เชื่อหรือไม่ว่า มีคนพิเศษในโลกนี้จำนวนหนึ่งซึงมีประสบการณ์ต่างจานคนส่วนใหญ่ เช่น บางคนมองตัวเลข (หรือตัวหนังสือ) จะเห็นเป็นสี บางคนฟังเสียงดนตรี จะรูู้สึกเหมือนมีอะไรมา สัมผัส ผิวหนัง ส่วนอีกคน ลิ้นชิมรส ปั๊บกลับเห็นรูปร่างตามมาด้วย
ประสบการณ์แปลก ๆ แบบนี้ ฝรั่งรู้จักกันมานานแล้วครับ ราว 300 ปี แล้ว เรียกว่า "ซินเนสทีเซีย" (synesthesia หรือ synaesthesia) มาจากภาษากรีก คือ คำว่า Syn (ร่วม) + Aisthesis (การรับรู้) หมายความว่า ประสาทสัมผัสตั้งแต่ 2 อย่างขึ้นไป รับรู้ พร้อมกันนั่นเอง คนที่มีประสบการณ์แบบนี้เรีียกว่า ซินเนสทิต (Synesthete)
ซินเนสทีเซีย ที่พบบ่อยที่สุดคือ การมองเห็นตัวเลขหรือตัวอักษรเป็นสี (Colored letters and numbers) และได้ยินเสียง เป็นสี (colorred hearing) และน่าสนใจ มากกว่า ความรู้สึกหรรือการรับรู้แบบนี้จะคงเส้นคงวา กล่าวคือ หากชายคนหนึ่ง เห็นตัวอักษร A เป็นสีชมพู เขาก็จะเห็นตัว A เป็นสีชมพูไปชั่วชีวิต แต่ที่น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ คนที่เป็นซินเนสทีเซียอีกคน อาจจะเถียงว่า ตัว A เป็นสีฟ้า (หรือสีอื่น) และคนคนนั้นก็จะ เห็นเป็นตัวสีฟ้า (หรือสีอื่นที่ว่า) ไปชั่วชีวิต เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีข้อยกเว้นเหมือนกัน เพราะมีหลักฐานว่าราว 3 ใน 4 ของคนที่เป็นซินเนสทีเซียจะเห็นตัวอักษร "o" เป็นสีขาว ลักษณะเช่นนี้เองทีทำให้การศึกษาปรากฏการณืนี้ ไม่ง่ายนัก
บางคนอาจมีแนวคิดหลาย ๆ อย่างพร้อม ๆ กัน เช่น แครอล สทีน พบว่า เธอเป็นซินเนสทีเซีย ถึง 3 แบบด้วยกันครับ
แบบแรก คือ เธอมองเห็นตัวเลข และตัวอักษรเป็นสี (ซึ่งเป็นแบบที่พบบ่อย)
แบบที่สอง คือ เธอได้ยินเสียงเป็นสี เช่น เธอบรรยายว่า มีเพลงของวงดนตรี ยูแมน (Uman) เพลงหนึ่ง ซึ่งมีตัวโน๊ตเป็นสีเทา ๆ เป็นแถบจากสีเทานั้นเป็นจุดเล็ก ๆ สีทองอยู่ด้วย
และแบบที่ 3 อันนี้พบไม่บ่อย ก็คือ การสัมผัส ของบางลักษณะ (เช่น เข็มแทงที่ผิวหนัง) จะทำให้เธอเห็นเป็นสีและรูปร่างไปด้วยพร้อม ๆ กัน
นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ เสนอต่อว่า คนเราทุกคนเกิดมาพร้อม ๆ กับเชื่อมของเซลล์ประสาทในสมองจำนวนมาก ซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์ซินเนสทีเซีย แต่เมื่อเราเติบโตขึ้น การเชือมต่อนี้จะลดลงไปสำหรับคนส่วนใหญ่ ประสาทสัมผัสแต่ละอย่างก็เลยแยกจากกัน แต่สำหรับคนพิเศษบางคน การเชื่อมต่อยังเหลือค้างอยุ่ ก็เลยทำให้ซินเนสทีเซีย บางคู่ของปราสาทสัมผัส ยังเชื่อมอยุ่ติดกัน