บนโลกโซเชียลได้แชร์มีประเด็นสุดประทับใจ เมื่อสมาชิกเฟซบุ๊คชื่อ Ginobili Le’Tif Chuensukjit มาเล่าเรื่องราวความมีน้ำใจของคุณลุงขายโรตีคนหนึ่ง โดยระบุว่า ลุงคนนี้ เป็นชาวโรฮิงญา ขายโรตีอยู่แถวเจริญกรุง ที่พักอาศัยกอยู่แถวมัสยิดอัลอะตี๊กตระเวนขายตั้งแต่แถวๆเอเชียทีค จนถึงสี่แยกถนนตก โดย โพสต์ข้อความว่า
ลุงคนนี้ แกเป็นชาวโรฮิงญา
ขายโรตีอยู่แถวเจริญกรุง ที่พักอาศัยแกอยู่แถวมัสยิดอัลอะตี๊ก
ตระเวนขายตั้งแต่แถวๆเอเชียทีค จนถึงสี่แยกถนนตก
แกเสียขาไปข้างนึง แต่แกมีขาเทียมใช้แล้ว
ใครที่อยู่แถวๆนี้คงจะคุ้นหน้าแกดี
ปกติผมจะไม่ค่อยได้ซื้อแกเท่าไหร่
ส่วนใหญ่จะเดินผ่านและยิ้ม+ให้สลามกันทุกครั้ง
จนวันนี้ ที่ผมจะเดินเข้าไปซื้อกิน ...
ตีฟ : (ให้สลาม) โรตีแผ่นนึงครับ ไม่ใส่ไข่
~ ลุงแกยิ้ม+รับสลาม แล้วก้มหน้าก้มตาทำ ~
ตีฟ : เท่าไหร่ครับลุง
ลุง : ไม่เอา ผมเลี้ยงเอง เจอหน้ากันบ่อยๆ!!!...
ตีฟ : ไม่ได้หรอกลุง ของซื้อของขายนะครับ
ลุง : ไม่เอา ไม่เปนไร ผมอยากเลี้ยง วันนี้ผมขายได้พอแล้ว...
ผมสตั๊นไป 5 วิ...
แค่ประโยคนี้ประโยคเดียว ทำให้ผมคิดอะไรได้มากมาย...
คนทำมาหากินที่มีรายได้แค่พอกินไปวันๆ
รายได้วันละ 200-300 บาท ไม่ได้มากมาย ฟู่ฟ่าเท่านักธุรกิจ
ยังไม่ได้ต้องการอะไรมากนอกจากการมีรายได้พออยู่พอกิน
เขาก็มีจุดที่เขาพอและพร้อมจะให้ผู้อื่นต่อไปเรื่อยๆ
ในขณะที่นักธุรกิจหลายๆคนมีรายได้มากมาย วันๆก็คิดแต่จะเก็งกำไร
เพื่อรายได้ที่มากกว่าเดิม มากขึ้นเรื่อยๆและไม่มีวันพอ
เวลาจะให้อะไรใครซักครั้งก็ต้องมาคุยว่า
"ถึงกูจะรวย มีเงินเยอะ แต่กูก็ให้คนอื่นเหมือนกันนะ"
พยายามหาช่องทางกฎหมาย เอาศาสนามาอ้าง
เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทอง ไม่ว่าจะน่าเกลียดแค่ไหนก็ตาม
นะอูซุบิลลาฮฺ
หลาน 5 ขวบเดินมาตบไหล่เบาๆแล้วบอกว่า
"ช่างแม่งเหอะ โลกนี้มันไม่ได้สวยนะเว้ยยย"