....มิโนทอร์ (Minotaur) ตามเทพนิยายกรีก มิโนทอร์มีตัวเป็นคนหัวเป็นวัวเกิด อยู่ในคุกที่ไม่มีทางออกสร้างโดยแดดาลุส-นักประดิษฐ์ ซึ่งได้รับคำสั่งจากราชาไมนอส (Minos) เป็นห้องโถงที่มีทางเข้าทางออกวกวนน่าเวียนหัว มีทั้งชั้นล่างและชั้นบน เป็นเขาวงกต (Labyrinth)
....เรื่องราวความเป็นมาของมิโนทอร์เริ่ม ขึ้นเมื่อ ไมนอส (Minos) พยายาม ที่จะก้าวขึ้นสู่ บัลลังก์กษัตริย์ของครีต (Crete) ในการทำเช่นนี้ไมนอส ต้องชนะใจ ชาวครีต และอ้างว่าเทพเจ้าก็เห็นดีเช่นกัน ดังนั้นเทพเจ้าจะตอบรับคำขอทุกข้อของเขาอีกด้วย ชาวครีต อาจจะไม่ค่อยพอใจ การที่ไมนอสจะขึ้นเป็นกษัตริย์เท่าไร จึงท้าให้เขาขอ โปไซดอน (Poseidon) เจ้าแห่งสมุทร ให้ส่งวัวพ่วงพี ขึ้นมาจากทะเล ให้ดูเป็นขวัญตา มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ
....ว่าแล้วชาวครีตทั้งหมดก็ติดตามไมนอสไปที่ริมหาด เพื่อเฝ้ามองไมนอสทำพิธีดังกล่าว ไมนอสได้พยายามเฝ้าวิงวอน เทพเพื่อให้พระองค์ ส่งวัวขึ้นมาให้ตามที่ชาวครีตท้า และสัญญาว่าจะฆ่าวัวตัวนั้นเป็น การบูชายัญ เพื่อเป็นการสรรเสริญเกียรติแห่งโปไซดอนทันที ไมนอสใช้เวลาไม่นานสิ่งประหลาดอย่างหนึ่งก็เกิดขึ้น ในท่ามกลางความแตกตื่น และประหลาดใจของชาวครีต ที่กำลังจ้องมองดูทะเลตรงหน้า น้ำทะเลก็แตกออกเป็นช่อง
....วัวสีขาวพ่วงพีที่งดงามตัวหนึ่งปรากฏ ขึ้น และว่ายตรงมาเข้าฝั่งดังคำวอนของไมนอส คำท้าทายของชาวครีตกลายเป็นความจริง ไมนอสจึงได้รับการเลือกเป็นกษัตริย์สม เจตนารมณ์ ถ้าเพียงแต่เมื่อขึ้นเป็นกษัตริย์แล้ว พระองค์รักษาสัญญาที่ให้ไว้ แต่ไมนอสก็ไม่สามารถทำได้ สัญญาที่ให้ไว้กับเทพถูกลืมเลือน วัวสีขาว ตัวนั้นช่างงดงามจนพระองค์ไม่กล้าเชือดมัน ได้แต่ปล่อยมันไว้กับฝูงสัตว์ของพระองค์ และทำการบูชายัญวัวธรรมดาๆ ไปให้โปไซดอน
....โปไซดอน -เจ้าแห่งสมุทร ซึ่งได้รับการบูชายัญอย่างบิดเบือน ย่อมรู้สึกคั่งแค้นกับการ ทรยศต่อคำมั่นสัญญา อย่างที่ไมนอสทำกับ พระองค์ยิ่งนัก และแล้วพระองค์ก็คิดวิธี แก้แค้นเจ้าคนโฉดได้… โปไซดอนสาปให้ ปาซิฟาอี (Pasiphae) มเหสีของไมนอส หลงรักวัว! ปาซิฟาอีที่ต้องคำสาป เธอเฝ้าทุ่มเทดูแลวัวของเทพเจ้า เฝ้าโอบกอดทะนุ ถนอม ลูบไล้อย่างเสน่หายิ่ง
....ถึงขนาดสั่งการให้ตามตัว แดดาลุส (Daedalus) นักประดิษฐ์มาที่ครีต เพื่อให้ทำอะไรอย่างหนึ่งค่อนข้างน่าตระหนก สำหรับตัณหาของนาง เพราะปาซิฟาอี สั่งสร้างแม่วัวปลอมขึ้น เพื่อตบตาเจ้าวัวหนุ่ม โดยนางจะเข้าไป หมอบสวมรอย อยู่ใต้ร่างแม่วัวปลอมตัวนี้ คอยให้วัวงามของโปไซดอน มาร่วมอภิรมย์กับนาง หลังจากที่ปาซิฟาอีมีอะไร กับวัวหนุ่มได้ไม่นาน นางก็ตั้งครรภ์ ครั้นครบถ้วนทศมาส นางก็คลอดบุตรออกมา ความลับทั้งหลาย ที่พึงปิดบังไว้มานานก็แตก มันคือทารกประหลาด ที่มีหัวเป็นวัว ตัวเป็นคน
....ไมนอสแทบกระอักเพราะความอับอาย พระองค์เพิ่งนึกได้ว่านี่คือการแก้แค้น ของเจ้าสมุทรทำกับพระองค์ แม้ว่าจะต้องการ สังหาร เจ้าเด็กปีศาจนี่ทิ้งเพียงไร แต่ไมนอสก็ต้องทนขมขื่นเลี้ยงมันไว้ เพราะพระองค์เกรงว่าหากทำอะไร เป็นที่ขุ่นเคือง โปไซดอน ซ้ำสอง คราวนี้ครีตอาจจะไม่พ้นความพินาศ ชาวครีต พากันเรียกขาน มันว่า มิโนทอร์ ซึ่งแปลว่า โอรสวัวแห่งไมนอส
....มัน เป็นสัตว์ประหลาดเติบโตอย่างรวดเร็วมาก ไม่ช้า เขาเล็กๆ ของมันก็เติบโต วงกว้างกว่าแขนคนเหยียดออก และกลายเป็น สัตว์กระหายเลือด ต้องการกินเนื้อคน เป็นอาหาร ไมนอสได้ทำ สิ่งหนึ่งที่จะสามารถยับยั้ง สัตว์ร้ายตัวนี้ไม่ให้ออกไป เพ่นพ่านหาคนกิน ตามอำเภอใจ ด้วยการสั่งแดดาลุส- นักประดิษฐ์ ให้สร้างคุกที่ไม่มีทางออก แดดดาลุสจึงได้สร้างห้องโถง ที่มีทางเข้าทาง ออกวกวนน่าเวียนหัวมีทั้งชั้นล่างและชั้นบน เป็นเขาวงกต (Labyrinth)
....ในเวลาเดียวกับที่มิโนทอร์เกิด โอรสอีกองค์ของ ไมนอส คือ แอนโดรจีอุส(Androgeus) ได้เดินทางไปสู่เอเธนส์ เพื่อเข้าร่วม กีฬาโอลิมปิก แอนโดรจีอุสเป็นนักกีฬาที่มีความสามารถมาก เขาจึงชนะการแข่งขันหลายรายการ จนทำให้ชาว เอเธนส์เกิดความไม่พอใจ ก่อนที่เขาจะได้ชัยชนะในกีฬาอีกครั้ง ชาวเอเธนส์ที่ไม่มีน้ำใจเป็นนักกีฬาก็ลากเขาไปเชือดคอหลังพุ่มไม้
....ไมนอ สได้ทราบข่าวด้วยหัวใจชอกช้ำซ้ำสอง พระองค์กรีธาทัพเข้าตีเอเธนส์ เพื่อเป็นการล้างแค้นให้แก่ลูกชาย กองทัพของพระองค์เข้าโอบล้อม จากทุกด้านจนชาวเอเธนส์ ต้องเจรจาหย่าศึก ไมนอสมีข้อแม้เพียงประการเดียว นั่นคือทุกๆเก้าปีเอเธนส์ จะต้องส่งหญิงสาวเจ็ดคน และชายหนุ่มเจ็ดคนลงขบวนเรือที่ชักใบดำนำทางมาครีต และคนสนิท ของราชาไมนอสก็จะนำเหยื่อเหล่านั้นส่งเข้าไปในเส้นทางแคบวกวน ที่มีแสงเพียงสลัวๆ ให้คลำหาทางไปจนได้ยินเสียงลมหายใจที่รุนแรงของวัวดุ ซึ่งเหยื่อเหล่านั้นจะพบจุดจบ ที่น่าสยดสยอง เรื่องราวแห่งความเศร้าโศก ยังดังระงมไปอย่างนี้ต่อกันจนกระทั่งถึงปีที่ ยี่สิบเจ็ด
....ปีนั้นวีรบุรุษก็เกิดขึ้น วีรบุรุษคนนั้นคือธีสซูส (Theseus) ผู้เป็นโอรสของ พระราชา อีจีอุส (Ageus) แห่งเอเธนส์ ได้ขอให้ส่งตัวไปพร้อมกับเหยื่อเคราะห์ร้าย รุ่นใหม่ ที่จะส่งไปสังเวยมิโนธอร์ ธีสซูสประกาศว่าเขาจะต้อง เป็นผู้พิชิตมิโนทอร์ ฆ่ามันให้ได้ และจะกลับมาหาบิดาผู้ชราในเรือที่ติดใบสีขาว แม้ว่าขณะนั้นเขายังคิดหา วิธีฆ่ามันไม่ได้เลยก็ตาม เรื่องของเรื่องก็มาสำเร็จเพราะความรัก อรีแอดนี
....(Ariadne) ธิดาของ ไมนอสเองที่ตกหลุมรักหนุ่มชาวเอเธนส์ทันทีที่ได้เห็น ขณะที่ยามผลักไส เธสิอุสให้เข้าในเขาวงกต อรีแอดนีก็ยัดด้ายใส่มือเขาไปด้วย ธีสซูสโรยด้ายมาตามทางเดินที่วกวน เขาคอยเงี่ยหูฟังเสียงมิโนทอร์อย่างระมัดระวัง จวบจนกระทั่งมาถึงทางหักเลี้ยวแรก ธีสซูสได้ยินเสียงฝีเท้าคน พร้อมกับเสียงหายใจฟืดฟาดของวัวที่พุ่งเข้าหาด้วย ความรวดเร็ว
....แทนที่จะได้ลิ้มรสเนื้อหวานนุ่มของหนุ่มสาว เหมือนเช่นเคย มิโนทอร์กลับเจอกับนักรบที่แคล่วคล่องว่องไว ธีสซูสสามารถกระโดดหลบหลีก การจู่โจมของมิโนทอร์ ได้ทุกครั้ง พอสบโอกาสเขาก็คว้า จับเขาของมิโนทอร์ไว้ และใช้กำลังเข้ายันจนมันตกเป็นเบี้ยล่าง มิโนทอร์ร้องโหยหวน เสียงการต่อสู้ก็ดังออกไปถึงนอกเขาวงกต ไม่ช้าผู้คนก็ได้ยินเสียง ธีสซูสซึ่งจับเขาสองข้างของสัตว์ร้ายไว้ได้มั่น และออกแรงบิดอย่าง ฉับพลัน ทำให้คอมิโนทอร์หักสะบั้น วัวดุในร่างมนุษย์ที่ดุร้าย น่าสะพรึงกลัวของครีตก็สิ้นชื่อในบัดดล
....ธีสซุสคลำทางตามเส้นด้าย จนออกมาข้างนอกเขาวงกต เรื่องราวร้ายๆน่าจะจบลง แต่ไม่ใช่ด้วยดีทั้งหมด แม้ว่าธีสซูสจะได้เดินทางกลับบ้านไป พร้อมกับ อรีแอดนี ก็อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้มีใจกับนางเลยก็ได้ ธีสซูสจึงทรยศ รักกับเจ้าหญิงน้อยซึ่งช่วยเหลือเขา ขณะที่เธอเผลอ หลับเมื่อคราวขึ้นพักบนเกาะแนคซอส (Naxos) ซึ่งเป็นเกาะ ระหว่าง ครีตกับเอเธนส์ ธีสซูสก็ทิ้งเธอไว้ที่นั่นและรีบแล่นเรือหนีไปทันที ทำให้เขาลืมสัญญา ที่เคยให้ไว้กับบิดาผู้ชรา ลืมเปลี่ยนใบเรือจากดำเป็นขาว อีจีอุสซึ่งเฝ้ารออยู่บนหน้าผา เมืองเอเธนส์ทุกวัน แลเห็นเรือใบสีดำแล่นเข้ามาแต่ไกล ก็เข้าใจว่าธีสซูสลูกรักสิ้นชีวิตเสียแล้วราชาผู้ชรา หัวใจแตกสลาย ไม่สมารถทนทานต่อความผิดหวังได้ซ้ำอีก จึงกระโดดลงจากผาเพื่อจะฆ่าตัวตายตามลูกรัก….
Queen of Nagas(พญานาค)
....นาค หรือ พญานาค งูใหญ่มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาล
....นาคเป็น เทพเจ้าแห่งท้องน้ำ บางแห่งก็ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้า
....ตำนานความเชื่อเรืองพญานาคมีความเก่าแก่มาก ดูท่าว่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอีกด้วย สืบค้นได้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้เป็นป่าเขาจึงทำให้มีงูอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นลักษณะทางกายภาพคือมีพิษร้ายแรง งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้การนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงนับถืองู
....เป็นสัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยายและตำนาน พื้นบ้าน บ้างก็ว่าเป็นสัตว์ในป่าหิมพานต์ มีความเชื่อเรื่องพญานาคแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยเรียกชื่อต่างๆ กัน
....ต้นกำเนิดความเชื่อเรื่องพญานาคน่าจะ อยู่ที่อินเดีย ด้วยมีนิยายหลายเรื่องเล่าถึงพญานาค โดยเฉพาะในมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งถือเป็นปรปักษ์ของพญาครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติ ก็เล่าถึงพญานาคไว้หลายครั้งด้วยกัน
....ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังมีตำนานเรื่องพญานาคอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในภูมิภาคนี้มักเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยพญานาคขึ้นมาในวันออกพรรษาโดยจะมีลักษณะคล้าย รอยของงูขนาดใหญ่ และเมื่อไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงควรยกมือไหว้เพื่อเป็นการสักการะสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์
....ลักษณะของพญานาคตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาคจะ แตกต่างกันไป แต่พื้นฐานคือพญานาคนั้นมีลักษณะตัวเป็นงูตัวใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดเหมือนปลามีหลายสีแตกต่างกันไปตามบารมี บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี7สี และที่สำคัญคือนาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้นจะมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร
.... นาคจำพวกนี้จะสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช(อนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ของพระวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียณสมุทร อนันตนาคราชนั้นเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวไม่สิ้นสุด มีพันศรีษะ พญานาคนั้นมีทั้งเกิดในนำและบนบก เกิดจากครรภ์และจากไข่ มีอิทฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ นาคนั้นมักจะแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปร่างสวยงาม
ตำนานทางฝั่ง ตะวันตก
....พญานาค หรือ งูใหญ่มีหงอน ในตำนานของฝรั่ง หรือชาวตะวันตก ถือว่าเป็นตัวแทนของกิเลส ความชั่วร้าย ตรงข้ามกับชาวตะวันออก ที่ถือว่า งูใหญ่ พญานาค มังกร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจ ชาวฮินดูถือว่า พญานาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่าง ๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ 1 ตัว แปลว่า น้ำจะมาก จะท่วมที่ทำการเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตูการณ์ เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้
....พญานาค งูใหญ่ มีหงอน สัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และ บันไดสายรุ้งสู่จักรวาล เป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ จากการจำศีล บำเพ็ญภาวนา ศรัทธาในพุทธศาสนา ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เราจะพบเห็น เป็นรูปปั้นหน้าโบสถ์ ตามวัดต่าง ๆบันไดขึ้นสู่วัดในพุทธศาสนา ภาพเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง กับศาสนาพุทธอีกมากมาย
....พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น
....พญานาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ จะต้องปรากฎเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม
....พญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน
....พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อน ๆ กัน ชั้นสูง ๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์
....พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร
....สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขั้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้น ๆ
....จะเห็น ว่า พญานาค หรือ งูใหญ่ นั้นมีความเป็นมาและถิ่นที่อยู่เป็นสัดส่วนในภพหนึ่งต่างหาก จะมีเป็นบางครั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ พญานาค เป็นทั้งเอกลักษณ์ของความดี และความไม่ดี
pegasus(เพ กาซัส)
....เพกาซัส (Pegasus) มีลักษณะเป็นม้าที่ลำตัวสีขาวสะอาด มีปีกขนาดใหญ่เหมือนนกสีขาว แต่ก็มีบางทีก็มีคนวาดให้ปีกของเพกาซัสเป็นสีทอง เพกาซัสเป็นม้าที่มีความฉลาดปราดเปรื่อง เป็นเครื่องหมายแห่งความบริสุทธิ์ ความสว่าง พลังแห่งดวงอาทิตย์ และแน่นนอนว่าเป็นพาหนะของพวกพระเอกเท่านั้น !
.... นอกจากนี้ความหมายของชื่อเพกาซัสยังมีความหมายว่า 'springs of ocean' ซึ่งแปลว่าผู้เกิดมาจากน้ำ (ภาษาไทยก็มีนะ แต่เป็นผู้หญิงอ่ะ หากใครรู้จักตำนานการกวนเกษียรสมุทรเพื่อทำน้ำทิพย์จะรู้ว่ามีสิ่งวิเศษที่ ผุดออกมาจากฟองคลื่น หนึ่งในนั้นคือพระลักษมีซึ่งต่อมากลายเป็นพระชายาของพระนารายณ์ และนอกจากนั้นก็มีมีพวกนางอัปสรทั้งหลายผุดขึ้นมาจากน้ำอีกด้วย เพราะฉะนั้น คำว่า "อัปสร" "อัปสรา" และ "อัจฉรา" ที่หมายถึงนางฟ้า จึงมีความหมายดั้งเดิม คือ "ผู้ที่เกิดมาจากน้ำ" เหมือนกัน) ความสามารถของเพกาซัสคือ ความไว การสร้างน้ำพุ และยังแข็งแรงขนาดที่ฝ่าพายุขนาดบินอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างสบายๆ
ตำนาน การเกิดของเพกาซัสมีอยู่หลายตำนาน แต่ที่เป็นหลักๆ มีอยู่ 2 เรื่อง คือ
....1. ตำนานที่กล่าวว่าเพกาซัสเป็นบุตรของเทพโพเซดอน (Poseidon) กับนางเมดูซ่า (Medusa) ซึ่งในขณะที่โพเซดอนลอบเข้าหานางเมดูซ่าได้แปลงกายอยู่ในลักษณะของม้า จึงทำให้ลูกที่เกิดมาเป็นม้าด้วย! (โอ้! แม่เจ้า คนกะม้า ! ความพยายามล้ำเลิศจริงๆ )
....2. ตำนานที่กล่าวว่าเพกาซัสเกิดจากหยดเลือดของนางเมดูซ่าขณะที่เพอซุส (Perseus) [จะอ่านว่า เพอซุส หรือ เพอซิอุสก็ได้ ตามความถนัด) ตัดหัวนางออกมา
....เอาล่ะ เรามาเริ่มที่ตำนานแรกกันเลย มีเรื่องเล่าว่าโพเซดอนซึ่งเป็นเจ้าแห่งท้องสมุทร หรือที่มีอีกชื่อหนึ่งว่าเนปจูน (Neptune) เกิดไปหลงรักสาวน้อยนางหนึ่งที่ชื่อว่า เมดูซ่า โดยเมดูซ่าเป็นบุตรของเทพฟอร์ซีส (Phorcys) กับ นางซีโต(Ceto) และเป็น 1 ใน 3 พี่น้องกอร์กอน (Gorgons) โดยเมดูซ่ามีรูปโฉมที่งดงามมาก จนโพเซดอนอดใจไม่ไหวแอบแปลงเป็นม้าเข้ามากุ๊กกิ๊กกับเมดูซ่าในบริเวณวิหาร ของเทพีเอเธน่านั่นแหละ ซึ่งถือเป็นการหลบหลู่กันอย่างแรง เพราะสมญานามของพระนางนอกจากจะเป็นเทพีแห่งปัญญาแล้ว ก็ยังครองตำแหน่งเทพีแห่งพรหมจรรย์อีกด้วย จะไม่ให้โกรธได้อย่างไรเมื่อเล่นหยามหน้ากันเข้ามากุ๊กกิ๊กกันในวิหารศักดิ์ สิทธ์ของพระนาง แถมไอ้หนุ่มนั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นลุงแท้ๆ ของตัวเองซะอีก
....เมื่อเอาผิดกับลุงของตัวเองไม่ได้ เทพีเอเธน่าจึงหันมาเล่นงานเมดูซ่าแทน (คงถือคติตบมือข้างเดียวไม่ดัง ประมาณว่าถ้าเมดูซ่าไม่สมยอมเรื่องก็คงไม่เกิด) เมดูซ่าจึงรับกรรมไปคนเดียวเต็มๆ พระนางสาปให้เมดูซ่าที่เคยเป็นสาวงามกลายเป็นอสูรกายหน้าตาอัปลักษณ์ เส้นผมสีดำที่เคยเป็นเกลียวสวยงามก็กลายเป็นงูเต็มหัวไปหมด และเมื่อนางมองสิ่งมีชีวิตใดก็ตาม สิ่งนั้นก็จะกลายเป็นหินไป จากหญิงสาวธรรมดาก็กลายเป็นปิศาจร้ายที่มีจิตอันชั่วร้าย จากนั้น ก็ส่งตัวเมดูซ่าไปอยู่เกาะกอร์กอน (Gorgons) เพื่อตัดขาดจากโลกภายนอกไปเลย
....เมื่อเวลาผ่านไป เพอซุส (Perseus) ซึ่งเป็นบุตรของเทพซุส (Zeus) กับนางดาเน่ (Danae) ถูกมอบหมายงานมาให้ตัดศรีษะของนางเมดูซ่าโดยกษัตริย์ โพลีเดคทีส (Polydectes) แห่งแคว้นเซริฟอส (Seriphos) ซึ่งเคยให้ที่พักพิงแก่เพอซุสและเจ้าหญิงดาเน่ผู้เป็นมารดาขณะลอยแพมาติด เกาะที่เมืองนี้ ก็เกิดมีใจคิดจะครอบครองเจ้าหญิงดาเน่ จึงคิดจะกำจัดเพอซุสที่เป็นก้างชิ้นใหญ่นี่ไปซะ ก็เลยออกอุบายให้เพอซุสไปตัดหัวเมดูซ่ามาซะเพราะกษัตริย์โพลีเดคทีสคิดว่า ยังไงซะเพอซุสก็คงตายด้วยฝีมือของเมดูซ่าอย่างแน่นอน
....จากนั้นเพ อซุสก็ได้ออกตามหาเมดูซ่าโดยได้รับความช่วยเหลือจากเทพีเอ เธน่า ทั้งคำบอกใบ้ไปเกาะกอร์กอน แถมให้ยืมโล่ห์ของพระนางอีกด้วย (แสดงว่าแค้นนี้ยังฝังใจ) แล้วก็ยังมีดาบที่เทพแห่งการสื่อสารเมอร์คิวรีที่ได้มอบไว้ให้ ซึ่งดาบนี้เป็นดาบวิเศษที่ไม่มีวันหักเป็นของแถมให้อีกต่างหาก แล้วในที่สุดเพอซุสก็ได้พบกับเมดูซ่าจนได้ เพอซุสได้ใช้โล่ห์ที่เอเธน่ามอบให้เพื่อป้องกันตัว และใช้วิธีเหลือบมองเงาของนางเมดูซ่าผ่านโล่ห์วิเศษ
.... และในที่สุดเพอซุสก็ตัดหัวเมดูซ่าได้สำเร็จ เลือดของเมดูซ่าที่หยดต้องน้ำของมหาสมุทรก็บังเกิดกลายเป็นม้าวิเศษขึ้นมา ทันที ซึ่งม้าตัวนี้ได้รับการพรรณนาว่าเป็นสัตว์วิเศษที่มีความสวยงามอย่างที่โลก ไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน จากนั้นเพกาซัสก็บินรับเพอซุสไปส่งขึ้นฝั่ง แล้วเพกาซัสก็บินตรงไปที่เขาเฮลิคอน (Helicon) ที่มีเทวีแห่งศิลป์ทั้ง 9 นาง หรือที่เรียกว่า Muses (มิวซิส) คอยให้การดูแลเพกาซัสต่อมา พูดง่ายๆ ก็คือเป็นพี่เลี้ยงนั่นเอง (ตรงนี้บางตำนานบอกว่าเทพีเอเธน่าเป็นผู้นำไปมอบให้เทวีแห่งศิลป์ที่เขาเฮลิ คอนด้วยตัวเอง)
....จากนั้นเพอซุสก็ได้ปราบมังกรทะเลและช่วยเจ้า หญิงอันโดรเมด้า (Andromeda) แห่งเมืองเอธิโอเปีย ก็ได้ไปรับพระมารดาและพากันไปตั้งเมืองใหม่ที่ชื่อว่าไมซีเน่ (Mycenae) ส่วนหัวของนางเมดูซ่าเทพีเอเธน่าก็นำมาติดบนโล่ห์ประดับโก้ๆ ซะเลย
....แต่ อีกตำนานก็บอกว่าเพกาซัสเกิดมาจากเลือดของเมดูซ่าอย่างเดียว โปเซดอนไม่มีเอี่ยว เรื่องนี้มีอยู่ว่าในบรรดาสามศรีพี่น้องกอร์กอน เมดูซ่าถึงจะไม่ได้เป็นอมตะเหมือนพี่สาวทั้งสอง แต่ก็มีความงามเป็นเลิศ และนางก็บังอาจท้าทายความงามของนางกับเทพีเอเธน่า จนทำให้พระนางโกรธจึงสาปให้เมดูซ่ามีรูปลักษณ์ที่น่าเกลียด มีเส้นผมเป็นงูอย่างที่เคยเล่าให้ฟังแล้ว จากนั้นก็นำตัวสามศรีพี่น้องตัวแสบไปขังไว้ที่เกาะกอร์กอน ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นก็ลงท้ายเหมือนกัน
....กลับมาที่เรื่องของเพกาซัสต่อนะ หลังจากที่มาอยู่ที่เขาเฮลิคอนแล้วเพกาซัสก็ซุกซนเหมือนเด็กๆ ทั่วไป แต่มันต่างกันตรงที่เขาเป็นม้า แถมบินได้ เพกาซัสก็เลยชอบไปๆ มาๆ ระหว่างโลกมนุษย์และเขาโอลิมปัส (Olypus) ซึ่งเป็นที่อยู่ของเทพทั้งหลายหรือเรียกง่ายๆ ว่าสรรค์นั่นแหละ บางทีก็ชอบบินท่องไปในมหาสมุทร กระโดดกระหยองกระแหยงไปตามเรื่อง
....ซึ่ง มีอยู่วันหนึ่งคณะเทวีแห่งศิลป์ได้ประกวดร้องเพลงกับ พีเอริซ (Pierises) ทำให้เขาเฮลิคอนพองตัว เทพโพเซดอนจึงให้เพกาซัสใช้กีบเท้าแทงเขาเฮลิคอนเพื่อที่จะทำให้เขากลับสู่ สภาพเดิม จากนั้นมาจุดที่เพกาซัสใช้ขาแทงเขาเฮลิคอนก็หลายเป็นน้ำพุขึ้นมา เรียกว่า Hippocrene (ฮิปโปครีน) หรือ Horse Spring (น้ำพุอาชา) ซึ่งเชื่อกันว่าน้ำพุนี้มีพลังวิเศษ หากใครได้ดื่มน้ำจากน้ำพุนี้จะทำให้มีพรสวรรค์ในด้านศิลปะขึ้นมาทันที
....หลัง จากที่เพอซุสปราบเมดูซ่าไม่กี่ปี เทพีเอเธน่าก็ยกเพกาซัสให้กับเบลเลอโรฟอน (Bellerophon) โดยมอบบังเหี ยนสีทองให้อันหนึ่ง ซึ่งบังเหี ยนนี้มีความสามารถทำให้เพกาซัสเชื่องได้ แล้วเบลเลอโรฟอนก็ไปดักรอเพกาซัสที่น้ำพุ ในขณะที่เพกาซัสกำลังดื่มน้ำจากน้ำพุพีเรเนียน (Pyrenean spring) น้ำพุนี้ก็ made by เพกาซัสเหมือนเดิม คือใช้กีบเท้ากระทุ้งให้น้ำพุ่งขึ้นมา เมื่อเห็นจังหวะเหมาะเบลเลอโรฟอนก็กระโดดขึ้นหลังเพกาซัสปุ๊บ ครอบบังเหียนปั๊บ เพกาซัสก็เลยต้องกลายเป็นม้ามีเจ้าของไปโดยปริยาย
....หลังจากนั้นเพกาซัสและเบลเลอโรฟอนก็ไปปราบตัวคิเม ร่ากัน (Chimaera) ซึ่งตัวคิเมร่านี่มีหัวเป็นสิงห์ ตัวเป็นแพะ และมีหางเป็นมังกร ซึ่งหลังจากนั้นทั้ง เบลเลอโรฟอนและเพกาซัสก็ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มากันตลอด แต่ช่วงสุดท้ายของวีรบุรุษคนนี้กลับน่าเศร้านัก เมื่อการที่เขาทำศึกครั้งใดก็ชนะตลอดเพราะมีม้าวิเศษอย่างเพกาซัส ทำให้เขาผยองจนลืมตัว คิดจะขึ้นไปพบปะเทพบนสวรรค์โดยขี่หลังเพกาซัสมุ่งตรงไปยังเขาโอลิมปัส ทำให้ทวยเทพรู้สึกไม่พอใจ และแน่นอนว่าเทพซุส (Zeus) ก็ให้บทลงโทษที่แสนสาหัสกับความโอหังครั้งนี้อย่างสาสม เทพซุสปล่อยแมลงใส่เพกาซัส
....เมื่อเพกาซัสโดนเหล็กไนของแมลงนั้น ก็เจ็บปวดจนเผลอสะบัดเบลเลอโรฟอน จนตกจากหลังของมัน ถ้าเป็นคนธรรมดาคงตายไปแล้ว แต่ด้วยความเมตตาของเทพีเอเธน่าจึงแค่บันดาลให้พื้นดินตรงนั้นอ่อนนุ่ม จึงทำให้เบลเลอโรฟอนแค่ขาหักและตาบอดไป ชีวิตช่วงสุดท้ายของวีรบุรุษคนนี้จึงน่าอนาถนัก ต้องเร่ร่อนไปทั่วแผ่นดินเพื่อจะตามหาม้าวิเศษ ในที่สุดเขาก็ตายอย่างเดียวดาย
....ส่วนเพกาซัสก็กลายเป็นม้ารับใช้ของเหล่าเทพไป โดยเพกาซัสได้ไปที่เขาของเทพธิดาเอ-ออส (Eos) หรือ ออโรร่า (Aurora) ซึ่งเป็นเทพธิดาในการดูแลของเทพอพอลโล (Apollo) เทพแห่งดวงอาทิตย์ เพื่อช่วยนางในการทำให้ตะวันตกดิน และก็ช่วยเทพอพอลโลในการทำให้พระอาทิตย์ขึ้น นอกจากนี้บางทีเพกาซัสก็รับใช้เทพซุสด้วย โดยจะเป็นผู้นำสายฟ้าซึ่งเป็นอาวุธประจำกายของเทพซุสมาส่งให้เมื่อองค์มหา เทพต้องการ
....หลังจากนั้น เพกาซัสก็ได้รับการสถาปนาขึ้นบนท้องฟ้าให้กลายเป็นกลุ่มดาวเพกาซัส ซึ่งดาวกลุ่มนี้จะปรากฎขึ้นทางทิศใต้ในฤดูใบไม้ร่วง โดยเรียกดาวกลุ่มนี้ว่า "Square of Pegasus" หรือ สี่เหลี่ยมเพกาซัส ซึ่งกลุ่มดาวเพกาซัสนี้มีตำแหน่งอยู่ติดๆ กับกลุ่มดาวอันโดรเมด้าอีกด้วย
Vampire (แวมไพร์)
....ผีดูดเลือดหรือแวมไพร์ (Vampire) เป็นมนุษย์อีกรูปแบบที่มีพลังปีศาจ แม้ว่าผีดูดเลือดจะอยู่ในร่างมนุษย์ แต่ก็ไม่มีความเป็นมนุษย์อยู่ เพราะผีดูดเลือดนั้นมาจากคนที่ตายไปแล้วและลุกขึ้นมาจากโลง มีชีวิตใหม่โดย ดูดเลือดคนเป็นอาหาร สังคมทุกสังคมรู้จัก "แวมไพร์"
....ผีดูดเลือด ปรากฏขึ้นครั้งแรกในอาณาจักร บาบิโลเนีย ในหีบศพที่ถูกปิดมานานกว่า 4,000 ปี มีตำนานเกี่ยวกับผีดูดเลือดมากมายในอินเดีย จีน กรีก โรมัน มาเลเซีย และไทยก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับ ผีดูดเลือดเช่นกัน
....ในประเทศ มาเลเซีย เชื่อกันว่า ผู้หญิงที่เสียชีวิต ในขณะหรือหลังคลอดลูก จะกลายเป็นผีดูดเลือด และลูกที่ตายพร้อมกันก็จะเป็นผีดูดเลือดด้วย ส่วนของไทย จะรู้จักในนามของกระสือ ปอบ กระหัง ฯลฯ ประเพณีโบราณ มักมีวิธีป้องกันผีพวกนี้ และบางประเพณีก็สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
....ในแถบตะวันตก ผีดูดเลือด เป็นที่รู้จักกันในนาม "แวมไพร์ " ปรากฏในอังกฤษครั้งแรก ในปี พ.ศ.2275 ตามบันทึกว่าเป็น แวมไพร์ชาวเซอร์เบีย (เป็นแคว้นๆหนึ่งอยู่ในประเทศยูโกสลาเวีย) ที่กลับมาจากหน้าที่ทางทหารในกรีก ด้วยท่าทีที่แปลกไป เขาผู้นั้น คืออาร์โนล เปาเล(Arnold Paole) เปาเลยอมรับกับภรรยาในเวลาต่อมาว่า เขาโดนแวมไพร์ดูดเลือดในขณะเดินทางและได้กลายเป็นแวมไพร์ไปด้วย เปาเลประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่เพื่อนบ้านยังคงเห็นเขาวนเวียนอยู่ ศพของเขาถูกขุดขึ้นมาและพบว่ามีรอยเลือดที่ปาก
....การที่จะพิสูจน์ ว่า เป็นแวมไพร์หรือไม่นั้น ทำได้โดยตอกหมุดไม้ลงไปที่หัวใจ ศพของเปาเล ถูกพิสูจน์ น่าประหลาดใจ ในขณะที่ตอกหมุดนั้น มีเลือดทะลักออกมาและมีเสียงกรีดร้องตามมาด้วย ศพของเปาเลถูกเผาตามขั้นตอนพิธีกรรมทางความเชื่อ หลายปีต่อมา ก็ยังมีกรณีของแวมไพร์ตัวอื่นอยู่ ซึ่งเชื่อว่า เป็นเหยื่อของเปาเล จึงสรุปได้ว่า แวมไพร์ถ่ายทอดได้โดยการถูกกัด
....บันทึก ในปี พ.ศ. 2306 ของนักเขียนชาวฝรั่งเศสชื่อ ฌอง จาก รูสโซ (Jean-Jacques Rousseau) ในปีนั้น มีพยานหลายคน ทั้งที่เป็นแพทย์ นักบวชและพนักงานปกครอง ได้พบเห็นแวมไพร์ เรื่องราวได้เริ่มถูกนำไปแต่งเป็นวรรณกรรม
....จนกระทั่งในต้นพุทธ ศตวรรษที่ 24 แวมไพร์ก็เป็นที่ยอมรับว่ามีอยู่จริง มีทั้งสองเพศ แต่โดยมากจะเป็นเพศชาย มีเขี้ยวยาว ผิวซีดเซียว และมีดวงตาที่แข็งกร้าว มักจะออกหาเหยื่อในเวลากลางคืน และเหยื่อก็จะเป็นเพศตรงข้าม ป้องกันได้โดยใช้กระเทียม แวมไพร์เป็นคนบาปที่ดำเนินชีวิตอย่างชั่วร้าย บุคคลที่มีความแตกต่างจากคนอื่นและตายอย่างประหลาดมักจะถูกเชื่อว่า เป็นแวมไพร์ หลังจากนั้นเขาก็จะถูกกีดกันออกจากสังคม
....การกำจัดแวมไพร์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องทำเฉพาะเวลากลางวัน ตอนที่มันไม่มีอำนาจเท่านั้น เชื่อว่าหลุมศพใดมีโพรงอยู่ แสดงว่าศพในหลุมนั้นเป็นแวมไพร์ โดยความเชื่อของชาวโรมัน ให้เทน้ำเดือดลงไปในโพรงเพื่อกำจัดแวมไพร์หรือตอกหมุดไม้ลงไปที่หัวใจ
....ปลาย ศตวรรษที่ 19 นักเขียนชาวไอริช ชื่อ บราม สโตกเกอร์ (Bram Stoker) ได้แต่งนิยายเรื่อง แดรกคูลา (Dracula) ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของคำอีกคำหนึ่งซึ่งแปลว่า ผีดูดเลือด แดรกคูลา เป็นลูกชายของแดรกคูล (Dracul) กษัตริย์โรมันที่โหดร้ายทารุณ แดรกคูลเป็นสมญานามที่แปลว่า ปิศาจ ซึ่งกษัตริย์ได้สมญานามมาจากการปกครองที่โหดร้าย กระหายเลือด และแดรกคูลา ก็แปลว่า ลูกชายของปีศาจ
....ในนิยาย แดรกคูลาเกิดในทรานซิลวาเนีย(Transylvania) และมีความโหดร้ายเช่นเดียวกับพระบิดา ทรงสร้างศัตรูมากมาย มีการตายอย่างลึกลับ ไม่มีใครพบศพและไม่ได้ฝังศพตามประเพณีแม้สโตกเกอร์จะไม่ได้กล่าวในนิยายของ เขาว่า แดรกคูลา ที่เขาอธิบายมีความละม้ายคล้ายคลึงกับแวมไพร์อย่างเหลือเกิน เช่น มีพลังผิดมนุษย์ ไม่มีเงา แปลงร่างได้ กลัวกระเทียม กลัวไม้กางเขนและกระแสน้ำไหล ไม่สามารถเข้าไปในบ้านได้ถ้าไม่ได้รับเชิญ และต้องนอนในโลงศพเท่านั้น
....ปัจจุบัน "แวมไพร์" ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าหลงไหลและน่าสะพึงกลัว มีผู้คนที่เชื่อว่า แวมไพร์ มีจริง ยิ่งกว่านั้น ยังมีศูนย์วิจัยแวมไพร์ในนิวยอร์ก ที่ศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับเกี่ยวกับ "แวมไพร์" ในยุโรปและอเมริกาอีกด้วย
Centaur(เซน ทอร์)
....เซนทอร์ (Centaur) เป็นอมนุษย์ที่โลดแล่นอยู่ในเทพนิยายของกรีก-โรมัน และแน่นอนว่าแม้แต่ในนิยายหลาย