเถื่อนและเชื่องราวกั บเป็นม้าธรรมดา


การกล่าวถึงยูนิคอร์นในโลกตะวันตก มีขึ้นครั้งแรกในหนังสือของอินเดีย ซึ่งเขียนโดยนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก เมื่อประมาณ พ.ศ. 14 บรรยายไว้ตอนหนึ่งว่า "ในประเทศอินเดีย มีลาป่าชนิดหนึ่ง มีขนาดใหญ่เท่า ๆ กับม้า ลำตัวของพวกมันมีสีขาว ศีรษะมีสีแดงเข้ม และมีดวงตาสีน้ำเงิน พวกมันมีเขาอยู่บนหน้าผากเขาหนึ่ง ซึ่งมีความยาวประมาณครึ่งเมตร" กล่าวกันว่า ยูนิคอร์นเป็นสัตว์ผสมระหว่างแรด ละมั่งหิมาลัย และลาป่า เขาของมันมีความแหลมคมมาก โดยมีพื้นสีขาวตรงกลางสีดำ และตรงยอดเป็นสีแดงเลือดหมู

บาโฟเมต(Baphomet)



....กาลครั้ง1 ยังไม่นานมาก มีหญิงคน 1 อายุประมาณ32ปี ชื่อว่า " บาร่า " เนื่องจากเธอมีนิสัยเป็นคนใจดำไม่ชอบช่วยเหลือใคร จึงไม่มีคนในหมู่บ้านคบค้าสมาคมชมดาวด้วย แต่แล้วเทพเจ้าแห่ง Loki ก็เสด็จมาเยือนหมู่บ้านแห่งนั้น จึงมีประชาชนขอร้องให้กำจัด บาร่าออกไปจากหมู่บ้านแห่งนี้ เออขอประทานโทษครับที่ลืมบอกชื่อหมู่บ้านไปหมุ่บ้านน ี้มีชื่อว่า" เมืองซู " ซึ่งจะมีปราสาทหลังใหญ่เอาไว้สำหรับสักการะบูชาเทพเจ ้า Loki



....ย้อนกลับมาที่ บาร่านะครับ เมื่อเทพเจ้า Loki เสด็จลงมา จึงมีคนขอร้องให้กำจัดบาร่าไปที เทพเจ้าLoki เห็นว่าบาร่าเป็นคนไม่ดีจึงสาปให้บาร่ากลายเป็นกวางม ูส แต่คำสาปเกิดผิดพลาดทำให้บาร่ากลายเป็นปีศาจอันทรงพล ัง มีเคียวอันใหญ่เป็นอาวุธ มีนามว่า" บาโฟ " แต่เหตูการณ์ก็ไม่แย่ลงเพราะเทพเจ้า Loki สามารถปิดผนึกบาโฟ ไว้ในปราสาทที่เป็นสิงสถิตย์ของเทพเจ้า Loki บ้านเมืองจึงสงบสุข แต่เหตุการณ์ก็ผวนคืน เมื่อลูกๆของบาร่าหรือบาโฟ นั้นโตขึ้นจึงแก้แค้นให้แม่ โดยการเข่นฆ่าคนในหมู่บ้าน เทพเจ้า Loki จึงต้องออกมาปราบ โดยสาปให้เป็นกวางมูสตัวเล็กแต่ด้วยอำนาจด้านมืดทำให ้กลายเป็นปีศาจรูปร่าง แบบเดียวกับบาโฟ

....บาโฟ มีเคียวอันเล็กเป็นอาวุธ แต่ในเมื่อไม่มีชื่อชาวบ้านจึงขนานนามมันว่า " บาโฟ จูเนียร์ " แล้วเทพเจ้า Loki จึงปิดผนึกพวกมันโดยนำไปไว้ที่เดียวกับบาโฟ บ้านเมืองจึงสงบสุข

เวลาผ่านไป800ปี อำนาจของบาโฟก็สามารถทำลายพลังของเทพเจ้า Loki และได้สร้างกองทัพปีศาจ มาต่อกรกับเทพเจ้า Loki และในที่สุดบาโฟก็สามราถปราบเทพเจ้า Loki ได้สำเร็จและยึดครองเมืองซู เป็นอาณาจักรแห่งปีศาจ จากนั้นก็กลายเป็นเมืองร้าง

 แฟรรี่(Fairy)



....แฟรี่ มีรูปร่างคล้ายคนตัวเล็กๆ หูแหลม และมีปีกเหมือนผีเสื้อ คำว่า Faery(หรอบางทีเค้าก็ใช้ Fairy)มาจาก Fer-Sidhe(อ่านว่า ฟาร์ ชีห์) อันแปลว่า ชายแห่งเนินเขา หรือเป็นคำเรียกที่หมายถึง เทพ ของชาวเคลติค ซึ่งเทพเจ้าของชาวเคลติคเรียกว่า Aes Sidhe หมายถึง คนแห่งเนินเขา(ส่วนเทพีเรียกว่า Bean Sidhe หมายถึง หญิงแห่งเนินเขา เพราะเทพของเคลติคนั้น เป็นผู้ปกครองเนินเขาต่างๆ ที่เรียกว่า Sidhe) ซึ่งหลังจากศาสนาคริสต์เข้ามามีบทบาท เหล่าเทพเจ้าก็ถูกลืม และคำว่า ฟาร์ ชีห์ นี้ก็ได้กลายมาเป็นคำว่า Fairy


....แต่ความเชื่อเกี่ยวกับภูตน้อยแฟรี่นั้นมีมานานแล ้ว ก่อนคริสตศาสนาจะเข้ามา นั่นคือ พิกซี่(Pixie) แต่เท่าที่รู้มา แฟรี่กับพิกซี่รูปร่างเหมือนกัน แต่พิกซี่จะป่าเถื่อนกว่าหรือไม่นั้น มิอาจบอกได้ ในเมื่อคำว่าแฟรี่นี้มีหลังจากคริสตศาสนา แต่ตัวแฟรี่เองกับมีมาก่อน ก็เข้าใจว่าทั้งสองอาจจะเป็นพวกเดียวกัน(แต่แฟรี่ไม่ ใช่นางฟ้า ก็เพราะการเห็นแฟรี่เป็นเป็นนางฟ้านี่แหละ ทำให้ยศของพิกซี่ต้องต้อยต่ำลง) แฟรี่เป็นดวงวิญญาณที่กำเนิดแต่ธรรมชาติครับพวกเค้าม ีอยู่ทั่วโลก(จริงๆนะ) และอยู่มาก่อนเรานานแล้ว

บางครั้ง แฟรี่ก็มาอาศัยอยู่ในบ้านคนในชนบทของยุโรป แฟรี่มักมีนิสัยที่ออกจะซุกซน แต่บางตำนานกับดูโหดเ***้ยม โดยเฉพาะตำนานบางเรื่องที่ถ่ายทอดจากความเชื่อแบบคริ สต์(ไม่ได้จะอะไรนะครับ พูดตามความเป็นจริง) เพราะแฟรี่มักเกี่ยวข้องกับเรื่องของมายิก หรือเวทมนตร์อยู่เอามากๆ และยังมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของแม่มด(อันนี้โดนป ระจำว่าชั่วร้ายทั้งที่ ไม่ค่อยจริง เอ๋ เข้าข้างใครหรือเปล่า?) โดยภูตพวกนี้เป็นตัวแทนของธรรมชาติ และไม่เคยที่จะเกี่ยวข้องศาสนาใดๆ จึงถูกตราหน้าว่าเป็นความป่าเถื่อนในธรรมชาติและนอกร ีต(น่าสงสารจริง แฟรี่ แม่มด แมว).....


....เวทมนตร์ของแฟรี่นั้น ได้แก่ มายิกด้านธรรมชาติ(มายิกเป็นพลังทางธรรมชาติ) และสามารถสาปหรืออวยพรได้ผลดีอีกด้วย แฟรี่มักจะอวยพรให้กับเด็กเกิดใหม่ หรือผู้ที่ให้เกียรติแฟรี่ก็จะได้รับพรเช่นเดียวกัน แต่ถ้าดูถูกล่ะก็โดนสาปให้ได้โชคร้ายเหมือนกัน หัวหน้าของพวกแฟรี่คือ ราชาหรือราชินีแฟรี่ ซึ่งมีรูปร่างงดงาม และมีอำนาจมาก ราชินีของพวกแฟรี่จะสวมใส่ชุดสีขาว พวกเขาจะรักในความสนุกสนานรื่นเริง และดูเป็นมิตรอย่างมาก(ถึงแม้จะไม่ค่อยยุ่งกับพวกมนุ ษย์)



....แฟรี่มีแพร่หลายในหลายๆตำนาน เช่นเคลติค(ตัวเริ่ม) กรีกก็มีบ้าง แต่ไม่ได้เป็นแบบดั่งเดิม กล่าวคือ มักนำไปเกี่ยวกับภูตอื่นๆเช่น ฟอน หรือเทพแพน ครึ่งคน ครึ่งแพะ ซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นเกี่ยวข้องกับปีศาจ และกลายเป็นสัญลักษณ์ของซาตานด้วย(แพะกับหัว โดยจริงๆคือ มังกร) และที่ควรรู้คือ แฟรี่มีเวทมนตร์กำบังตนจากสายตาของมนุษย์ แต่ไม่ได้เป็นการล่องหนด้วยการเบียงเบนแสงนะครับ(พรี เดเตอร์ไง) ที่จริงเป็นเพราะมนุษย์ส่วนมากไม่มีความเชื่อในเรื่อ งแฟร์รี่ ก็จะไม่ได้เห็นกัน แม้ะเชื่อก็ใช่ว่าจะได้เห็นกันง่ายๆนะ


....วิธีการมองเห็นแฟรี่ก็คือ นำหินที่มีทะลุเป็นรูตรงกลางสามารถมองรอดผ่านได้ จากกลางลำธาร(ต้องเป็นหินที่เป็นโดนน้ำกัดเซาะเป็นรู โดยธรรมชาติเท่านั้นนะ ครับ จึงสามารถใช้ได้ ไม่ใช่ว่าเอาสว่านเจาะแล้วเอาไปโยนกลางน้ำ)*-^O^-*

 

อ๊อค (Ogre)


อ๊อค คือ ยักษ์ที่กินมนุษย์เป็นอาหาร พวกอ๊อคมักพบอยู่ในเทพนิยายปกรนัมและความเชื่อของชาว บ้าน ซึ่งพวกอ๊อคได้ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมคลาสสิกมากมาย ซึ่งบางครั้งคำว่าอ๊อคนี้ก็นำไปเปรียบเทียบกับคนที่ม ีนิสัยโลภ หาผลประโยชนเข้าตัวเอง ตะกละตะกลาม หรือมีนิสัยชอบทารุณกรรม โหดร้าย
บาง ตำนานเชื่อว่า Ogre มาจากคำว่า Hongrois ที่แปลว่าชาวฮังการี นอกจากนั้นอ๊อคยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักกวีชาวอิต าลี ผู้ใช้คำว่า "Uerco" กับพวก เนโปรเลียน
ในนิยายของ J.R.R. Tolkien เรื่อง Middle - earth ได้ใช้คำว่า Orc แทนที่จะใช้ Orge


ลักษณะ และนิสัยของอ๊อค
พวกอ๊อคนั้น เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีรูปร่างร่างกายขนาดใหญ่ มีหน้าตาน่าเกลียด พวกนี้มักถูกพรรณนาในนิยายว่ามันมีหัวที่ใหญ่โต ผมและเครารกรุงรัง มีนิสัยตะกละ โลภมาก และมักมีความเชื่อที่น่าเบื่อว่ามันจะไม่มาในตอนกลาง คืน
อ๊อค เผ่าพันธุ์ที่เป็นตัวแทนของด้านพละกำลัง ความแข็งแกร่ง ความป่าเถื่อน ปรากฏรูปกายสีเขียวออกมาในรูปแบบของยักษ์ ซึ่งเรียกได้ทั้ง ไจแอนท์ คาริก หรือ แม้แต่ยักษาในประเทศแถบเอเชีย เป็นเผ่าพันธ์ที่มีในตำนานของทุกชนชาติ เป็นต้นกำเนิดของคนตัวใหญ่ และเป็นต้นกำเนิดของการสู้รบของสงครามไซเฟอร์
อ๊อคมีรูปกายสีเขียว กล้ามเนื้อใหญ่ บางตำนานก็ว่าสีแดง บางตำนานก็ว่าสีเทาดำมีเกล็ดด้วย แต่นั่นก็คงรูปลักษณ์ในแบบเดียวกันเสมอ คือมีเขี้ยวงอกจากฟันแถบล่างขึ้นมาใหญ่ยาว แลดูเหมือนงาช้าง
แต่ที่น่า สำคัญที่สุด น่าจะเป็นเรื่องของความบ้าบิ่น และ ไม่มีสมองของ ชนเผ่านี้ พูดง่ายๆ ใช้แต่กำลัง บางชนชาติมักพูดว่ายักษ์โง่ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ อ๊อคเองก็มีหลายวรรณะโดยแบ่งตามสีผิว โดยเริ่มจากสีเขียว เป็นพวกอ๊อคธรรมดา สีแดงเป็นพวกอ๊อคระดับหัวหน้า สีเทาดำมีเกล็ดด้วย เป็นพวกถูกขับไล่ออกจากหมู่อ๊อคด้วยกัน

ปีศาจแฝงฝัน Succubus


หัวเสารูปซัคคิวบัส ปีศาจแฝงฝัน หรือ ซัคคิวบัส (Succubus) ตามความเชื่อแล้ว ลักษณะของซัคคิวบัส จะเป็นปีศาจที่อยู่ในรูปของผู้หญิงที่มีเสน่ห์เย้ายว น ที่แฝงด้วยอาคมจนยากที่ชายใดจะปฏิเสธได้ เชี่ยวชาญด้านการหลอกล่อผู้ชาย ร่างจริงจะมีปีก ตาคล้ายงู แต่สามารถแปลงกายให้คล้ายมนุษย์ได้ จะล่าเหยื่อในฝัน โดยจะหลอกล่อเหยื่อ แล้วมอบความฝันสุดปรารถนาให้กับชายที่โดนสิง แลกกับไอชีวิตของเหยื่อ เหยื่อจะสูญเสียพลังงานอย่างมากบางทีอาจถึงชีวิต ปีศาจประเภทนี้ในขณะที่ยังไม่โตเต็มที่ จะเป็นได้ทั้งชายและหญิง เมื่อโตเต็มที่จึงจะเลือกเพศ โดยปีศาจประเภทนี้ที่เป็นชาย จะมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า อินคิวบัส (incubus) ซึ่งต่างก็มีพฤติกรรมการล่าคล้ายกัน หากแต่จะเลือกเหยื่อที่เป็นเพศตรงข้ามกับตนเอง พฤติกรรมของซัคคิวบัสนั้นเชื่อได้ว่ามีเค้าโครงมาจาก ลิลิมซึ่งเป็นลูกสาวของลิลิธในตำนานของชาวยิว


เป้าหมายที่เป็นเหยื่อของซัคคิวบัส มักจะอยู่ที่บาทหลวงหนุ่มๆ เพื่อเป็นการขโมยพลังที่จะใช้ต่อสู้กับซาตานไป เช่นเดียวกับอินคิวบัสที่ส่วนใหญ่จะมีเป้าหมายเป็นแม ่ชีสาวๆ ซึ่งสิ่งที่ซัคคิวบัสขโมยไปจากผู้ชายคือน้ำอสุจิ เพื่อนำไปใช้ในการสร้างภูตผีใหม่ๆ ขึ้นมา โดยเชื่อกันว่าการที่ผู้ชายฝันเปียกเพราะการทำร้ายจา กซัคคิวบัสนั่นเอง
ยาฉะ (Yasha) เป็นปีศาจที่มีพฤติกรรมคล้ายกับซัคคิวบัสมาก แต่เป็นผู้หญิงและเป็นผีญี่ปุ่น ลักษณะเป็นหญิงสาวที่งดงามเช่นเดียวกับซัคคิวบัส และใช้มนต์มายาได้เหมือนกับซัคคิวบัส ยาฉะจะดูดไอชีวิตจากเหยื่อเพื่อยังชีพเหมือนกัน มนต์มายาของยาฉะสามารถทำให้เหยื่อเป็นบ้าได้ สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างยาฉะกับซัคคิวบัส คือ ยาฉะไม่สามารถล่าเหยื่อในฝันได้เหมือนซัคคิวบัส

แหล่ง ที่มา http://atcloud.com/stories/70123

Credit: http://atcloud.com/stories/70123
#ตำนาน
Messenger56
เด็กกองถ่าย
สมาชิก VIP
19 พ.ค. 53 เวลา 23:02 15,267 4 50
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...