10 ลัทธิเขย่าโลก

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีกลุ่มความเชื่อที่ผิดไปจากหลักศาสนามากมาย คนพวกนี้มักอ้างความคิด แนวคิดที่แปลกประหลาด และพยายามทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนมาศรัทธาลัทธิของตน และใช้ผลประโยชน์จากบุคคลเหล่านั้นเพื่อตนเอง เช่น ผู้นำลัทธิมักมากในกาม ก็สอนว่ามีภรรยาได้หลายคน สาวกสาวอยากเข้าใกล้พระเจ้าต้องมีเพศสัมพันธ์กับผู้นำ ผู้นำอยากดัง  คืออยากมีชื่อเสียง  ผู้นำอยากสบาย สาวกต้องหาเงินทองมาสนับสนุนเป็นต้น หรือบางคนมีความต้องการหลายๆอย่างร่วมกันและสาวกไม่มีสิทธิ์ตรวจสอบพฤติกรรม เหล่านั้นเพราะเป็นสิทธิที่ผู้นำได้รับจากพระเจ้า เป็นต้น

 

 

1.The People’s Temple
เรื่องราวลัทธินี้ได้กลายเป็นตำนานที่กล่าวถึงคนธรรมดาที่อยากเป็นใหญ่แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวและกลายเป็นโศกนาฏกรรมสังหารหมู่คลั่งศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก
 
จิมส์ โจนส์ เกิดเมื่อ 13 พฤษภาคม 1931 ในครอบครัวยากจนที่รัฐอินเดียน่า ประเทศอเมริกา ในครอบครัวที่แม่เชื่อว่าเขาเป็นนักบุญมาตั้งแต่เกิด เขาจึงเติบโตขึ้นเป็นผู้ศรัทธาในศาสนาคริสต์อย่างแรงกล้า และเขาได้ก่อตั้งลัทธิโบสถ์มวลชน  และได้เริ่มทำการเผยแพร่ศาสนาเป้าหมายคือคนผิวสี ด้วยความมีพรสวรรค์ในการเทศน์ทำให้มีผู้ศรัทธาในตัวเขาจึงเพิ่มขึ้น เขาช่วยเหลือผู้ยากจน มีส่วนร่วมในการปกครองส่วนท้องถิ่น สร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเองด้วยการอวดอ้างคุณงามความดีที่เขาทำให้ กับสังคม ในขณะเดียวกันก็ใส่ร้ายให้โทษลัทธิอื่นๆโดยกล่าวหาว่าลัทธิอื่นเป็นศาสน พาณิชย์ มุ่งแต่หาผลประโยชน์ กอบโกยเงินทองโดยไม่สนใจความทุกข์ยากของประชาชน มีแต่ลัทธิเขาเท่านั้นที่ดี ด้วยการพูดเช่นนี้ส่งผลทำให้โบสถ์มวลชนขยายตัวอย่างรวดเร็ว เขามีสาวกในมือมากราวกับเป็นกิจการขนาดใหญ่ สร้างเส้นสายในหมู่นักการเมืองซึ่งทำให้โบสถ์มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ แม้สมัยนั้นจะเป็นยุคเหยียดสีผิวก็ตาม
 
เมื่อจิมส์ โจนส์ ตั้งสิทธิตนเองได้  เขาประกาศว่า "ในไม่ช้าโลกจะถูกปรมาณูฆ่าล้างผลาญ มีแต่ผู้อยู่ในเวโลโอริซอนเด้ในบราซิลและยูเกียในแคลิฟอร์เนียเท่านั้นที่จะรอดชีวิต" เขาสอนให้ดำรงชีวิตแบบสังคมนิยม ปลูกผักเลี้ยงสัตว์บริโภคกันเองสังคมให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
 
แต่กระนั้นเมื่อนานเข้าลัทธินี้ก็ไม่ชอบมาพากลเมื่อมีข่าวว่าจิมส์เริ่มมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับสาวก (ทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย) ทำเขาสร้างฮาเร็มขึ้นในหมู่สาวก แต่กลับตั้งกฎให้งดเว้นการมีเซ็กซ์ระหว่างสามีภรรยาเพื่อให้ความสัมพันธ์ของครอบครัวอ่อนลง เด็กๆถูกแยกจากพ่อแม่ เขาสั่งให้สาวกเรียกตัวเองว่า"บิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์"จิมส์ชักชวนให้สาวกบริจาคสมบัติทั้งหมดแก่โบสถ์และมาใช้ชีวิตในโบสถ์ โดยบอกว่านี่เป็นการสร้างหนทางสู่สวรรค์ และเริ่มเทศน์ว่าท้ายที่สุดนั้น สาวกทุกคนต้องฆ่าตัวตายพร้อมกัน เพื่อที่วิญญาณของทุกคนจะได้เป็นหนึ่งเดียวและได้รับความสุขอันเป็นนิรันดรที่ดาวดวงอื่น
 
ปี 1973 จิมส์เริ่มวางแผนจะย้ายสาวกไปยังกีอาน่าในอเมริกาใต้และสร้าง"โจนส์ทาวน์"ขึ้นบนพื้นที่กว่า 300 เอเคอร์“วิหารเทวาลัย” เป็นจุดศูนย์กลาง  โดยในปี 1978 มีผู้อยู่อาศัยในโจนส์ทาวน์ 1,000 คน ดินแดนแห่งนี้ตัดขาดจากโลกภายนอกไม่รับอนุญาตให้คนนอกเข้า ทำให้ที่นี่เป็นเหมือนเมืองในระบบเผด็จการของจิมส์ กฎมากมายถูกกำหนดขึ้น คนที่จำไม่ได้ คนที่ไม่ปฏิบัติตามและคนที่ทำท่าจะหนีออกไป ถูกลงโทษอย่างรุนแรงซึ่งยกระดับขึ้นเรื่อยๆ จากการใช้กำลังเป็นการทรมาน และจากการทรมานเป็นการใช้กำลังทางเพศหากถูกจับได้จะถูกนำมาทิ้งที่บ่อลึก ซึ่งรู้จักในชื่อ “โพรงแห่งทุกข์ทรมาน” โดยจะโยนทิ้งในเวลาเที่ยงคืน จากนั้นก็ไม่มีใครได้พบเห็นหน้าผู้เคราะห์ร้ายนั้นอีกเลย กลางป่าลึก โดยมี 
 
ค.ศ.1978 ลีโอ รายอัน สมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ กับผู้สื่อข่าว ได้เข้าไปที่โจนส์ทาวน์เนื่องจากได้รับคำร้องเรียนจากอดีตสาวกและครอบครัวของสาวกที่ยังอยู่ที่นั่น รายอันได้แอบนำสาวกที่เปลี่ยนใจซ่อนตัวออกมาเพื่อขึ้นเครื่องบินกลับ แต่ความแตก บรรดาสาวกที่บ้าคลั่งพากันขับรถตามมาสังหารรายอันกับสาวกที่แปรพักตร์และผู้สื่อข่าวอีก 3 คนตายเกลี้ยง
 
  วันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ.1978 หลังจากเกิดการฆาตกรรมสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ จิมส์รู้ดีว่า ทุกอย่างกำลังจะถึงจุดอวสาน ตำรวจไม่ปล่อยเอาไว้แน่ เขาเรียกประชุมสาวกทั้งหมดมาที่โจนส์ทาวน์ 
 
  จิมส์ประกาศผ่านลำโพงกระจายเสียง “ถ้าหากเราไม่สามารถอยู่อย่างสันติได้ก็ขอตายอย่างสันติ” สิ้นเสียงประกาศเหล่าสมาชิกก็ปรบมือขานรับอย่างกึกก้อง 
 
คริสติน มิลเลอร์ (Christine Miller) หนึ่งในสาวกไม่เห็นด้วย เธอบอกกับจิมว่า “หากชีวิตยังไม่สิ้นก็ยังคงมีความหวัง” 
 
จิมสวนกลับทันทีว่า “ทุกคนต้องตายไม่วันใดก็วันหนึ่ง” 
 
จากนั้นก็มีเสียงตะโกนออกมาจากกลุ่มสมาชิกว่า “ถูกต้อง ถูกต้อง”
 
คริสตินไม่ละความพยายาม “ถ้าอย่างนั้นขอให้ปล่อยเด็กๆ” 
 
จิมปฏิเสธคำร้องขอของคริสติน “การตัดสินครั้งสำคัญที่เราจะให้ได้ก็คือการลาจากโลกที่เส็งเคร็งใบนี้” แล้วเสียงปรบมือสนับสนุนดังลั่นขึ้นอีกครั้ง จากนั้นเขาก็สั่งให้ดื่มเครื่องดื่มที่ผสมไซยาไนด์อย่างแรงเพื่อฆ่าตัวตาย 

และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น สาวกของจินอยู่อยู่ด้านนอกของโจนส์ทาวน์ต่างพากันฆ่าตัวตายถี่ขึ้น และมีหลายรายมีรายงานว่า “ถูกบังคับให้กินยาพิษ” ถ้ามีผู้ปฏิเสธก็จะถูกยิง รัดคอ หรือไม่ก็ถูกจับฉีดไซยาไนด์เข้าเส้นเลือด เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าสำรวจพบว่ามีคนตายทั้งหมด 914 กว่าคน คนที่เสียชีวิตนั้น คาดการณ์ว่ามีถึง 300 กว่าคนที่ถูกฆ่าโดยคนอื่น มีทั้งศพที่ถูกยิงจากข้างหลัง และศพที่อยู่ห่างจากแก้วยาพิษจนไม่มีความเป็นไปได้ที่เขาจะเอื้อมไปถึง เกือบ 300 ศพจากทั้งหมดเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีส่วนศพของจิมส์ถูกพบบนแท่นเวที ที่ศีรษะด้านขวามีรอยกระสุน ไม่ทราบว่าเป็นการฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรมกันแน่ แต่ดูจากสถานการณ์โดยรวม คนส่วนใหญ่ต่างก็ลงความเห็นว่านี่น่าจะเป็นการฆ่าตัวตายมากกว่า และนี้คือเหตุการณ์ฆ่าตัวตาย ที่ได้รับการบันทึกประวัติศาสตร์ว่าเป็นการฆ่าตัวตายหมู่โดยเจตนามากที่สุดในโลก!!

 

 

 

2.Branch Davidians
Branch Davidians หรือ กิ่งก้านแห่งดาวิเดียน แต่เดิมลัทธินี้มีชื่อ Davidian Seventh Day Adventists ("ดาวิเดียน") ซึ่งตอนแรกหลักคำสอนเดิมของลัทธินี้คือ “วันพิพากษโลกจะเกิดขึ้นเมื่อปี 22 เมษายน 1959 แต่ปรากฏว่าคำทำนายนี้ไม่เป็นจริง ทำให้ในปี 1955 นิกายนี้ได้สร้างใหม่โดย เดวิด โคเรช มาเป็น “ลัทธิกิ่งก้านแห่งดาวิเดียน” พร้อมหลักคำสอนใหม่ว่า อีกไม่นานโลกจะถึงยุค “อมาเกดอน” หรือวันวิบัติโลก ซึ่งเขาผู้รับคำสั่งจากเบื้องบนมาปลดทุกข์ เขาคือตัวแทนของเหล่าพระองค์ที่มาหว่านเมล็ดพันธุ์ใหม่ของมนุษย์ ภายหลังวันพิพากษาโลก เผ่าพันธุ์ใหม่(หรือสาวกของเขา)เหล่านี้จะเป็นผู้รอดชีวิตและฟื้นฟูโลกใหม่ ก่อนที่จะปิดท้ายว่าพระเจ้ากำหนดให้เขาต้องมีภรรยา 140 คน
 
ด้วยหลักคำสอนนี้ทำให้เดวิดนั้นสามารถมีภรรยาหลายคน ซึ่งภรรยาส่วนใหญ่นั้นเคยเป็นภรรยาของสาวกของเขานั้นเอง นอกจากนี้เขายังชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก ส่งผลทำให้ลัทธินี้เริ่มเสื่อมศรัทธาจากหลายๆ ประเทศ ที่ครั้งหนึ่งเคยโด่งดังไปถึงญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มาบัดนี้กลายเป็นลัทธิเล็กๆ เท่านั้น แต่กระนั้นก็มีสาวกหลายคนยึดมั่นในตัวเดวิดอยู่ เนื่องจากเดวิดใช้วิธีการสอนสมาชิกด้วยวิธีล้างสมอง โดนเริ่มใส่โปรแกรมภาพความรุนแรง ความโหดร้ายต่างๆ จากภาพยนตร์และสารคดีให้แก่สมาชิกได้ชมทุกๆ วัน เพื่อให้มีความเชื่อฝังหัวว่าวาระสุดท้ายของโลกใกล้มาถึงแล้ว 
 
Branch Davidians เป็นที่จับตาของกฎหมายมาหลายปี เนื่องจากมีคดีทารุณต่อเด็กและสตรีและสะสมอาวุธสงครามมาครอบครอง ทำให้ทางราชการต้องสู้รบกับสมาชิกต่อเนื่อง จนกระทั่งในปี ค.ศ.1993 เอฟ.บี.ไอ.ไล่ต้อนสาวกของลัทธินี้จนมุมที่เมืองวาโค รัฐเท็กซัส และผู้นำลัทธิเดวิด และผู้ติดตามได้ฆ่าตัวตายโดยการจุดไฟเผาเนื่องจากไม่อยากให้เจ้าหน้าที่บุกจับ ส่งผลให้เขาและสาวกตายกว่า 83 คน(จากรายงานของทางราชการพบศพ 79 ศพ)สิ่งที่สลดอย่างที่สุดคงจะเห็นไม่เกินซากศพมากจำนวนหนึ่งในห้องที่มีผนังคอนกรีตหนาและสูง(ห้องหลบภัย) คาดว่าเป็นสมาชิกของเด็กและผู้หญิงที่ทั้งหมดเอามารวมกันไว้อยู่ในสภาพไหม้เกรียมซึ่งมีมากถึง 41 ศพและเหตุการณ์เหล่านี้ได้ถูกสื่อมวลชนมากมายถ่ายทอดให้ประชาชนชาวอเมริกันนับล้านคนได้ดูทางทีวี


 

 

 

3.Heaven’s gate
"เฮฟเวน'สเกต" หรือ "ประตูสู่สวรรค์ " เป็นลัทธิศาสนาที่เชื่อเรื่องยูเอฟโอ ฐานใหญ่อยู่ในซานดิเอโก ก่อตั้งโดยมาร์แชลล์ แอปเปิลไวท์(1931-1997) เจ้าลัทธิหัวหลอดไฟที่หน้าตาเหมือนมนุษย์ต่างดาว โดยประวัติความเป็นมาของลัทธินี้เริ่มขึ้นเมื่อตัวมาร์แชลล์ได้ฟื้นตัวจากอาการหัวใจวายซึ่งเมื่อรอดตายมาได้เขาอ้างว่าเขาได้พบมนุษย์ต่างดาว จากนั้นเขาก็ได้เขียนหนังสือถึงประสบการณ์นั้นแม้ว่าจะไม่ประสบผลสำเร็จอะไรมากมายแต่ก็สามารถทำให้คนหลายคนจากทั่วประเทศเดินทางมาหาเขาและเริ่มก่อตั้งลัทธิ “ประตูสวรรค์” ขึ้น โดยมีความเชื่อมนุษย์หาได้มาจากการสร้างของพระเจ้า หากแต่มาจากพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ต่างดาว และดาวเคราะห์โลกกำลังจะถูกรีไซเคิล(ทำความสะอาดขึ้นมาใหม่ หรือฟื้นฟูสภาพ)โอกาสเดียวที่จะรอดคือการออกไปจาโลกทันทีและต้องทำโดยเร็วด้วย โดนวิธีการฆ่าตัวตายโดยทิ้งร่างกายไว้ โดยจะมียานอวกาศมารับบรรดาวิญญาณ เพื่อเดินทางไปยังดาวต้นกำเนิดที่อยู่ด้านหลังของดาวหาง เฮล-บ็อบซึ่งความเชื่อนี้นำมาซึ่งเหตุฆ่าตัวตายหมู่เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 1997 ที่บ้านพักคฤหาสน์ เมืองซานดิเอโก สหรัฐ ในช่วงดาวหาง ฃเฮล-บ็อบมายังโลก เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าไปพบร่างผู้เสียชีวิตฆ่าตัวตายถึง 39 คน ศพชาย 18คน และหญิง 21 คน รวมไปถึงนายมาแชล แอปเปิ้ลไวท์ อายุ 66 ปีขณะนั้นรวมอยู่ ทั้งหมดตายด้วยวอดก้าผสมยาพิษชนิดร้ายแรงให้ดื่ม แล้วนอนตายอย่างสงบบนเตียงของแต่ละคน
 
หลังจากเหตุการณ์ฆ่าตัวตายของลัทธิประตูสวรรค์ส่งผลทำให้คำสอนของลัทธินี้เผยแพร่ไปอย่างรวดเร็วในสื่อต่างๆ ทำให้มีหลายลัทธิได้นำเรื่องยูเอฟโอมาใช้โฆษณาเรียกสาวกเข้ากลุ่มมากยิ่งขึ้น และกรณีนี้ได้กลายเป็นตัวอย่าง การฆ่าตัวตายทางศาสนาที่น่าเป็นเครื่องเตือนใจเป็นอย่างดี
 


 

 

 

4.Asahara and the Aum Supreme Truth
ญี่ปุ่นนี้เป็นประเทศที่มีลัทธิต่างๆ มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลกก็ว่าได้ เพราะความสับสนทางศาสนาในยุคปัจจุบันที่ไม่ค่อยมีความรู้สึกว่าตัวเองนับถือศาสนาใดอย่างเฉพาะเจาะจงนัก เวลางานแต่งงานใช้ศาสนาคริสต์ งานศพใช้ศาสนาพุทธ ทำให้มีลัทธิใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดสาย บางลัทธิดีก็ดีไป แต่บางลัทธิไม่ดีนะสิก็เป็นปัญหาเหมือนกัน อย่างลัทธิอาซาฮาระ โชโค(เกิดเมื่อ 2 มีนาคม 1955) ซึ่งอดีตเป็นแค่ลูกช่างทำเสื่อ ไร้การศึกษาและตาบอด แต่เขาหลงในเรื่องปาฏิหาริย์ต่างๆ จึงเริ่มฝึกโยคะและวิชาเซียนที่อินเดีย อ้างว่าตัวเองไปที่เทือกเขาหิมาลัยและ"หลุดพ้น"(ตรัสรู้?)ที่นั่น และ ปี 1987 ได้ก่อตั้งเป็นฃ"โอมชินริเคียว"หมายถึง"การสร้างสรรค์" "การคงอยู่" และ"การทำลาย"ของจักรวาลซึ่งรวมทั้งหมดแล้วหมายถึง "อนิตยา" (ความไม่เที่ยงแท้) โดยมีความเชื่อหลักของกลุ่มว่า ประเทศสหรัฐจะเป็นผู้จุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ ๓ และจะนำไปสู่วันสิ้นสุดของโลก โดยในวันนั้นมนุษย์จะหมดไปจากโลกและยังเชื่อว่าวันดังกล่าวจะมาถึงอย่างแน่นอน ดังนั้นเพื่อให้เป็นการเร่งให้วันดังกล่าวมาถึงเร็วขึ้น จึงสร้างสถานการณ์ความรุนแรงเพื่อก่อให้เกิดวันสิ้นสุดของโลก โดยมีเขาเป็นศูนย์กลางและสาวกทั้งหมดจะรอดเมื่อถึงวันนั้น
 
ลัทธินี้มีฐานใหญ่อยู่ที่เมืองฟูจิมิยะ จังหวัดชิสึโอกะ และมีการขยายสาขาไปทั่วประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศกว่า 49,000 คน สาวกส่วนใหญ่ มีอายุอยู่ในช่วง 20-30 ปี บางคนเป็นถึงด็อกเตอร์ ศาสตร์จารย์มหาลัย หรือผู้มีอิทธิพลต่างๆ  โดยทั้งหมดเชื่อหลักคำสอนลัทธินี้เพราะว่ามีการใช้เรื่องเหนือธรรมชาติมาเป็นตัวโฆษณา 
 
ส่วนหลักคำสอนของลัทธินี้เด่นๆ ก็เช่นฆ่าคนชั่วไม่มีความผิด ทรัพย์สินสาวกทั้งหมดต้องให้เจ้าลัทธิ ห้ามกินเน้นกินนี้(แต่เจ้าลัทธิสามารถกินได้) ซึ่งหลายข้อสาวกทำไม่ได้เลยพยายามตีตนออกห่าง ทำให้มีการฆ่าปิดปากสาวกเหล่านั้นเพื่อไม่ให้เรื่องเหล่านี้เปิดเผย โดยมีคดีดังที่เกี่ยวข้องกับลัทธิหลายคดี จนกฎหมายเริ่มจับตา จนเป็นเหตุทำให้เกิดคดีปล่อยแก๊สซารินที่สถานีรถไฟใต้ดิน 5 สายขึ้นเพื่อเป็นการเบนข่าวลัทธินี้ โดย20 มีนาคม 1995 เวลา 8 โมงเช้า ในรถไฟใต้ดินโตเกียวจำนวน 5 สาย (สาวกของลัทธินํากระเป๋าซึ่งบรรจุแก๊สซารินเหลวมายังสถานีรถไฟใต้ดินในชั่วโมงเร่งด่วน จากนั้นก็ทําการเจาะกระเป๋าให้ แตกออกโดยใช้ ร่มปลายแหลมและแล้วซารินจำนวนมากเกิดเป็นแก๊สพิษทำให้คน 12 คนเสียชีวิต และบาดเจ็บ 5,510 คน เป็นคดีฆาตกรรมอย่างไม่เลือกตัวครั้งใหญ่ที่สุดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และสร้างความตื่นตระหนกไปจนทั่วโลก
 
หลังเหตุการณ์แก๊สซาริน ทำให้เจ้าหน้าทีตำรวจตัดสินใจบุกลัทธิโอมเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม และสามารถจับกุมอาซาฮาระพร้อมแกนนำได้ อาซาฮาระปฏิเสธเกือบข้อหา ในศาล เขามักจะแสร้งทำตัวพูดไม่รู้เรื่องหรือแกล้งบ้าเพื่อจะได้พ้นข้อกล่าวหาเนื่องจากไม่มีความสามารถในการรับผิดชอบ และตัวเขาก็ถูกตัดสินโทษประหารด้วยการแขวนคอ ส่วนสาวกได้รับโทษประหารชีวิตแบบเดียวกัน และยังมีสาวกอีกหลายคนอยู่ระหว่างการหลบหนีจนปัจจุบันนี้ และลัทธิโอมถูกประกาศว่าเป็นลัทธิอันตราย และถูกสั่งให้ยกเลิก แต่ก็ยังมีกลุ่มที่ยังศรัทธาลัทธิอยู่ และได้ตั้งชื่อใหม่เป็น “กลุ่มแอลป์” และปฎิบัติตามคำสอนของลัทธินี้อยู่จนถึงปัจจุบัน


 

 

 

5.Charles Manson and The family
ชาร์ลส แมนสันเกิดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 1934 เป็นเด็กที่เต็มไปด้วยปัญหา เขาก่ออาชญากรรมเล็กๆ น้อย เข้าคุกเป็นว่าเล่น เมื่อออกจากคุกเขาหันมาเป็นพวกฮิปปี้ และได้รวบรวมกลุ่มคนโดยใช้ชื่อลัทธิว่า “แมนสันและครอบครัว” โดยเขาได้พูดถึงวันสิ้นโลกไว้ว่า "ในไม่ช้าจะเกิดสงครามระหว่างคนขาวกับคนดำจะเกิดขึ้น มันจะกลายเป็นชนวนนำไปสู่สงครามปรมาณู คนดำจะเป็นฝ่ายชนะ แต่เนื่องจากพวกมันไม่มีความสามารถในการปกครอง แมนสันและครอบครัวโดยมีข้าเป็นผู้นำจะเป็นเชื้อสายบริสุทธิ์เพียงหนึ่งเดียวที่เหลือรอด และกลายเป็นผู้ปกครองโลกตลอดกาล" 
 
ฟังดูไร้สาระ แต่ในเมื่อชาร์ลสเชื่อ สาวกก็เชื่อด้วย จากตรงนี้เองที่พวกเขาเริ่มคิดถึงการก่ออาชญากรรมแล้วป้ายความผิดให้กับคนผิวดำเพื่อให้สงครามเกิดขึ้นเร็วๆ และกำจัดบุคคลที่เขาขัดขวางพวกเขา ส่งผลทำให้มีผู้เป็นเหยื่อของลัทธินี้หลายราย และบางรายถูกฆ่าอย่างทารุณ โดยกรณีดังที่สุดคือ ในวันที่ 8 สิงหาคม 1969ภรรยากำกับหนังคนดังชื่อ โรมัน โปแลนสกี้และดาราสาว ชื่อ ชารอน เทท อายุ26 ปี และเพื่อนที่มาร่วมงานดินเนอร์แบบเป็นกันเอง 3 คน ถูกสาวกของชาร์ลสก็ฆ่าทุกคนตายเรียบ แต่ชารอน เททหนักสุด เพราะเหล่าสาวกรุมแทงเธอถึง 16 แผล จากนั้นก็ใช้มีดผ่าท้องของเธอจนเหวอะหวะ  และถูกไม้ตีที่ศีรษะซ้ำยังไม่สะใจ  พวกมันจับเธอ  มัดโยงกับเพดานแขวนไว้ พวกมันตัดเต้านมของเธอทิ้งทั้งเป็น  แล้วใช้มีดเล่มนั้นชำแหละกรีดตั้งแต่บริเวณยอดอก จนถึงหัวหน่าวเลือดสดๆของเธอกระจายเต็มบ้าน  มิหนำซ้ำ  ยังใช้แปลงจุ่มเลือดเขียนคำว่า "PIG"ตัวโตไว้ที่บานประตูบ้านสุดท้ายในวันที่ 13 เดือนธันวาคม 1969  ทั้งหมดถูกจับได้ยกลัทธิรวมทั้งชาร์ลส์ แมนสัน 
 
ทุกวันนี้  ชาร์ลส์  แมนสัน ก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในคุก ที่แคลิฟอร์เนีย และบรรดาสาวกก็แก่เป็นคุณปู่ คุณยายไปหมดแล้ว แต่กระนั้นก็มีเหล่าบรรดาสาวกใหม่ของชาร์ลส์ที่มีทั้งของแท้และของเทียมและแฟนพันธุ์แท้ที่ยังเชื่อคำสอนของเขายังคงมีอิทธิพลอยู่ในเจ้าลัทธิต่างๆ ในปัจจุบัน


 

Credit: http://variety.teenee.com/world/68785.html
22 พ.ค. 58 เวลา 13:00 4,394 20
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...