เจาะเวลาหาอดีตกับ “ปกขาว” สมัยก่อน
สมัยก่อน ย้อนหลังไปประมาณ 30 ปี คำว่า “หนังสือโป๊” ถูกเรียกขานด้วยคำว่า “ปกขาว” ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันในหมู่คอนักอ่านแนวสยิวทั้งหลายว่า นี่ล่ะ! หนังสือเพื่อกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ ... ทำไมถึงต้องเป็น “ปกขาว” ...ว่ากันว่าที่มาของการเรียกหนังสือโป๊ว่า “ปกขาว” นี้เริ่มจากหนังสือโป๊เปลือยยุคแรกๆ ด้านในเล่มจะเป็นการตีพิมพ์ภาพโป๊เปลือยของสตรีที่ไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ปกปิด กาย โดยหน้าปกหนังสือเหล่านั้นจะเป็นสีขาวล้วน ทำให้หนังสือประเภทปลุกใจเสือป่าถูกเรียกตามลักษณะหน้าตารูปเล่มว่า “ปกขาว” มาแต่บัดนั้น
ยุคต่อมา เทคโนโลยีการจัดพิมพ์หนังสือเริ่มดีขึ้น รูปแบบของหนังสือกระตุ้นอารมณ์เพศก็ถูกปรับเปลี่ยนให้สวิงสวายมากกว่าเดิม มีการใส่สีลงไปในรูปโป๊เปลือยขาวดำอันแสนจะจืดชืดให้ดูมีชีวิตชีวาและเหมือน จริงมากขึ้น มีการเพิ่มเติมเนื้อหาลงไปจากที่มีภาพอย่างเดียว ก็เริ่มจะมีเรื่องสั้น นวนิยาย และประสบการณ์ทางเพศจากผู้อ่านทางบ้าน ตีพิมพ์ลงไปเพื่อเพิ่มสีสันให้แก่หนังสือโป๊ในยุคนั้น
จากปากคำของหนุ่มใหญ่หลายๆ คนที่มีประสบการณ์อ่านหนังสือโป๊มาอย่างโชกโชนจนไม่อาจเปิดเผยชื่อเสียง เรียงนามของตนเองได้นั้น พอจะประมวลได้ว่า หนังสือปลุกใจเสือป่าในยุค 10 – 15 ปีที่ผ่านมามีอยู่สองกลุ่มใหญ่ๆ คือกลุ่มตลาดบน เช่น “หนุ่ม-สาว” หรือ “แมน” เป็นต้น หนังสือโป๊จำพวกนี้เน้นหนักไปในเรื่องของการขายภาพ มากกว่าจะขายเรื่องสั้นประสบการณ์เสียวซึ่งไม่ค่อยจะมีในหนังสือประเภทนี้ ในส่วนของตลาดล่างจะเน้นหนักไปในเรื่องของเรื่องในเล่มมากกว่าภาพ ซึ่งใช้ต้นทุนในการพิมพ์ถูกกว่า และขายในราคาที่ถูกกว่า ตลาดล่างแบบนี้ได้แก่หนังสือ “เฟี้ยว” และ “ระทึก” เป็นต้น
แต่ระหว่างช่องว่างของตลาดบนและตลาดล่างของหนังสือโป๊ยุคนั้น ก็ได้มีหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง ซึ่งนำข้อเด่นของหนังสือโป๊ตลาดบน หนังสือเสียวตลาดล่าง มาจัดส่วนผสมแบ่งเท่าๆ กันได้อย่างลงตัว และสุดท้ายจึงกลายเป็น “นวลนาง” อมตะหนังสือสยิวยอดนิยมตลอดกาลของคนไทยที่มียอดขายสูงที่สุด
ทำไม “นวลนาง” ถึงเป็นที่นิยม? ... บรรดาคอหนังสือปลุกใจเสือป่าต่างลงความเห็นว่า ส่วนผสมที่กำลังพอเหมาะแบ่งครึ่งระหว่างภาพโป๊ของนางแบบกับเรื่องสั้น ประสบการณ์เสียว ถือว่าตรงกับความต้องการของตลาดนักอ่านมากที่สุด
แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีหนังสือออกมาอีกเล่มหนึ่ง โดยเล่มนี้เลือกที่จะขายน่าตื่นตาตื่นใจในความแปลกใหม่ที่ฉีกแนวโป๊คลาสสิคอ ย่าง “นวลนาง” และเน้นความหวือหวาแกมวิปริตได้มากกว่าเล่มไหนๆ
“ไทยเพลย์บอย” กำเนิดหลัง “นวลนาง” ไม่นาน แต่กลับตีตลาดได้เป็นอันดับสองรองจากนวลนางเลยทีเดียว ภายใต้การนำของคอลัมนิสต์แนวสยิวผู้ฉาวโฉ่อย่าง “อาว์กังฟู” ด้วยเพราะการพยายามฉีกแนวทางเสียวแบบวิปริตออกไปมากกว่าการลงภาพเปลือยของ นางแบบสวยๆ และการลงประสบการณ์เสียวแต่เพียงอย่างเดียว โดย “ไทยเพลย์บอย” เลือกที่จะหากินกับสัญชาตญาณความดิบห่ามของมนุษย์ ...และนั่นถือเป็นต้นธารความสยิวที่ถือว่า “นอกรีต” ในยุคนั้น ...นั่นคือ “สวิงกิ้ง”
“ถ้าจะเปรียบ...นวลนางก็เหมือนการเที่ยวผู้หญิงในเลานจ์ ส่วนไทยเพลย์บอยให้อารมณ์เหมือนเที่ยวซ่อง” ... นี่คือคำจำกัดความความต่างของหนังสือโป๊สองเล่มนี้จากปากคำของเซียนหนังสือ โป๊ตัวยงผู้ขอปกปิดนามจริง โดยได้อธิบายถึงหนังสือที่ปิดตัวเองไปแล้วทั้งสองเล่มนี้ว่า นวลนางจะให้อารมณ์เบากว่า ในขณะที่ไทยเพลย์บอยดิบ เถื่อน และค่อนข้างวิปริตกว่า เพราะนอกเหนือจากภาพโป๊ของนางแบบแล้ว ไทยเพลย์บอยรับตีพิมพ์ภาพเปลือยที่ส่งมาจากทางบ้าน ประสบการณ์ที่ทางบ้านส่งมา และรวมถึงรับนัดจัดคู่ให้ผู้ที่มีรสนิยมการมีเพศสัมพันธ์แบบแลกคู่ ไม่ว่าจะเป็นหญิงเดี่ยว ชายเดี่ยว หรือคู่สามีภรรยาที่นิยมความหฤหรรษ์แบบหวาดเสียวแกมพิสดารแบบนี้ด้วย แต่เมื่อวันที่ 20 พ.ค.2538 “อาว์กังฟู” หรือนายชูชาติ ธนมงคลชัย ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกจับคาสำนักสวิงกิ้งชนิดคาหนังคาเขา โดยถูกดำเนินคดีในข้อหาเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตและเป็นธุระจัดหา เพื่อให้ผู้อื่นร่วมประเวณีและถูกตัดสินจำคุก เมื่อออกมาจากคุกเจ้าตัวจึงขอปิดตำนาน “อาว์กังฟู” ไปโดยปริยาย
นวลนางเล่มต่อๆมา