เรื่องจริงเถียงไม่ออก เมื่อคนญี่ปุ่นกำลังมองคนไทย เป็นแบบที่เรามองทัวร์จีน !

พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ถูกคนไทยวิจารณ์อย่างหนักในช่วงหลัง อาจไม่ต่างจากสิ่งที่นักท่องเที่ยวชาวไทยทำเมื่อไปเยือนญี่ปุ่น และกำลังถูกคนอื่นมองในแง่ลบเช่นกัน

           บ่อยครั้งที่เราเห็นภาพของนักท่องเที่ยวชาวจีนทำพฤติกรรมไม่ดี ทำเรื่องไม่เหมาะสม ไม่ถูกกาลเทศะระหว่างเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทย ถูกโพสต์และนำเสนอข่าวลงในสังคมออนไลน์ นำมาซึ่งเสียงติติงผู้มาเยือนเหล่านั้น ก่อนที่สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ จะเริ่มนำป้ายเตือนเป็นภาษาจีนมาติดประกาศไว้ เพื่อให้ลูกทัวร์ชาวจีนซึ่งแห่แหนเดินทางมาเที่ยวเมืองไทยกันมากขึ้นปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง

           แต่อีกมุมหนึ่ง "คนไทยส่วนหนึ่ง" ที่แห่แหนเดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นก็กลับละเลยมารยาทที่ควรจะเรียนรู้เช่นกัน และกำลังถูกวิจารณ์ไม่น้อยทั้งจากชาวญี่ปุ่นและชาวไทยเอง โดยเฉพาะเรื่องการส่งเสียงดังในที่สาธารณะ การตักอาหารบุฟเฟ่ต์ในปริมาณที่มากเกิน จนถึงขนาดที่ชาวญี่ปุ่นต้องนำป้ายภาษาไทยมาติดเตือนไว้ 

           ภาพที่ปรากฏออกมาได้สะท้อนให้เห็นว่า ชาวญี่ปุ่นก็คงมอง "คนไทย" ไม่ต่างจากที่เราเข็ดขยาด "ทัวร์จีน" เลย ดังบทความที่ คุณ Kunphas Tohteh Rommanee (โต๋เต๋) ผู้ซึ่งเดินทางมาตลอด 25 ปี และไปประเทศญี่ปุ่นมาไม่ต่ำกว่าปีละ 50 ครั้ง จนเข้าใจกฎระเบียบและมารยาทของชาวญี่ปุ่นดี เขียนไว้ในเฟซบุ๊ก Tohtehphotographie  เพื่อบอกให้คนไทยรู้ว่าการจะเดินทางไปยังประเทศใด ควร "ทำการบ้าน" ให้มาก เพราะการที่คุณไปเยือนดินแดนอื่น ก็เท่ากับเป็นหน้าตาและชื่อเสียงของประเทศไทยที่ถ้าทำเรื่องไม่เหมาะสม ก็อาจถูกเจ้าบ้านดูถูกได้เช่นกัน 


           "ทำไมคนญี่ปุ่นถึงกำลังมองคนไทยเป็นแบบที่เรามองทัวร์จีน"

           ก่อนอื่นผมขอออกตัวก่อนนะว่า ผมไม่ได้อวยชาติใด และไม่ได้ด่าว่าใครชาติไหน แต่ขอวางแนวความคิดไว้ให้ทุกท่านที่ได้อ่านแล้วคิดตามนะครับ ผมเชื่อว่าต่างคนต่างความคิดครับ

           ญี่ปุ่นเนี่ยถือว่าเป็นชาติที่ใฝ่รู้มาก ๆ เราจะเห็นเสมอว่า เขาชอบอ่านหนังสือเวลาเดินทางไปทำงาน หรือแม้แต่นั่งอ่านบทความต่าง ๆ บนมือถือ ดังนั้นเวลาคนญี่ปุ่นจะไปไหนที จะมีการ "ทำการบ้าน" ไว้แล้วว่า อะไรคือควรไม่ควร และจะระมัดระวังตัวเองและข้าวของ รวมไปถึงมารยาทในการแสดงออกในที่สาธารณะด้วย เพราะเขาเองถือว่า นอกจากจะเป็นหน้าตาของตัวเองแล้วยังเป็นหน้าตาของประเทศชาติด้วย

           ที่ผ่านมาเราเอาแต่พร่ำว่าทัวร์จีนคนจีนกันถึงเรื่องของมารยาทในการท่องเที่ยว คุณรู้ไหมว่า คนจีนเป็นหลาย ๆ ล้านคน เข้าไม่ถึงการศึกษาเลยด้วยซ้ำ แถมอินเทอร์เน็ตยังมีการควบคุมจากรัฐบาล ทำให้เขาอยู่ในสังคมที่ "ปิด" มานาน เขาทำในสิ่งที่เขาคุ้นเคยกัน เพราะคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลก การถ่มน้ำลายในที่สาธารณะ คุยตะโกนเอะอะโวยวาย หรือแม้แต่การเบียดกันแซงคิวกัน เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาคุ้นเคยและไม่เคยเข้าใจว่าสังคมโลกจริง ๆ เป็นยังไง แต่ปัจจุบัน รัฐบาลจีนมีทั้งรายการและใบปลิวให้ความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับการท่องเที่ยวในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ หากเปรียบเทียบกับสมัยก่อน ๆ แล้วอาจจะยังไม่ดีขึ้น ด้วยเพราะราคาค่าท่องเที่ยวที่ผูกติดกับราคาตั๋วเครื่องบินได้ลดลงอย่างมากมาย ทำให้คนจีนจำนวนมากแม้จะไม่ร่ำรวย และยังไม่เข้าถึงความรู้เรื่องนี้ ก็มีโอกาสมาท่องเที่ยวมากขึ้น

           ต่างจากคนไทย ที่เรามีโอกาสเข้าถึงทุก ๆ อย่าง ไม่ว่าจะอินเทอร์เน็ต หนังสือท่องเที่ยวดี ๆ หรือแม้แต่การใช้เฟซบุ๊กและสื่อโซเชี่ยล เรามีโอกาสที่จะได้ "ทำการบ้าน" ได้ดีกว่าตั้งมากมาย หลายกลุ่มของทัวร์ไทยก็มีดี ๆ มากมาย และเช่นกัน อีกหลาย ๆ กลุ่มกลับแย่จนน่าใจหายเลยทีเดียว เพราะความ "อะไรก็ได้ สบาย ๆ คือไทยแท้" บางทีการที่เราทำอะไรไปด้วยความคุ้นเคย เพราะคิดว่าไม่เป็นไร เราอยู่ในกลุ่มคนไทยของเราเอง มันทำให้แลดูกลับกลายเป็นความมักง่าย ไร้กาลเทศะ และแลดูไร้การศึกษาในสายตาของเจ้าถิ่นที่เราแวะไปเยี่ยมเยือน

           ในปัจจุบัน ญี่ปุ่นสร้างสภาวะปลอดวีซ่าให้เราได้มีโอกาสเดินทาง เพราะเขาดูจากสถิติที่คนไทยขอวีซ่าท่องเที่ยวว่า เราให้ความสนใจในประเทศเขามาก กอปรกับราคาของตั๋วเครื่องบินทั้ง low cost และ premium ที่แข่งกันถูกลงเพื่อแย่งลูกค้า ทำให้คนไทยมากมายที่ไม่เคยฝันหรือมีโอกาสจะได้ไป มีโอกาสในชีวิต คนไทยจำนวนมากจึงหลั่งไหลไปเที่ยวดั่งกับไปเดินจตุจักร ยิ่งช่วงหน้าเทศกาลต่าง ๆ แล้ว ยิ่งเหมือนเดินอยู่เชียงใหม่ มีแต่เสียงคนพูดภาษาไทยเต็มไปหมด

           ในบรรดานักท่องเที่ยวเหล่านี้ มีทั้งคนที่มีความรู้ ทำการบ้านมาก่อนการเดินทาง และใส่ใจในเรื่องของมารยาทในที่สาธารณะมากมาย แต่ก็ยังมีส่วนหนึ่งอีกเหมือนกันที่ไม่เคยสนใจหรือแคร์สายตาคนมองว่าจะทำให้เจ้าถิ่นเขารู้สึกแค่ไหน คนญี่ปุ่นส่วนมากมักจะไม่ค่อยสนใจหรือยุ่งเรื่องชาวบ้าน เพราะถือว่าเขาสร้างขอบเขตของตัวเองเอาไว้ และเคารพขอบเขตซึ่งกันและกัน ทำให้บ้านเมืองเขามีระเบียบแบบแผนที่ดีมาตลอด แม้จะแลดูแล้งน้ำใจ แต่เชื่อไหมว่า หากคุณเริ่มเอ่ยปากขอความช่วยเหลืออะไรสักเรื่อง เขาก็ยินดีที่จะช่วยในสถานะที่เขาทำได้เสมอ

           ในสถานที่ท่องเที่ยวดัง ๆ ที่คนไทยเริ่มแวะเวียนกันไปมากขึ้น เริ่มมีป้ายบอกข้อมูลเป็นภาษาไทย มีแม้แต่คำเตือนเช่น 

           กรุณาเข้าแถวเพื่อจ่ายค่าสินค้า                    
           กรุณาตักแต่พอรับประทาน
           กรุณาอย่านำรถเข็นไปที่ลานจอดรถ
           กรุณาเก็บรถเข็นหลังใช้แล้ว
           กรุณาอย่ากระโดดลงบ่อน้ำแร่
           กรุณาอย่าใช้เสียงดัง
           ห้ามเหยียบขอบโถ
           ค่อย ๆ ตัก ไม่ต้องรีบ ทานให้หมด
           กรุณากรอกข้อมูลของท่านให้ครบก่อนเข้าแถวเพื่อขอคืนภาษี
           กรุณา...........ฯลฯ

หากเราอ่านข้อความพวกนี้เพียงผ่าน เราอาจจะเข้าใจแค่ว่า เออ ! ดีจัง เขาใส่ใจเอาภาษาไทยมาแปะบอกด้วย แต่ถ้าเราอ่านข้อความพวกนี้ แล้วมองถึงพฤติกรรมที่ทำให้มีข้อความนี้ขึ้นมาลึก ๆ แล้ว คุณจะเริ่มที่จะเข้าใจ ที่ผ่านมามีคนที่ "ไม่ทำการบ้าน" มากแค่ไหน มีการเตือนด้วยคำพูดแล้วก็ไม่ได้ผล จนเขาต้องทำ "ป้ายภาษา" เหล่านี้ขึ้นมา บอกตรง ๆนะ ผมไม่ค่อยดีใจเลยที่ได้เห็น ผมกลับสะท้อนใจมากกว่าว่า คนญี่ปุ่นที่ต้องดีลกับคนไทยมากขึ้น เริ่มสร้าง "ขอบเขต" ให้พวกเราได้มองเห็นและเข้าใจได้เด่นชัดกว่าเดิมแค่ไหน

           เห็นป้ายพวกนี้แล้วสะท้อนใจบ้างไหมครับ นึกถึงที่เราทำกับทัวร์จีนในป้านเราไหม...................... ป้ายบอกห้ามเป็นภาษาจีน ฉันใดฉันนั้น

           ช่วงหลัง ๆ มานี้ นักท่องเที่ยวไทย ถือว่าเป็นหนึ่งในชนชาติที่ญี่ปุ่นขยาดที่สุด เพราะไหนจะแซงคิว เสียงดัง ชอบนั่งตามพื้นห้าง ทิ้งขยะ และชอบพูดจาแย่ ๆ กับพนักงานขายของ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ญี่ปุ่นถือว่าเป็นการไร้กาลเทศะเป็นอย่างมาก และยิ่งหลายคนที่มาญี่ปุ่นตอนนี้ สวมสัญลักษณ์ธงชาติ มันยิ่งบอกชัดเจนว่าเป็นใครมาจากไหน หลาย ๆ สถานที่ท่องเที่ยวติดป้ายประกาศเตือนในเรื่องมารยาทเป็นภาษาไทยภาษาเดียวเลยก็มี พวกพนักงานขายของตามแบรนด์ที่คนไทยชอบมาซื้อก็บ่นคนไทยจนไม่เหลือ

           ถ้าให้พูดเรื่องรถไฟอย่างเดียว เพราะหลัง ๆ เห็นคนมาเที่ยวเองเยอะ ส่วนมากในรถไฟ ควรปิดเสียงมือถือ และเลี่ยงการคุยโทรศัพท์ หรือคุยเสียงดัง ถ้าอยู่ในโซนที่ที่จับเป็นสีส้มควรปิดมือถือ เพราะว่าบางทีจะมีผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยการเต้นของหัวใจ คนญี่ปุ่นจะเลี่ยงรถไฟช่วงเร่งด่วน (8-10โมงเช้า) ถ้าไม่จำเป็น (คือไม่ต้องทำงาน) และจะเลี่ยงการนำสิ่งของใหญ่ ๆ อย่างกระเป๋าเดินทาง หรือเบบี้คาร์ขึ้นในช่วงเวลานี้ เพราะถือว่าทุกคนต้องรีบ และไม่ควรระรานสิทธิของผู้อื่น 

           แต่ถ้าจำเป็นจริง ๆ ให้พยายามขึ้นท้ายหรือหัวขบวนที่ไม่แน่นนัก หรือสังเกตตรงแพลทฟอร์มจะมีบอกว่าจุดไหนเป็นจุดที่แน่น (จุดใกล้บันไดทางขื้นลง) แม้ที่ญี่ปุ่นจะไม่ค่อยมีน้ำใจในการสละที่นั่งให้ผู้หญิง เด็กหรือคนมีอายุ แต่เค้าก็พยายามรักษากฎเท่าที่ทำได้ โดยไม่ระรานผู้อื่น

           คนไทยเขามีนิสัยอยากอวด อยากโชว์ อยากเป็นจุดเด่น อยากให้คนมองอยากให้คนชม นิสัยเหมือนเด็กที่เลี้ยงไม่โต เช่น ชอบโชว์ ของแบรนด์เนมอวดกัน โชว์รูปลงอวดกันเวลาได้ไปเที่ยว ได้ไปทานของแพง ๆ อร่อย ๆ อวดแม้กระทั่งตัวเองแอบขึ้นรถไฟที่ผิดขบวนและไม่ยอมเสียเงินเพิ่ม ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวนี้มีพ่อเป็นถึง ดร. ที่น่าจะเป็นคนให้การศึกษาที่ดีแก่ลูก ๆ ของตัวเอง

           มุมมองทางหนึ่งคนอาจคิดว่าเป็นคนกล้าแสดงออกกล้าโชว์ แต่คนญี่ปุ่นเขาก็มองไปอีกทางพวกบ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็ก ๆ ควรรู้จักมารยาท รู้จักกาลเทศะ รู้จักการวางตัว รู้ว่าอะไรควร อะไรมิควร รู้จักการควบคุมสติและอารมณ์

            คนญี่ปุ่นเป็นคนไม่ค่อยติหรือว่าใครต่อหน้าจริง ๆ หากเขายังคิดว่าพอทนไหว แต่ป้ายภาษากำกับพวกนี้แหละ คือ คำด่าทอให้กับการ "ไม่ทำการบ้าน" ของคนไทย ได้อย่างแยบยลและเจ็บปวดที่สุด เพราะคนไทยเป็นชาติที่ได้อยู่รวมกันแล้วจะฮึกเหิม กล้าในสิ่งที่ไม่ควรจะทำ และทำอะไรตามใจคือไทยแท้จริง ๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน

           ผมเชื่อว่า เรื่อง "จิตสำนึกเพื่อส่วนรวม" ของคนไทยยุคนี้ สร้างได้ยากมาก ๆ หากเราไม่คิดจะกระจายข้อมูล ส่งต่อหรือตักเตือนกันเอง ก็อย่าแปลกใจกับสายตาที่เขามองมาว่า ทำไมมันเย็นชาและเปลี่ยนไป ทั้งหมดนี้ผมโทษระบบการศึกษาของไทยที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

           และอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ คือ บริษัททัวร์ ที่มีไกด์นำเที่ยว อยากให้ไกด์คนไทยที่น่ารักหลาย ๆ ท่าน ช่วยแจ้ง เตือน บอกกล่าวดี ๆ กับลูกทัวร์ของท่านด้วยสักนิด เขาจะทำตามหรือไม่ คงไปกำหนดอะไรให้ไม่ได้ แต่อย่างน้อยเราก็ได้พูดเตือนอะไรไปบ้าง คนที่เขามีพื้นฐานที่ดี เขาจะเกิดความละอายใจและไม่ทำอีก

           ทั้งหมดนี้คือความเห็นส่วนตัวนะครับ ผมไม่ได้โจมตีใคร ทุกสังคมมีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปน เพียงแค่คนไม่ดี มันเหมือนจุดดำบนผ้าขาว มันเลยกลายเป็นจุดสนใจขึ้นมา

           ผมยังเชื่อว่า คนไทยหากได้รับการบอกกล่าวและเตือนกันเองแบบดี ๆ จะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ไม่ยากครับ

           ****ขอเพิ่มเติมอะไรอีกนิดนะครับ

           ขอบพระคุณนะครับที่เข้ามาอ่านและแสดงความคิดเห็นพร้อมส่งต่อ ขอพูดอะไรอีกนิดนะครับว่า นี่คือความเห็นส่วนตัวของผม ผมพูดในมุมมองของคนที่เดินทางมาตลอด 25 ปี และเดินทางเข้าญี่ปุ่นปี ๆ หนึ่งไม่ต่ำกว่า 50 ครั้งต่อปีว่า คนไทยหลาย ๆ คนเดี๋ยวนี้มีพฤติกรรมที่แย่มาก ๆ และไม่ยอมรับตัวเองด้วยว่า สิ่งที่ทำนั้นเเย่มาก ๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ หลาย ๆ คอมเม้นท์ที่เข้ามาแบบแย่ ๆ โดยไม่อ่านให้ละเอียดและทำความเข้าใจให้ดีก่อนว่า ผมพยายามตั้งใจจะสื่ออะไรให้ฟัง ผมจะขอลบออกหมด เพราะรู้สึกป่วยการที่จะให้ความเข้าใจกับเจ้าของคอมเม้นท์พวกนั้น

           สำหรับท่าน ๆ ที่เข้าใจและส่งต่อให้ ขอขอบคุณนะครับที่ช่วยกันพยายามให้ความเข้าใจแก่คนไทยในการปรับปรุงพฤติกรรมและให้การบ้านความคิดกับคนอื่น เพื่อชื่อเสียงของไทยที่จะไม่มีใครมาดูถูกอีกในวันข้างหน้า

          เครดิตภาพ และบางตอนของบทความนี้จากกูเกิลครับ


ภาพจาก  เฟชบุ๊ก Kunphas Tohteh Rommanee 

Credit: http://hilight.kapook.com/view/118827
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...