รวมเรื่องราวสุดสะพรึงของ 10 ตำนานผีร้ายที่หลอนที่สุดของญี่ปุ่น ตำนานที่จะทำให้คุณนอนไม่หลับไปอีกหลายคืนนับจากนี้!
ญี่ปุ่น ถือได้ว่าเป็นประเทศหนึ่งที่เป็นผู้นำทางเศรษฐกิจ มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและทรงอิทธิพลมากที่สุดในเอเชียตะวันออก อีกทั้งยังมีวัฒนธรรมที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ถึงอย่างนั้นชาวญี่ปุ่นก็มีเรื่องผีสยอง หลอนสุดติ่งอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
1. Kamai-tachi... ฟันแล้วไม่ทิ้ง
คาไมทาจิ เป็นภูติลมตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น เคลื่อนไหวรวดเร็วเหมือนลม ตามตำนานเล่าว่า คามัยทาจิอาศัยอยู่บนภูเขา มีอยู่ด้วยกัน 3 ตัว จะทำอันตราย เมื่อมีนักเดินทางผ่านมาจะเจอกับลมพายุหมุน โดยตัวแรกจะชนเหยื่อในล้ม ตามด้วยตัวที่สองฟันเหยื่อให้เป็นแผล ส่วนตัวสุดท้ายจะทายาแก้ปวดให้กับเหยื่อ แต่ยังไม่จบแค่นั้น คาไมทาจิ มีนิสัยรักการต่อสู้ ซึ่งไม่ไม่รู้ว่าไปรักตั้งแต่ตอนไหน คาไมทาจิฟันแล้วไม่ทิ้งอย่างแน่นอน แต่จะทายาและฟันซ้ำไปซ้ำมาจนกว่าจะพอใจ นิสัยอย่างนี้แม้แต่ผีด้วยกันเองยังขยาดเล้ย !
2. Nekomata...แมวปีศาจ
เนโกะมาตะ ตามตำนานเล่าว่า เมื่อแมวบางตัวมีอายุมากจะมีตบะที่สูงขึ้นด้วย และมันจะกลายเป็นแมวผี ที่เรียกว่า “บะเกะเนะโกะ” หากหางมันแยกออกเป็น 2 หางเมื่อไหร่ เมื่อนั้นมันจะสามารถอัพเกรดตัวเองกลายเป็น “เนะโกะมะตะ” ถือเป็นขั้นสุดของแมวปีศาจ สามารถขยายตัวเองได้ถึง 1 เมตร และเปลี่ยนสัญชาติตัวเองด้วยการเดินขาหลัง 2 ขา นอกจากนั้นยังเป็นแมวผีที่ไม่ยอมให้ใครมาดูถูก ถ้าใครทำไม่ดีกับมันพึงระลึกไว้ว่ามันไม่มีทางลืมอย่างแน่นอน นอกจากนั้นยังเชื่อกันว่า การเต้นรำของเนะโกะมะตะสามารถควบคุมคนตายได้ และยังเชื่ออีกว่าเนะโกะมะตะเป็นสาเหตุของเพลิงไหม้ที่ผิดปกติ จึงมีความเชื่อบางอย่างที่จะตัดหางของแมวออก เพื่อป้องกันไม่ให้มันกลายเป็นเนะโกะมะตะ เรื่องเล่าของเนโกะมาตะนั้น แตกต่างไปตามแต่ละพื้นที่ บ้างก็ว่าห้ามทิ้งแมวไว้กับศพ เพราะมันจะปลุกศพคนตายให้ฟื้นคืนชีพ บ้างก็ว่าเนโกะมาตะจะกินคนที่เป็นเจ้านายของมัน และมีบางตำนานที่เล่าว่าในตอนกลางคืน เนโกะมาตะ จะแปลงกายเป็นสาวงามเพื่อปรนนิบัติเจ้านายที่มันหลงรักอีกด้วย ความสามรถขั้นเทพจริงๆ !
3. Rokurokubi...สาวคอยาว
โรคุโรคุบิ ตำนานเกี่ยวกับมนุษย์ ที่โดนคำสาปจากไหนก็ไม่รู้อีกแล้ว โดยตอนกลางวันเป็นคนปกติธรรมดาเหมือนเราๆนี่แหละ แต่พอตกกลางคืนคอของเธอก็จะยืดยาวออกมา ส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้หญิงเนื้อเรื่องแอบคล้ายกระสือของพี่ไทยอยู่หน่อยๆ ต่างกันตรงที่ความสามารถพิเศษเท่านั้นเอง เพราะโรคุโรคุบินั้น จะยืดแค่คอ หัวและตัวนั้นลอยออกไปพร้อมกัน ไม่ได้ถอดหัวทิ้งร่างไว้แต่อย่างใด และจะดูดพลังวิญญาณของคนและสัตว์ไปเป็นอาหาร แต่ที่ชื่นชอบมากเป็นพิเศษคือพลังชีวิตของชายหนุ่ม เธอมักจะแฝงตัวและปิดบังตัวเอง แต่ปิดยังไง๊ ยังไงก็ไม่อยู่ จึงต้องแสดงตัวตนออกมา แต่เฉพาะกับพวกขี้เมา และผู้ชายงี่เงาเท่านั้น เหตุก็เพราะว่า เธอกลัวชายหนุ่มที่สนใจผิดหวังในคอยาวๆของเธอน่ะสิ ถึงจะคอยาวแต่เธอก็ยังเป็นหญิงสาวว่างั้น
4. Hanako-san...วิญญาณในห้องน้ำ
ฮานาโกะซัง ตำนานเมืองสมัยใหม่ที่นิยมมากในญี่ปุ่น โดยเฉพาะเด็กนักเรียน ที่จะใช้ตำนานนี้ในการวัดความกล้าสำหรับบรรดาน้องใหม่ทั้งหลาย ฮานาโกะซัง คือ เด็กผู้หญิงในชุดเอี๊ยมกระโปรงแดง ตัดผมสั้นทรงกะลา ถ้านึกไม่ออกให้นึกถึงหนูหิ่นอินเตอร์ของบ้านเราไว้ นั่นแหละคือฮานาโกะซัง วันหนึ่งตอนพักกลางวันเธอแอบเข้าไปในห้องน้ำแล้วออกมาไม่ได้ เด็กสาวจึงต้องเอาตัวรอดด้วยการจับแมลงและกินน้ำที่อยู่ในห้องน้ำนั้นเพื่อประทังชีวิต แต่น่าเสียดายที่แมลงในห้องน้ำนั้นไม่สามารถทำให้เธอรอดชีวิตได้ เธอจึงกลายเป็นวิญญาณที่ถูกขังอยู่ในห้องน้ำนับแต่นั้นมา การที่จะพบฮานาโกะซังได้นั้นจะต้องเคาะประตู 3 ครั้ง ในห้องน้ำห้องที่ 3 ชั้นที่ 4 ของโรงเรียน บ้างก็ว่าห้องสุดท้ายทางขวามือ แล้วถามว่า “ฮานาโกะซัง เธออยู่ในนั้นไหม” ไม่ก็ “ฮานาโกะซัง มาเล่นกันเถอะ” ถ้าเธอตอบ “ฉันอยู่นี่” หรือ “ค่ะ...” หลังจากนั้นก็แล้วแต่แล้วล่ะ ว่าจะวิ่ง หรือจะเล่น
5. Camelia...ดอกไม้สีเลือด
คาเมเลีย เป็นดอกไม้ในตระกูลชา ดอกเป็นสีขาวและชมพู แต่บางครั้งพบสีแดงคล้ายเลือด ซึ่งมีความหมายว่า ความโศกเสร้าอันน่าสลด ตำนานคาเมเลียเป็นที่กล่าวขวัญกันในโรงเรียนประถมของญี่ปุ่น เพราะนิยมปลูกเจ้าคาเมเลียไว้ประดับโรงเรียน เมื่อพอถึงฤดูใบไม้ร่วงดอกของต้นคาเมเลียก็จะหล่นเกลื่อนกลาดเต็มพื้นทางเดินของโรงเรียน ถ้าเกิดมันเป็นสีแดง คงคล้ายกับว่าพื้นนั้นถูกย้อมไปด้วยเลือด ตำนานอาถารรพ์ของต้นคาเมเลีย เริ่มในสมัยโบราณของญี่ปุ่นที่ยังคงมีระบบศักดินา มีเจ้าหญิงไร้นามผู้หนีภัยทางการเมือง แต่โดนฝ่ายตรงข้ามจับได้ซะก่อน เธอจึงกลายเป็นเฉลยสงครามและถูกจับมัดไว้กับต้น คาเมเลีย จากนั้นถูกทรมานสารพัดเพื่อบังคับให้เปิดเผยข้อมูลของราชสำนัก ส่วนเจ้าหญิงเองก็เป็นคนดีเก็บเงียบไม่ยอมปริปากบอกอะไรแก่ศัตรู จนในที่สุดก็เสียชีวิตและถูกฝังศพไว้ใต้ต้นคาต้นคาเมเลียนั้น ต้นคาเมเลียจึงสูบเลือดเจ้าหญิงแทนน้ำ ส่วนวิญญาณแค้นทำให้ดอกคาเมเลียกลายเป็นสีเลือด เด็กๆ จึงเชื่อกันว่าต้นคาเมเลียในโรงเรียน เป็นต้นไม้ที่สูบเลือดของเจ้าหญิง และเป็นที่น่าประหลาดใจเพราะตำนานนี้ไม่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ แต่กลับสามารถระบุวันที่เจ้าต้นคาเมเลียจะออกดอกสีแดงได้ นั่นคือ วันที่ 15 มิถุนายนของทุกปี
6. Kikuko...ตุ๊กตาผมยาว
คิคุโกะ เป็นตุ๊กตาที่มีอยู่จริงใน วัดมันเนน หมู่บ้านคุริซาว่า อำเภอโงจิ ฮอคไกโด เจ้าของตุ๊กตาตัวนี้เป็นเด็กหญิงชื่อ “คิคุโกะจัง” เธอรักตุ๊กตาตัวนี้มากกินด้วยกันนอนด้วยกัน เป็นเด็กที่ติดตุ๊กตายิ่งกว่าพ่อแม่เสียอีก เมื่อเด็กหญิงป่วยและเสียชีวิตลง พ่อแม่ก็นำตุ๊กตาไปวางไว้ที่ป้ายวิญญาณ เพื่อให้ตุ๊กตาตัวนั้นไปเป็นเพื่อนเล่นในยามที่จากไปแล้ว แต่ก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น เมื่อแต่เดิมตุ๊กตาที่มีผมสั้น กลับมีผมยาวเลยลงมาจนเลยไหล่ ปากที่เคยหุบสนิทก็แย้มยิ้ม ทั้งๆที่คิคุโกะจังตายไปกว่า 60 ปีแล้ว ในวันที่ 21 มีนาคมของทุกปี ที่วัดมันเนนจะมีพิธีตัดผมที่ปรกหน้าตุ๊กตาออก และเปลี่ยนชุดกิโมโนให้ใหม่ แต่ผมของตุ๊กตาก็ยังคงยาวขึ้นมาใหม่อยู่เสมอ
7. Oiwa...แม่นาคญี่ปุ่น
โออิวะ เป็นตำนานของหญิงสาวที่ผิดหวังในความรัก วิญญาณระดับความเฮี้ยนอยู่ที่ 5 ดาวมิชลิน เริ่มเรื่องในสมัยเอโดะ โออิวะคือคุณหนูตระกูลเศรษฐีผู้ร่ำรวย พ่อถูกสังหารจึงต้องอยู่ตัวคนเดียวกับบริวาร และมรดกมหาศาลทั้งหลาย ตำนานบอกว่าเธอหน้าตาสะสวย บางตำนานบอกว่าหน้าอัปลักษณ์ตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ค่อยมีคนคบ แต่อยู่มาวันหนึ่ง มีซามูไรนามว่า “อิเอม่อน” คารมเป็นต่อ รูปหล่อไม่เป็นรองมาขอความรัก โออิวะที่ไม่เหลือใครจึงตอบตกลงแต่งงานด้วย อิเอม่อนซึ่งเป็นผู้ชายที่รูปหล่อ แต่ใจไม่หล่อทำการวางแผนเพื่อฮุบทรัพย์สมบัติ แต่โออิวะรู้ถึงแผนการเข้าซะก่อน อิเมม่อนจึงกรอกยาพิษให้อิโอวะกิน จนหน้าตาอัปลักษณ์และกล่าวหาว่าอิโอวะเป็นผี จากนั้นก็เชือดแล้วทิ้งศพไว้ที่บ่อน้ำ บางตำนานก็เล่าว่าอิโอวะเสียใจจนฆ่าตัวตายเอง ต่อมาอิเอม่อนแต่งงานใหม่ ในคืนที่เข้าหอนั้น เจ้าบ่าวเห็นว่าที่เจ้าสาวเป็นอิโอวะ ที่นั่งรอตนเองเพื่อเข้าหอ อิเอม่อนกลัวจนลนลานจึงหยิบดาบฟันไปที่ร่างนั้น ปรากฎว่าร่างนั้นกลายเป็นว่าที่เจ้าสาว ไม่ใช่อิโอวะอย่างที่เห็น ไม่เพียงแต่ว่าที่เจ้าสาวเท่านั้น แต่วิญญาณยังตามไปทวงแค้นคนที่สมรู้ร่วมคิดให้ตายกันไปทีละคนๆ จนในที่สุดอิเอม่อนก็เสียสติและใช้ดาบฆ่าตัวตายที่บ้านหลังนั้น เรื่องราวความเฮี้ยนนั้นนำไปทำเป็นบทละครและสร้างศาลเจ้า “ทะมิยะ” อยู่ที่ย่านชินจูกุ กรุงโตเกียว ใครที่แสดงเรื่องนี้จะต้องมากราบไว้ก่อนเข้ารับเล่นบทด้วย เรียกได้ว่าเฮี้ยนตีคู่กับแม่นาคของไทยกันมาเลย
8. Teke-Teke…ผีบนรางรถไฟ
เทเกะ เทเกะ คือผีหญิงสาวที่ตายบนรางรถไฟ เล่ากันว่าเธอกระโดดตัดหน้าขบวนรถไฟ แน่นอนว่ารถไฟมันเบรคไม่ได้ ร่างกายจึงหงิกงอ ด้วยความโกรธบวกกับความทรมานหลังจากโดนรถไฟชนที่กระโดดลงไปเอง ทาเกะ ทาเกะจึงเริ่มปฏิบัติการออกหาเหยื่อในทันที เหยื่อของเธอคือคนที่เดินผ่านที่ทางที่เป็นของเธอ ในตอนกลางคืนแล้วคนที่เดินผ่านจะรู้ไหมนั่น เมื่อมีเหยื่อเดินผ่านเธอก็จะตามในทันทีถึงแม้ว่าขาจะเดินไม่ได้ แต่สามารถไปต่อด้วยการคลืบคลานทีละนิดๆ ด้วยมือและไหล่ อย่าเพิ่งหลงดีใจไปว่ามันช้าและตามไม่ทันเพราะเราโกยได้ไวกว่า ทว่าใครก็สบตากับเธอการเคลื่อนไหวจะช้าโดยฉับพลัน หนีอย่างไรก็ไม่รอด บางครั้งก็เล่าว่า เหยื่อจะกลายเป็นทาเกะ ทาเกะซะเอง นี่มันผีชีวะหรืออะไรเนี่ย ทั้งนี้ทั้งนั้นเทเกะ เทเกะเป็นตำนานที่เอาไว้เตือนเด็กไม่ให้อยู่นอกบ้านดึกดื่นเกินไปนั่นเอง เอาเป็นว่ารีบกลับเข้าบ้านกันไปเถอะ จะได้ไม่มีตำนานสยองๆ โผล่มาอีก ผู้ใหญ่เค้ากลัว
9. Sarayashiki…ผีนับจาน
ซารายาชิกิ หรือ โออิคุ แค่สโลแกนก็นับว่าแปลกแล้ว ครั้งแรกที่ได้ยินก็คิดแบบฮาๆว่า ผีบ้าอะไรมานั่งนับจาน ! แต่ที่มานั้นจริงจังกว่านั้นเยอะ โออิคุเป็นสาวใช้ในตระกูลอาโอยาม่า ที่บังเอิญไปรู้ถึงแผนการล้มการปกครองของเจ้าเมือง เธอจึงนำความลับนั้นไปบอกกับคนรักของตัวเอง ซึ่งเป็นทหารของเจ้าเมือง ทำให้แผนนการของอาโอยาม่าล้มเหลวไม่เป็นท่า พอรู้ว่าโออิคุเป็นตัวการทำให้แผนการล้มเหลว จึงใส่ความว่าโออิคุขโมยจานล้ำค่า ซึ่งมันมาป็นเซ็ท มีทั้งหมดด้วยกัน 10 ใบ หายไป 1 ใบ และด้วยจานเซ็ท 10 ใบนั้นทำให้โออิคุถูกทรมานจนตาย และตามด้วยการทิ้งศพไว้ที่บ่อน้ำอีกเช่นเคย วันดีคืนดีก็จะออกมานับจานข้างๆบ่อน้ำตั้งแต่ใบที่ 1 ถึงใบที่ 9 แต่นับยังไงมันก็ไม่ครบ 10 เธอจึงต้องนับไปเรื่อยๆด้วยเสียงคร่ำครวญว่าไอ้จานใบที่สิบมันไปอยู่ไหน นึกไม่ถึงว่าแค่เรื่องจานก็ทำให้หลอนได้เหมือนกัน
10. Kuchisake-onna…สาวปากฉีก
คุชิซาเกะอนนะ เป็นตำนานผีที่มีชื่อเสียงมากในประเทศญี่ปุ่น ที่กล่าวขวัญกันมาตั้งแต่ยุคสมัยเฮอัน จวบจนถึงปัจจุบัน ลูกเด็กเล็กแดงก็ยังรู้จักกันอยู่ เรียกว่าอยู่มานานมากเลยทีเดียว คุชิซาเกะอนนะ คือ หญิงสาวที่คาดว่าคงหน้าตาดีที่สุดในยุคสมัยนั้น เธอเป็นภรรยาของซามูไรที่คาดอีกเช่นกันว่ามีชื่อเสียงในขณะนั้น และแน่นอนที่สุด เมื่อมีความสวยความซวยจึงตามมาเป็นแพ็คเกจ เพราะสามีคิดว่าเธอไปมีชู้ ด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่อาจจะทราบได้ ด้วยความโกรธจึงชักดาบอาวุธคู่กาย เงื้อคมมีดตัดปากภรรยาให้ฉีกจนถึงใบหู เพื่อที่ว่าความสวยของเธอจะได้หมดไป แถมยังถากถางเป็นการทิ้งท้ายว่า หน้าตาเธอเป็นอย่างนี้แล้ว จะมีใครหาว่าเธอสวยได้อีก หลังจากนั้นเธออยู่รอดมาได้อย่างไรไม่มีใครรู้ แต่เมื่อคุชิซาเกะอนนะ ตายไป เธอกลายเป็นวิญญาณอาฆาตพยาบาทถึงที่สุด ความซวยเมื่อครั้งยังมีชีวิตฝังใจจนทำให้มีพฤติกรรมหลอนตามมา เธอมักจะมาอยู่ริมถนนในช่วงเวลาใกล้ค่ำ สวมผ้าปิดปากและถ้าเจอใครเดินผ่านมา ก็จะโดนถามว่า “ฉันสวยไหม” มีผู้หญิงมาถามว่าฉันสวยไหม เป็นคุณจะตอบว่าไงล่ะ ถ้าคำตอบเป็น สวยล่ะก็ เธอจะเปิดผ้าปิดปากออก ให้เหยื่อผู้โชคดีได้เห็นปากอันอวบอิ่มเสมือนแองเจลิน่า โจลี่ แต่เผอิญว่ามันดันฉีกไปถึงหูน่ะสิ แล้วก็ถามอีกรอบหนึ่งว่า “ฉันสวยไหม” เธอคงจะอยากเช็คให้แน่ใจว่าไอ้ที่ตอบไปครั้งแรกน่ะ แกจริงใจแน่นะ ถ้าคำตอบคือเธอยังสวยเหมือนเดิมก็จะปลอดภัย และจากไปประหนึ่งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าเกิดจิตหลุดในขณะที่เห็นปากล่ะก็ เธอจะไม่ปล่อยคุณไปและตามไปทุกหนแห่ง หนียังไงก็หนีไม่พ้น เอาเป็นว่า ไม่ว่าจะผีหรือคนถ้าเธอถามว่าฉันสวยไหม ตอบๆ ไปเถอะว่าสวย เพื่อความปลอดภัยของชีวิต และทรัพย์สินนะเอ้อ !!!
ทั้งหมดที่เล่ามาคือตำนานของญี่ปุ่น ซึ่งบางเรื่องอาจผิดเพี้ยนจากเหตุการณ์จริง แต่ถึงอย่างนั้นตำนานผีๆ แบบนั้น ก็ยังสามารถเตือนใจมนุษย์แบบเราๆ ได้เช่นกัน