เมื่อพูดถึงชาเขียว หลายคนอาจจะนึกไปถึงประเทศญี่ปุ่น เพราะประเทศญี่ปุ่นนั้นมักจะนิยมดื่มชาในชีวิตประจำวัน ซึ่งชาเขียวนั้นก็เป็นชาประเภทหนึ่งที่คนญี่ปุ่นนิยมดื่ม อีกทั้งยังให้ผลผลิตที่ค่อนข้างมากอีกด้วย
ในปัจจุบันเครื่องดื่มอย่างชาเขียวกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ในประเทศไทยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะชาเขียวสำเร็จรูปหรือชาเขียวบรรจุขวดยี่ห้อต่างๆ ที่เราสามารถพบเห็นได้ตามร้านค้าหรือตามซุปเปอร์มาเก็ตชั้นนำทั่วไป ซึ่งหลายคนมองว่าชาเขียวจัดเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพชนิดหนึ่ง เพราะในชาเขียวนั้นมีสรรพคุณต่างๆ มากมาย อาทิ ทำให้ผ่อนคลาย, ช่วยให้เจริญอาหาร, ช่วยลดระดับไขมันในเลือด, ป้องกันมะเร็ง, ขับสารพิษ, สามารถลดความอ้วนได้, ช่วยชะลอวัย ฯลฯ
หากมองในทางกลับกัน ชาเขียวที่คนไทยนิยมดื่มนั้นมีข้อแตกต่างจากที่คนญี่ปุ่นนิยมดื่มอยู่ไม่น้อย ซึ่งข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ คนไทยมักจะชอบดื่มชาเขียวที่มีรสหวาน (เติมน้ำตาล) ซึ่งเสี่ยงมากต่อการเกิดโรคเบาหวาน ต่างจากญี่ปุ่นที่ชาบรรจุขวดของญี่ปุ่นนั้นแทบจะร้อยเปอร์เซ็นเลยที่ไม่มีรสหวาน เพราะที่ญี่ปุ่นนั้นเชื่อกันว่า ชาเขียวเป็นผลผลิตจากธรรมชาติ ดังนั้น ต้องไม่มีน้ำตาลหรือสารอื่นๆ เข้ามาเจือปน
ถ้าอยากดื่มชาเขียวเพื่อสุขภาพ ไม่ใช่เพียงเพราะความอร่อย ทางที่ดีเราควรหันมาดื่มแบบไม่เพิ่มความหวานใดๆ จะดีที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้ว่าชาเขียวจะให้ประโยชน์มากเพียงใด อีกมุมหนึ่งก็กลับมีผลข้างเคียงเช่นเดียวกันเพราะในชาเขียวมีคาเฟอีนแม้จะไม่มากเท่ากาแฟแต่ก็อาจส่งผลให้นอนไม่หลับตามมาได้ ซึ่งเด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคไต โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง ควรหลีกเลี่ยง เพราะคาเฟอีนจะไปเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดผลเสียกับบุคคลกลุ่มดังกล่าวได้
การดื่มชาเขียวให้ได้ประโยชน์
1.ควรดื่มแบบร้อน แต่ไม่ร้อนจัด ซึ่งการชงชาต้องใช้น้ำร้อนอยู่ที่ประมาณ 80 องศา ไม่เช่นนั้นจะทำให้สูญเสียวิตามินซี หรือจะดื่มแบบเย็นก็ได้เช่นเดียวกัน
2.ควรดื่มแบบไม่เติมน้ำตาล เพราะการดื่มเครื่องดื่มแบบเติมน้ำตาลเป็นประจำนั้นอาจก่อให้เกิดโรคอ้วนหรือโรคเบาหวานตามมาได้
3.ควรดื่มแบบไม่ผสมนม เพราะการผสมนมจะทำให้ชาเขียวแก้วนั้นหมดคุณค่า เนื่องจากโปรตีนจากนมมาเจอกับสารต่างๆ ในชาจะส่งผลให้สารที่มีประโยชน์ถูกทำลายไป
4.ควรดื่มวันละ 4-5ถ้วยจะได้ประโยชน์สูงสุดต่อร่างกาย แต่มีงานวิจัยออกมาว่าหากดื่มชาเขียวแบบเข้มข้น 20 แก้วต่อวันจะสามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้
5.ไม่ควรดื่มเวลาท้องว่างในตอนเช้า เพราะจะทำให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติ ดังนั้นควรหาอะไรรองท้องก่อน และเวลาที่เหมาะสำหรับการดื่มชา คือหลังอาหาร 2-3 ชั่วโมง