รวมสัตว์ในตำนาน และเทพนิยาย ตอนที่ 8

ครอกกาไทรส์ - Cockatrice



ครอกกาไทรส์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ค่อนข้างเหมือนกับBasiliskไม่ว่าจ ะเป็นทางด้านต้นกำเนิดหรือเรื่องๆอื่นจนบางคนคิดว่าเ ป็นตัวเดียวกันซะอีก แต่ความจริงย่อมมีเพียงหนึ่งเดียวก็คือมันเป็นคนละตั วกันค่ะ!!

Cockatriceตัวนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีล ักษณะอยู่ระหว่าง"ไก่" และ "มังกร" แค่มันจ้องไปที่สิ่งมีชีวิตอื่นใดสิ่งมีชีวิตนั้นอัน ต้องกลายเป็นหินทีเดียวและที่แน่นอนคือมันเกิดออกมาจ ากไข่ของพ่อไก่!!! (หมายเหตุ:คงเกิดจากการแปรผันทางพันธุกรรม การกลายพันธุ์หรือความผิดพลาดทางด้านยีนส์, โครโมโซม ไม่กัมมันตภาพรังสี)


จุดเด่นที่ทำให้มันแตกต่างกะBasiliskจริงๆคือที่ผิวข องมันจะไม่ปกคลุมด้วยเกล็ดตลอดทั้งตัวแบบ จะมีบางส่วนเป็นขนแบบไก่ลักษณะทางกายภาพทั่วไปค่อนข้ างคล้ายไก่ยักษ์ มีปีกบริเวณด้านข้างของลำตัวมีจงอยปากยาว ตาคมแดงดุมีหางยาวงอกออกมาเหมือนมังกรหรืองู(บริเวณน ี้จะไม่มีขนปกคลุมแต่จะเป็นเกล็ด)

 

ไวเวิร์น
เป็นสิ่งมีชีวิตในสายพันธุ์หนึ่งของมังกร มีลักษณะทั่วไปคล้ายมังกรคือ บริเวณลำตัวจะปกคลุมด้วยเกล็ด ฯลฯ ที่ต่างจากมังกรทั่วไปคือ จะเป็นมังกร 2 ขา (มีแค่2ขางหลังไว้เดินยืน ไม่มีขาหน้าที่ทำหน้าที่คล้ายมือแบบมังกรทั่วไป)
มีลักษณะเด่นคือ มีหางที่มีลักษณะแหลมเรียวคล้ายหอก และมีส่วนที่คล้ายไบมีด หรือหนามแหลมงอกออกมาที่บริเวณปลายหางด้วย(จะเรียกส่ วนนั้นว่าแฉกครับที่แหลมเรียวมากก็ไม่เชิงฮะ) หางของมันที่มีลักษณะพิเศษนี้เอง ที่กลายเป็นอาวุธเด็ด ใช้แทงเข้าที่ศัตรู หรือใช้ฟาดไปที่ลำตัวของศัตรูก็ได้(สังเกตนะฮะ ว่าหางมันจะมีลักษณะคล้ายปลายหอก หรือธนู เพราะฉะนั้นถ้าโดนมันแทงเข้าไปแล้วละก็ ไม่มีทางถอนออกโดยปราศจากแผลเหวอะหวะโคม่าได้เลย นึกแล้ว เสียววววววว)



Wyvernนี้ มักจะพบเห็นได้บนโล่ห์ของผู้ถือสาน์ส (คาดว่า คงอยู่ในสมัยยุคกลาง หรือยุคมืดของยุโรป) Wyvern ยังเป็นสัญลักษณ์ของการคุ้มครอง ปกป้อง รักษาอีกด้วย

 

 โพไซดอน

ตามตำนานเล่าว่า โพเซดอนเป็นบุตรของโครโนส กับ เร มีพี่น้องร่วมบิดามารดาอีก 4 องค์ ซึ่งล้วนแต่เป็นเทพแห่งโอลิมปัสทั้งสิ้น ได้แก่
ซูส ผู้เป็นใหญ่ในสภาเทพแห่งโอลิมปัส
ฮาเดส ผู้ครอบครองยมโลก
เฮรา ชายาแห่งเทพซูส
เฮสเตีย เทพีแห่งเตาผิง
โพไซดอน หรือ โพเซดอน หรือ โปเซดอน (อังกฤษ: Poseidon; กรีก: Ποσειδ?ν; ละติน: Nept?nus เนปจูน)
ภาพลักษณ์ของโพเซดอน ส่วนมากจะปรากฏเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างกำยำล่ำสัน มีหนวดเครา ถือสามง่ามเป็นอาวุธ ซึ่งสามง่ามนี้มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถดลบันดาลให้เกิดทะเลคลั่งหรือแผ่นดินไหวได้ ครั้งหนึ่งโพเซดอนเคยคิดที่จะโค่นอำนาจของซุส โดยร่วมมือกับเฮราและอะธีนา แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกซุสลงโทษ โดยการให้ไปสร้างกำแพงเมืองทรอยร่วมกับอพอลโลด้วยเช่ นกัน
โพเซดอนมีมเหสีองค์หนึ่ง ที่เป็นหญิงรับใช้ของอะธีนา คือ เมดูซ่า ก่อนที่จะถูกสาบให้มีผมเป็นงู เพราะหลงใหลในความงามของเมดูซ่า (บางตำราบอกว่า เมดูซ่า หลงไหลโพไซดอนก่อน และโพไซดอน แปลงเป็นม้ามาร่วมรักกับเมดูซ่า) เมื่ออะธีนาทราบเรื่องจึงสาบเมดูซ่าให้เป็นปีศาจที่ม ีผมเป็นงู และเมื่อมองใครก็จะกลายเป็นหินไปหมด เมื่อเปอร์ซิอุสตัดศีรษะของเมดูซ่าแล้ว เลือดของเมดูซ่าที่กระเซ็นออกมา กลายเป็นม้าบินสองตัว (เนื่องจากโพไซดอน แปลงกายเป็นม้ามาร่วมรักกับเมดูซ่า) คือ เพกาซัส (Pegasus) และ คริสซาออร์ (Chrysaor) ดังนั้นจึงถือว่า ทั้งเพกาซัสและคริสซาออร์เป็นลูกของโพเซดอนด้วย
โพเซดอน มีพาหนะเป็นม้าน้ำเทียมรถ ที่มีส่วนบนเป็นม้าและท่อนล่างเป็นปลา ซึ่งบางครั้งจะพบรูปโพเซดอนอยู่บนรถเทียมม้าน้ำนี้ขึ ้นมาจากทะเล


โพไซดอน เทพเจ้าแห่งทะเลเป็นเทพเจ้าที่หงุดหงิด โมโหง่าย และอารมณ์รุนแรง ดวงเนตรสีฟ้าดุดันมองผ่านทะลุม่านหมอกได้ และเกศาสีน้ำทะเลสยายลงมาเบื้องหลัง เธอได้รับสมญา ว่า “ผู้เขย่าโลก” เพราะเมื่อปักตรีศูลลงบนพื้นดิน โลกพลันสั่นสะเทือน และแยกออกจากกัน เมื่อฟาดตรีศูลลงบนทะเล บังเกิดคลื่นลูกใหญ่เท่าภูเขา และเกิดพายุมีเสียงครึกโครมน่ากลัว ทำเรือแตกและผู้คนที่อาศัยอยู่ชายทะเลจมน้ำตาย แต่เมื่อยามโพไซดอนอารมณ์ดี ทรงยื่นพระหัตถ์ออกไป ทำให้ทะเลสงบและทรงยกแผ่นดินใหม่ขึ้นจากน้ำ

 

เบเฮโมท


อสูร ร้ายดึกดำบรรพ์ จ้าวแห่งผืนปฐพีเช่นเดียวกับ เลวีอาธานจ้าวแห่งผืนน้ำ และ ซิซจ้าวแห่งผืนนภา ชื่อเบเฮโมท มาจากภาษาฮีบรู Behemot มีความหมายหมายถึงอสูรกาย สัตว์ขนาดใหญ่ยักษ์ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลก คำดังกล่าวยังถูกใช้เปรียบเทียบกับสิ่งที่มีขนาดใหญ่ โตมโหฬารเกินกว่าจะ เปรียบเทียบได้ด้วย
กำลังของมันอยู่ในเอว และฤทธิ์ของมันอยู่ในกล้ามเนื้อท้อง มันขยับหางของมันให้แข็งเหมือนไม้สนสีดาร์ เอ็นโคนขาของมันก็สานเข้าด้วยกัน กระดูกของมันเหมือนท่อนทองเหลือง และกระดูกของมันเหมือนท่อนเหล็ก มันเป็นพระราชกิจชิ้นที่สำคัญของพระเจ้า ผู้ทรงสร้างมันนำดาบมาให้ ภูเขาผลิตอาหารให้มันแน่ เป็นที่ที่สัตว์ป่าทุ่งทุกชนิดเล่น มันนอนอยู่ใต้ต้นไม้ที่มีร่มเงา ในเพิงอ้อและในบึง ต้นไม้ที่มีร่มเงาเป็นเงาคลุมมัน ต้นหลิวแห่งธารน้ำล้อมมันไว้

เบเฮโมท กับ เลวีอาธาน
ตาม ความเชื่อของชาวยิวโบราณ เบเฮโมทเป็นอสูรกายดึกดำบรรพ์แห่งผืนภพ ขณะที่เลวีอาธานเป็นอสูรกายดึกดำบรรพ์แห่งผืนนที และซิซครอบครองผืนนภา
มี ตำนานกล่าวว่า เลวีอาธาน กับ เบเฮโมท จะต่อสู้ทำศึกกันในวาระสุดท้ายของโลก โดย เบเฮโมท คือ วัว และ เลวีอาธาน คือปลา ทั้งคู่จะเข้าห้ำหั้นกัน โดยกำลังของเบเฮโมทอยู่ในเขาอันทรงพลัง ขณะที่เลวีอาธานอยู่ในครีบ และสุดท้ายทั้งคู่จะฆ่ากันและกัน ส่วนมนุษย์ที่เหลือรอดจะจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่จากเนื้ อจำนวนมหาศาลของมัน ขณะที่แหล่งข้อมูลอื่นว่า พระผู้สร้างจะเสด็จลงมาพร้อมด้วยดาบอันทรงฤทธานุภาพแ ละสังหารมันทั้งคู่ลง เสีย



เบเฮโมท ในฐานะสัตว์ประหลาด
เช่น เดียวกับเลวีอาธาน ที่นักวิชาการพระคัมภีร์จะพยายามตั้งสมมุติฐานถึงเบเ ฮโมทในฐานะสิ่งมีชีวิต สัตว์ปกติอย่างหนึ่งในโลก ซึ่งสัตว์โลกที่ถูกตั้งข้อสมมุติฐานว่าอาจเป็นที่มาข องเบเฮโมทก็ได้นั้น ได้แก่ ควายน้ำ แรด วัว และ ช้าง แต่ที่เชื่อและได้รับการยอมรับกันมากที่สุดคือ ฮิปโปโปเตมัส เพราะในพระคัมภีร์บทหนังสือของอิศยาห์เอง ก็มีการแปลความตัว ฮิปโปโปเตมัส เป็น Bahamat Negeb หรือ “อสูรแห่งทิศใต้”
แต่กระนั้นก็ดี นักวิชาการบางส่วนก็ยังไม่เชื่อในข้อสันนิษฐานนั้น โดยยกประเด็นเรื่องหางมาเป็นข้อโต้แย้ง จากบทบรรยายที่พูดถึงหางที่แกว่งไกวไปมาเหมือนไม้สนซ ีดาร์ในพระคัมภีร์ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะสื่อถึงช้างเสียมากกว่า
ส่วนกลุ่มอื่นๆ ที่มีความเห็นแตกต่างกัน เชื่อว่าเบเฮโมทน่าจะเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์เยี่ยงไดโนเ สาร์เสียมากกว่า โดยเฉพาะไดโนเสาร์ในตระกูล ซอร์รอพอด ที่มีลักษณะหลายอย่างตรงตามบทบรรยายของโยบ เช่น เรื่องของขนาดอันใหญ่โต กระดูกเหมือนท่อนเหล็ก ความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ และหางที่แกว่งเหมือนไม้สนซีดาร์ แต่กระนั้นก็ดี ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่สอดคล้องหลายประการ ทั้งจากหลักฐานทางฟอซซิล และบทบรรยายว่า เบเฮโมท กินหญ้าเป็นอาหารเยี่ยงวัวอีก ซึ่งขัดกับลักษณะฟันและธรรมชาติของซอร์รอพอด

แมนแดรก (Mandrake) หรือ Mandragora


เรื่องราวของพืชชนิดนี้ปรากฏในนวนิยาย เกี่ยวกับเวทมน ต์ เรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ ที่ดังกระฉ่อนไปทั่วโลกทั้งยอดพิมพ์หนังสือที่มีคนจอ งอย่างล้นหลามแม้นำมาสร้างภาพยนต์ ทำรายได้อย่างถล่มทลาย ท่านที่เป็นแฟนนวนิยายเรื่องนี้คงจะรู้จักเจ้าพืชประ หลาดชนิดหนึ่งที่ส่งเสียงร้องอย่างน่ากลัว ที่เหล่าพ่อมดน้อยใหญ่อยากได้มาทำเครื่องปรุงทางมายิ ก ( ไสยศาสตร์ )
แมนดราโกร่าหรือแมนเดรค เป็นพืชที่มีอยู่จริง เป็นพืชในตระกูล nightshades หรือ Solanaceae (ตระกูลเดียวกับมะเขือม่วงและมันฝรั่ง) รูปร่างเหมือนผักชีฝรั่ง มีรากแตกแยกสาขาย่อยๆ


ลักษณะ เป็นพืชที่มีใบเป็นกระจุกสีม่วงอมเขียวคล้ายใบพืชยาส ูบ รูปร่างของลำต้นเหมือนกับมนุษย์ มีดอกสีม่วง ดอกมีสีเขียวค่อนข้างขาว ยาวเกือบ2นิ้วกว้าง ผลมีรูปทรงกลม, ฉ่ำ, สีส้มให้ลูกเล็กๆสีแดง, การคล้ายผลมะเขือเทศเล็ก และ ส่วนทั้งหมดของพืชแมนเดรกเป็นพิษ, รวมทั้งบนCorsica ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติตั้งแต่เขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียนม า ใต้ และยุโรปกลาง จนถึงประเทศจีน โดยเห็นได้จากพระคัมภีร์ไบเบิลชาวอิสราเอลได้กล่าวถึ งมันไว้ ที่รู้จักกันในฐานะสมุนไพรนั้นประกอบด้วย 3 ชนิดอัน ได้แก่ officinarun L., M. autumnalis Spreng. และ M. caulescens Clarke เป็นพืชที่มีสารอัลคาลอยด์อยู่ในรากเป็นจำนวนมากเช่น เดียวกับพืชอื่นๆในตระกูลเดียวกัน มีฤทธิ์เป็นสารหลอนประสาทและฤทธิ์สารเสพติดในอดีตเคย ใช้เป็นยาแก้ปวดพืช
ส่วนในตำนานมักจะกล่าวว่าแมนเดรคมีราก แยกเป็นสองแฉกด ูเหมือนรูปร่างมนุษย์ ซึ่งมักมีการวาดรูปเป็นมนุษย์ที่มีรากงอกออกมาที่ปลา ยมือเท้า และมีดอกไม้งอกอยู่บนศีรษะ ซึ่งภาพดังกล่าวนี้ได้รับอิทธิพลจากศาสนายิวอันกล่าว ว่า แมนเดรคเป็นต้นแบบที่พระเจ้าทำขึ้นก่อนการสร้างมนุษย ์ นอกจากนี้ คริสเตียน โรเซนครอยส์ซึ่งเป็นผู้นำของRosenkreuzer (กลุ่มกางเขนกุหลาบในศตวรรษที่ 17) ยังได้กล่าวในบันทึกว่า มนุษย์นี่แหละคือแมนเดรคที่เกิดมาจากพื้นดิน
บาง ตำราจะแบ่งแมนเดรคออกเป็นเพศชายและ เพศหญิง โดยแมนเดรคซึ่งบานในฤดูใบไม้ผลิจะมีดอกสีขาวและเป็นเ พศชาย ส่วนแมนเดรคที่บานในฤดูใบไม้ร่วงจะมีดอกสีดำและเป็นเ พศหญิง ยิ่งเป็นแมนเดรคที่มีอายุมาก รากก็จะกลายเป็นสองแฉกและออกจากพื้นดินมาเดินเพ่นพ่า นไปมาได้

 

Undine


จากตำนานติวตอนิค Undine(ใครรู้วิธีการออกเสียงก็บอกกันด้วยน้า) เป็นพรายน้ำเพศหญิง ที่ชอบติดต่อ มีสัมพันธ์กับมนุษย์ พวกเธอมักจะแอบเข้ามาอยู่ในสังคมร่วมกับมนุษย์ บางครั้งก็จะมาเข้าร่วมงานเต้นรำ หรือสังสรรค์ตามหมู่บ้านต่างๆแถบชนบท



Undineถูกทำให้กำเนิดขึ้นโดยปราศจากวิญญาณ โดยการที่ได้แต่งงานและมีบุตรร่วมกับบุคคลที่มีชีวิต เธอจะได้วิญญาณมาครอบครอง และสร้างความเจ็บปวดและกลายเป็นบทลงโทษของเผ่าพันธุ์ มนุษย์

ม้าเซ็กเธาว์



เซ็กเธาว์ (Red Hare, พินอิน: Chìtù m?) คือสุดยอดอาชาแห่งยุคสามก๊ก
มีสำนวนในสามก๊กว่า ยอดคนต้องลิโป้ ยอดม้าต้องเซ็กเธาว์
จัดเป็นม้าโลหิตประเภทหนึ่งได้ เพราะขนตามลำตัวมีสีแดงเหมือนโลหิต (หรือสีแดงราวถ่านเพลิง) นิยายบางเล่ม เรียก ม้ากระต่ายแดง (เนื่องจากฝีเท้าปราดเปรียว เหมือนกระต่าย) ในเนื้อเรื่องของสามก๊กยังกล่าวไว้อีกว่าม้าตัวนี้วิ ่งได้วันละพันลี้ หรือ 480 กิโลเมตร เสียงของมันดังกึกก้องกัมปนาท สะท้านฟ้าสะท้านดิน
เดิมทีเป็นม้าของตั๋งโต๊ะ ซึ่งต่อมาได้มอบให้กับ ลิโป้ พร้อมกับเครื่องบรรณาการมากมาย เพื่อให้ลิโป้ทรยศพ่อบุญธรรม คือเจ๊งหงวน ฝ่ายลิโป้เห็นแก่ลาภยศจึงได้บุกลอบเข้าไปฆ่าพ่อบุญธร รมของตนจนตายเสีย และจึงเข้าร่วมกับตั๋งโต๊ะในที่สุด ต่อมาหลังจาก ลิโป้ถูกโจโฉประหารที่เมืองเสียวพ่าย ม้าเซ็กเธาว์ ก็ตกไปเป็นของโจโฉจนกระทั่ง เมื่อกวนอูมาอยู่กับโจโฉระยะนึง โจโฉต้องการมัดใจกวนอูและมอบเครื่องบรรณาการมากมายให ้รวมทั้งม้าเซ็กเธาว์ด้วย ภายหลังเมื่อกวนอู ถูกจับตัวโดยลิบองและลกซุน เซ็กเธาว์ก็ตกเป็นของซุนกวน แต่ในที่สุดเมื่อกวนอูถูกประหาร ม้าเซ็กเธาว์ก็ไม่ยอมกินอะไรและอดตายในที่สุด
เซ็กเธาว์ แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ชื่อม้า แต่เป็นชื่อสายพันธุ์ม้า เชื่อว่ามีถิ่นกำเนิดแถบตะวันออกกลาง

 

 เลปพราคอน - Leprechaun


เลปพราคอนเป็นความเชื่อของชาวไอริช เป็นคนแคระที่มีรูปร่างเล็กมากแต่งตัวค่อนข้างซอมซ่อ แต่มิดชิดเนื่องจากอยู่ในเมืองหนาวบางครั้งอาศัยอยู่ ในห้องเก็บไวน์ใต้ดิน บางครั้งในบ้านในไร่นาส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแถบชนบทชานเ มือง แถบเนินเขาสูงชอบช่วยเหลือคนในงานต่างๆ


ภูตที่ครอบครองทรัพย์สมบัติจำพวก ทองเชื่อกันว่ามนุษย ์จะได้ครอบครองทองโดยตั้งใจมองหาภูตนี้ที่ปลายของสาย รุ้งภูตนี้ไม่เหมือนฮอบบิทนะตัวเล็กกว่า3-4เท่าแล้วอวัยวะอื่นๆคล้ายคนทุก ประการและชอบอยู่แอบใ นบ้านมนุษย์ แต่บ้างพวกก็อยู่กันเป็นกลุ่มใต้ดินที่เป็นโพรง

 

เหรา , มกร


เหรา นั้นเป็นสัตว์ในหิมพานต์ ซึ่งสัตว์ค่อนไปทางจำพวกจรเข้ ผสมกับนาค หลายคนเชื่อว่ามันเป็นสัตว์ที่อยู่ได้ทั้งบนบกและในน ้ำ กินเนื้อเป็นอาหาร
เหรา หรือที่ชาวล้านนา พม่า เรียกว่า มกร (มะ-กะ-ระ) จริงๆแล้ว ตัวมกรนั้นปรากฏเป็นสัตว์ในนิยายในความเชื่อของพม่า เขมร และอินเดีย นะคะ โดยมีลักษณะเทียบเคียงกับตัวเหราในป่าหิมพานต์ของไทย ตัวมกรเองก็จัดอยู่ในตระกูลจระเข้เช่นเดียวกัน ที่ชาวภาคเหนือเรียกเหราว่ามกรนั้น เหตุก็เพราะทางภาคเหนือมีพื้นพี่ติดกับพม่า จึงรับอิทธิพลจากฝั่งพม่ามาโดยปริยาย บางครั้งเราก็เรียก มกร ว่า เบญจลักษณ์ , ตัวสำรอก เนื่องจากในงานศิลปะ มกรมักจะคายหรือสำรอกเอาวัตถุใดๆออกมาทุกครั้ง

เหรามีหลายพันธ์

สุบรรณเหรา (ครึ่งครุฑครึ่งเหรา)


ลักษณะ ตัวเป็นนกแบบครุฑ หัวเป็นเหรา แข้งขาเป็นสิงห์ ขนหางเป็นนก
Credit: http://atcloud.com/stories/70123
#ตำนาน
Messenger56
เด็กกองถ่าย
สมาชิก VIP
19 พ.ค. 53 เวลา 22:55 7,356 1 20
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...