เนื่องในโอกาสมหามงคลที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา ในวันที่ 2 เม.ย. 2558 ชมรมภูมิพลังแผ่นดิน จัดงานเสวนาภูมิพลังแผ่นดิน "รัตนะของแผ่นดิน จักรินทร์ราชสุดา" เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมายุ 5 รอบ เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของเจ้าฟ้าพระองค์เอกในพระบรมราชวงศ์จักรี ที่ทรงมีพระราชปณิธานและการบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อประโยชน์สุขของปวงประชาอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยได้รับเกียรติจาก ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถานำ
ทรงเป็นดั่งแก้ววิเศษอันประเสริฐของแผ่นดิน
ดร.วิษณุ เริ่มต้นการปาฐกถา โดยแบ่งออกเป็น 3 หัวข้อใหญ่ เริ่มจากความสำคัญของการจัดงานเฉลิมพระเกียรติวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อย่างยิ่งใหญ่ในปีนี้ว่า วันที่ 2 เม.ย.ของทุกปีเป็นวันสำคัญ แต่ปีนี้สำคัญเป็นพิเศษ เพราะประจวบเหมาะวาระที่พระองค์ทรงเจริญพระชนมายุครบ 5 รอบปีนักษัตร หรือ 60 พรรษา ซึ่งตามความเชื่อของคนไทยและอีกหลายประเทศที่นับรอบตามปีนักษัตร เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี จะให้ความสำคัญและถือเป็นวาระแห่งความปีติยินดี นอกจากนี้เมื่อย้อนไป 164 ปีที่แล้ว วันที่ 2 เม.ย.ก็เป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์มาก่อน เพราะเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.4) เสด็จขึ้นครองราชย์
ในส่วนพระนามของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ดร.วิษณุ อธิบายว่า หลายคนอาจคิดว่าชื่อการตั้งพระนามของพระบรมวงศานุวงศ์ เป็นไปตามพระราชอัธยาศัยของพระมหากษัตริย์ ซึ่งก็จริง แต่ในประวัติศาสตร์การจะตั้งพระนามของพระธิดาที่มีคำว่า เทพ รัตนะ และ สุดา ในพระนามเดียวกันนั้นไม่เคยปรากฏมาก่อน ที่ผ่านมาจะมีเพียงการประสมคำเหล่านี้ เพียง 2 ใน 3 เท่านั้น
“ผมอยากให้ทุกคนภูมิใจในการเปล่งพระนามของพระองค์ และผมอยากเชิญชวนให้พวกเราขานพระนามพระองค์ว่า “สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ” เพื่อให้สมกับที่พระองค์ทรงเป็นแก้วของเทพ, แก้วของแผ่นดิน ผมเชื่อว่าถ้าเราเข้าใจแบบนี้ จะออกพระนามด้วยความซาบซึ้งมากกว่าไม่เข้าใจที่มา”
ประการสุดท้าย ดร.วิษณุ สรุปถึงพระปรีชาสามารถในด้านต่างๆ ของพระองค์ด้วยที่ประจักษ์ของคนไทยและชาวโลกมาตลอด โดยแบ่งเป็น 3 ด้านหลัก ประกอบด้วย ด้านการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาของชาติ ด้านพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุณภาพประเทศ สุดท้ายคือด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ ช่วงที่พระองค์กำลังศึกษาอยู่ ยังเป็นช่วงเวลาสำคัญของการเมืองไทย เพราะเป็นช่วงปี 2519 ซึ่งเป็นช่วงที่ความคิดในสังคมแตกแยก แต่สมเด็จพระเทพรัตน์ฯ ก็ทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวาง ยอมรับว่าความคิดที่แตกต่าง ท่านบอกว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงสอนว่าคนเราต้องรู้เขารู้เรา ดังนั้นพระองค์ไม่ทรงอ่านเฉพาะหนังสือจากสหรัฐ แต่อ่านหนังสือของรัสเซีย และยังทรงเรียนภาษาจีนด้วย
“พระองค์ยังทรงเป็นนักจดบันทึก สมัยก่อนคนเรียนอักษรไม่จดไม่ได้ ท่านจะมีสมุดบันทึก 2 อย่าง แบบแรกเป็นเล่มเล็ก จดย่อๆ แบบเร็วๆ จดเฉพาะคำสำคัญ พอมีเวลาว่างระหว่างนั่งรถ หรือเสวยพระกระยาหารเสร็จ ถึงจะนั่งบันทึกสิ่งที่จดมาในสมุดเล่มใหญ่อย่างถูกต้อง ท่านจดทุกเรื่อง แม้แต่เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ผมคิดว่า ถ้าบันทึกเล่มใหญ่คงมีเป็นพันเล่ม ท่านทรงใช้หมดทุกเล่ม ไม่มีหน้าเปล่า ปากกาก็เหมือนกัน ทรงใช้หมดทุกแท่ง”
เรื่องการเป็นเจ้าฟ้านักจดบันทึก ศ.พิเศษ ธงทอง บอกว่า พระองค์ท่านไม่เพียงโปรดการจดบันทึก ยังส่งเสริมให้ผู้อื่นจดด้วย ตอนปี 2524 ผมได้มีโอกาสร่วมคณะบูรณะวัดพระแก้ว พระองค์ท่านทรงรับสั่งให้ผู้ร่วมคณะบันทึกรายละเอียด เนื่องจากในการบูรณะครั้งนั้น การกลับไปสืบค้นข้อมูลการปฏิสังขรณ์ในสมัย ร.7 มีน้อยมาก พระองค์ท่านจึงอยากให้ครั้งนี้เราช่วยกันจด เพื่อเป็นรายละเอียดเผื่อในอนาคตต้องมีการปฏิสังขรณ์อีก
“ถึงพระองค์จะเป็นเจ้าฟ้าโดยกำเนิด แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา พระองค์ก็ทรงเป็นแบบอย่างให้เห็นแล้วว่า ผู้ที่จะประสบความสำเร็จเป็นที่นับถือ ไม่สามารถได้มาเพราะนั่งอยู่เฉยๆ แต่พระองค์ทรงทำงาน และเสียสละเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ”
ปิดท้ายด้วย สมประสงค์ บุญยะชัย ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ ซึ่งได้มีโอกาสถวายงานพระองค์ท่านหลายครั้ง เล่าถึงความประทับใจที่มีต่อสมเด็จพระเทพรัตน์ฯ ว่า พระองค์ท่านเป็นปราชญ์ในสหวิชาการ มีความรู้หลายแขนง ในแง่การทำงาน พระองค์ท่านเป็นตัวอย่างในเรื่องความจริงจังและเอาใจใส่ในงานที่ทำ
“ในการกระทำการใดๆ ท่านทรงเปี่ยมไปด้วยความขยันและอดทน อีกสิ่งที่ผมสัมผัสได้ คือ ท่านเป็นผู้ที่ทรงประหยัด เห็นได้จากการที่ผมมีโอกาสเข้าเฝ้าพระองค์หลายครั้ง บางครั้งก็ฉลองพระองค์ด้วยชุดเดิม ผมยังจำพระราชดำรัสของพระองค์ที่น่าประทับใจได้ว่า ที่ผ่านมามีเพียง 2 สิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อตัวเอง นั่นคือ การเรียนหนังสือ และเสวยพระกระยาหาร นอกนั้นสิ่งที่พระองค์ท่านทรงทำล้วนเพื่อประเทศชาติ"