10 เรื่องจริงที่น่าขนลุก ของการกลับชาติมาเกิด!

เราคงเคยได้ยินเรื่องราวของการกลับชาติมาเกิดและการระลึกชาติได้มาหลายครั้งแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็ยังคงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ 

รวมถึง 10 เรื่องชวนขนลุก เกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด จากเว็บไซต์ listverse ต่อไปนี้ ที่นำเสนอเรื่องราวการกลับชาติมาเกิดในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งแม้จะยังเป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่เราไม่อาจปฏิเสธถึงความเชื่อมโยงที่เกิดขึ้นได้เช่นกัน  

 

 

ในบางพื้นที่ของเอเชีย มีประเพณีทำสัญลักษณ์ไว้บนร่างกายของญาติที่เสียชีวิตไป โดยมักจะใช้เขม่าวาดเป็นสัญลักษณ์ไว้ โดยหวังว่าสัญลักษณ์ดังกล่าวจะนำวิญญาณของผู้ตายให้กลับมาเกิดใหม่ในครอบครัวอีกครั้ง ว่ากันว่าสัญลักษณ์ดังกล่าวได้กลายมาเป็นปาน เป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าวิญญาณนั้นได้กลับมาเกิดใหม่แล้ว
 
ในปี 2555 จิม ทัคเกอร์ จิตแพทย์จากมหาวิทยาลัยแพทย์ของรัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐเมริกา และ เจอร์เกน เกล นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแทสเมเนีย ได้ตีพิมพ์รายงานลงวารสารทางการแพทย์ ระบุถึงการศึกษาครอบครัวหนึ่งที่มีเด็กเกิดมาพร้อมกับปาน และมีความเชื่อมโยงกับญาติผู้ใหญ่ที่ล่วงลับ
 
เด็กคนดังกล่าวคือ K.H.(ชื่อย่อ) จากประเทศพม่า มีปานอยู่ที่แขนซ้าย จุดเดียวกับที่ตาของเขาถูกนำเขม่ามาป้ายไว้ตอนเสียชีวิต ตาของ K.H. เสียชีวิตได้เพียง 11 เดือนก่อนเขาเกิด จากนั้นเมื่อ K.H. มีอายุ 2 ขวบ เขาก็เรียกยายของเขาด้วยชื่อที่มีเพียงตาใช้เรียก ต่างจากคนอื่นๆ ในครอบครัว นอกจากนี้แม่ของ K.H. ก็เคยฝันด้วยว่าพ่อของเธอมาเข้าฝันแล้วบอกว่าอยากจะมาอยู่ด้วย ดังนั้นเธอจึงคิดว่า K.H. คือพ่อที่กลับชาติมาเกิดจริงๆ
 

 

ในปี 2536 เอียน สตีเวนสัน ได้เคยตีพิมพ์รายงานฉบับหนึ่งในวารสารทางการแพทย์ ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับปานและข้อบกพร่องโดยกำเนิด ซึ่งดูเหมือนจะมีความเชื่อมโยงกับความทรงจำในชาติก่อน จากการวิจัยพบว่าความบกพร่องต่าง ๆ มักจะเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ดังเช่นกรณีของเด็กชายในตุรกีที่จดจำชีวิตของชายคนหนึ่งซึ่งถูกยิงตายได้
 
บันทึกจากโรงพยาบาลชี้ว่า ชายคนดังกล่าวเสียชีวิตหลังถูกยิงที่กะโหลกศีรษะด้านขวาได้ 6 วัน ขณะที่เด็กชายคนนี้ก็เกิดมาพร้อมกับอาการใบหูเล็กแต่กำเนิด 1 ข้าง หูผิดรูป และใบหน้าด้านหนึ่งด้านใดเล็กกว่าปกติ ซึ่งอาการใบหูเล็กแต่กำเนิดจะเกิดกับทารกเพียง 1 ใน 6,000 คนเท่านั้น ขณะที่อาการใบหน้าเล็กข้างหนึ่งจะเกิดขึ้นกับทารก 1 ใน 3,500 คน
 

ดร.ไบรอัน เวสส์ อ้างว่าเขาเคยพบกับคนไข้ที่สามารถระลึกชาติได้ระหว่างการสะกดจิตระลึกชาติ ในหนังสือ “Messages from the Masters: Tapping into the Power of Love” ดร.ไบรอัน ได้เล่าเรื่องของคนไข้ชื่อ ไดแอน หัวหน้านางพยาบาลที่บอกเล่าถึงประสบการณ์ของนักบุกเบิกในอเมริกาเหนือ ช่วงต้นยุคความขัดแย้งระหว่างชนพื้นเมืองอเมริกัน เธอยังพูดถึงเรื่องราวขณะที่ตัวเองพาลูกไปซ่อนตัวในช่องลับเพื่อหนีจากนักล่า ระหว่างที่สามีออกไปข้างนอกบ้าน
 
ไดแอนบรรยายว่า “ลูกชายที่อยู่ในวัยทารกของเธอมีปานรูปจันทร์เสี้ยวที่ไหล่ขวา” อย่างไรก็ตามในขณะที่ซ่อนตัวอยู่เด็กน้อยเกิดร้องไห้ออกมา ด้วยความกลัวเธอจึงพยายามทำให้ลูกเงียบด้วยการปิดปากเขา ส่งผลให้ทารกน้อยขาดอากาศหายใจตาย
 
ไม่กี่เดือนหลังจากที่ไดแอนเปิดเผยเรื่องราวดังกล่าว เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเธอถูกดึงดูดเข้าหาผู้ป่วยโรคหอบหืดรายหนึ่ง ที่เขาเองก็รู้สึกคุ้นเคยกับเธอเช่นกัน และต่อมาไดแอนก็ต้องตกใจเมื่อได้สังเกตเห็นปานรูปจันทร์เสี้ยวอยู่บนไหล่ขวาของชายคนนี้ เวลาไปผ่านไปกระทั่งท้ายที่สุดเธอก็ได้แต่งงานกับเขา

 

 

 

 

 

ทารันจิต ซิงห์ อายุ 6 ขวบ เขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านอัลลูนา เมียนา ที่ประเทศอินเดีย อย่างไรก็ตามเด็กชายพยายามอ้างมาตั้งแต่อายุ 2 ขวบว่าชื่อจริงของเขาคือ ซัทนัม ซิงห์ มาจากหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปกว่า 60 กิโลเมตร เขาจำได้ว่าตัวเองเป็นนักเรียนชั้น ม.3 มีพ่อชื่อ จีต ซิงห์ เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2535 เขาถูกรถชนขณะขี่จักรยานจนเสียชีวิต เด็กชายยังอ้างว่าหนังสือที่เขาถืออยู่ในวันนั้นชุ่มไปด้วยเลือด และมีเงิน 30 รูปีอยู่ในกระเป๋าตอนเกิดเหตุ
 
เมื่อ รันจิต ซิงห์ พ่อของทารันจิตได้ฟังเรื่องที่ลูกชายเล่าจึงคิดจะตรวจสอบเรื่องดังกล่าว โดยพบว่าครูในเมืองข้างเคียงบอกว่าในอดีตเคยมีเด็กนักเรียนชื่อ ซัทนัม ซิงห์ เสียชีวิตในอุบัติเหตุจริง ๆ และเมื่อรันจิตเดินทางไปยังครอบครัวของซัทนัมก็ได้รับการยืนยันถึงรายละเอียดของหนังสือและเงินตามที่ลูกชายเอ่ยอ้าง และเมื่อเขาพาลูกชายมาพบกับครอบครัวของซัทนัม ก็พบว่าทารันจิตสามารถระบุตัวบุคคลที่อยู่ในรูปครอบครัวนี้ได้อย่างถูกต้อง
 
นอกจากนี้เมื่อนักวิทยาศาสตร์ที่ได้ทราบเรื่องลองนำตัวอย่างลายมือจากสมุดบันทึกของซัทนัมมาเปรียบเทียบกับลายมือของเด็กชายในปัจจุบัน ก็พบว่าแม้เด็กชายจะยังไม่คุ้นเคยกับการเขียน แต่เขาก็มีลายมือที่ใกล้เคียงกับซัทนัมมาก

 

 

 

 

 

เอียน สตีเวนสัน ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา ได้มีการศึกษากรณีอัจฉริยภาพทางภาษาในหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงกรณีของผู้ที่สามารถพูดภาษาที่ต่างไปจากภาษาในถิ่นฐานของพวกเขาด้วย โดยเอียนได้ศึกษาถึงกรณีของหญิงอเมริกันวัย 37 ปี ที่เขาเรียกเธอว่า TE
 
TE เกิดและเติบโตในเมืองฟิลาเดลเฟีย สหรัฐฯ เป็นลูกสาวในครอบครัวอพยพที่พูดภาษาอังกฤษ โปแลนด์ ยิดดิช และรัสเซีย เธอเคยเรียนภาษาฝรั่งเศสจากที่โรงเรียน อย่างไรก็ตามเธอเป็นเพียงคนเดียวในครอบครัวที่สามารถพูดภาษาสวีเดนได้ทั้งที่ไม่เคยเรียนรู้มาก่อน
 
อย่างไรก็ตาม ภายใต้การสะกดจิตที่ต่างกัน 8 ครั้ง พบว่าจิตของเธอได้กลายมาเป็นชายชาวสวีเดนชื่อ เจนสัน จาโคบาย และขณะที่อยู่ในฐานะของเจนสัน TE ก็สามารถพูดโต้ตอบกับชาวสวีเดนเป็นภาษาสวีเดนได้อย่างคล่องแคล่ว แม้เป็นคำที่ไม่เคยพูดมาก่อนก็ตาม

 

 

 

 

    

 

 

หนังสือ “Your Past Lives And The Healing Process” ของจิตแพทย์ชื่อ เอเดรียน ฟินเกลสเตน ได้บอกเล่าเรื่องราวของ โรบิน ฮูลล์ เด็กชายที่มักจะพูดภาษาที่แม่ของเขาฟังไม่รู้เรื่อง ด้วยเหตุนี้แม่ของเขาจึงได้ติดต่อกับผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาเอเชียให้เข้ามาตรวจสอบ ก่อนจะพบว่าภาษาที่เด็กชายพูดเป็นภาษาถิ่นทางตอนเหนือของทิเบต
 
เมื่อหลายปีที่ผ่านมาโรบินเคยบอกว่าเขาอยากจะไปเรียนในอาราม อันเป็นสถานที่ที่สอนภาษาดังกล่าวให้เขา ทั้งที่ในความจริงแล้วเด็กชายไม่ได้อยู่ในวัยเรียน และไม่เคยแม้แต่จะก้าวเท้าเข้าห้องเรียนด้วยซ้ำ จากการตรวจสอบเพิ่มเติม ผู้เชี่ยวชาญคนดังกล่าวยังได้เดินทางไปยังเทือกเขาคุนหลุน เพื่อค้นหาอารามตามที่โรบินเอ่ยอ้าง ซึ่งก็พบว่ามีสถานที่แห่งนั้นอยู่จริงตามคำพูดของเด็กชาย

  

 

 

 

  

เอียน สตีเวนสัน ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชจากมหาวิทยาลัยของรัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ผู้ศึกษาเรื่องการระลึกชาติ ได้เข้ามาศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กสาวชาวพม่า ชื่อ มาวินทาร์ เธอเกิดเมื่อปี 2505 ในตอนที่เธอมีอายุ 3 ขวบเธออ้างว่าเคยมีชีวิตอยู่ในฐานะทหารญี่ปุ่น ผู้ถูกชาวพม่าจับมัดและเผาทั้งเป็น ซึ่งเอียนก็พบว่าในอดีตได้เคยมีเหตุการณ์ที่ชาวพม่าจับผู้ที่พลัดหลงจากกองทัพญี่ปุ่นมามัดและเผาทั้งเป็นเช่นกัน
 
นอกจากนี้ มาวินทาร์ยังเผยให้เห็นบุคลิกที่ไม่เข้ากับวิถีชีวิตชาวพม่า เช่นชอบตัดผมสั้นและอยากแต่งตัวแบบเด็กผู้ชาย เธอไม่ทานเผ็ด แต่ชอบทานอาหารรสหวานและเนื้อหมู เธอยังมีพฤติกรรมชอบตบหน้าเพื่อนที่เล่นด้วยกัน คล้ายคลึงกับทหารญี่ปุ่นที่ชอบตบหน้าชาวพม่า ยิ่งไปกว่านั้น มาวินทาร์ยังต่อต้านศาสนาพุทธและบอกว่าตัวเองเป็นชาวต่างชาติด้วย
 
ทั้งนี้มาวินทาร์เกิดมาพร้อมความบกพร่องอย่างรุนแรงที่ข้อมือทั้ง 2 ข้าง นิ้วของเธอก็มีพังผืดและมีปัญหาหลายอย่าง ขณะที่ข้อมือของเธอก็ยังมีร่องรอยเหมือนเคยถูกเชือกมัดและเผาไหม้ เหมือนชาวญี่ปุ่นที่ถูกเผาทั้งเป็นด้วย

  

 

 

 

 

ในปี 2552 เควิน คริสเตนสัน เสียชีวิตด้วยวัย 2 ขวบ หลังขาที่หักตอนอายุ 18 เดือนทำให้เขาเริ่มมีการแพร่กระจายของเชื้อมะเร็ง เควินต้องรับเคมีบำบัดผ่านท่อที่คอ และยังต้องต่อสู้กับโรคร้ายหลายอย่าง รวมถึงเนื้องอกที่ตาซ้าย และปุ่มเนื้อที่หูด้านขวา
 
เวลาผ่านไป 12 ปี แม่ของเควินได้แต่งงานใหม่และมีลูกชายอีกคนชื่อ แพทริก ซึ่งมีความคล้ายกับพี่ชายของเขาอย่างมาก แพทริกเกิดมาพร้อมปานที่ดูเหมือนรอยแผลเล็ก ๆ ที่คอ จุดเดียวกับท่อที่เควินเคยรับเคมีบำบัด นอกจากนี้แพทริกก็ยังมีก้อนบนศีรษะในตำแหน่งเดียวกับที่เควินมี และดูเหมือนว่าทั้งคู่จะมีปัญหาที่ตาซ้ายเช่นกัน
 
เมื่อแพทริกเริ่มเดินได้ เขาก็เดินกะโผลกกะเผลกทั้งที่ไม่มีปัญหาสุขภาพใด ๆ เด็กน้อยอ้างว่ามีความทรงจำเหมือนเคยผ่านการผ่าตัดมาก่อน และเมื่อถูกถามว่าผ่าที่ใด แพทริกก็ชี้ไปยังหูด้านขวา ตำแหน่งเดียวกับที่เควินมีปัญหา จากนั้นเมื่อเควินอายุ 4 ขวบ เขาก็เริ่มถามหาบ้านหลังเก่าทั้งที่ไม่เคยอาศัยอยู่ที่อื่นมาก่อน

  

 

 

 

  

ในปี 2535 จอห์น แมคคอนเนล ถูกยิง 6 นัดจนถึงแก่ความตาย โดยทิ้งทายาทไว้คือลูกสาวชื่อ ดอรีน จากนั้นในปี 2540 ดอรีนก็ให้กำเนิดลูกชายชื่อ วิลเลียม อย่างไรก็ตามเธอพบว่าลูกชายมีอาการลิ้นหัวใจพัลโมนารีตีบ และหัวใจห้องล่างขวาพิการ แต่ในที่สุดอาการของวิลเลียมก็ดีขึ้นหลังจากการผ่าตัดหลายครั้ง น่าแปลกที่อาการของวิลเลียมเกิดขึ้นในตำแหน่งที่จอห์นถูกยิงไม่มีผิด
 
ในวันหนึ่งขณะที่ดอรีนจะลงโทษวิลเลียม เขาก็บอกกับเธอว่า “ตอนที่ลูกยังเป็นเด็กและพ่อเป็นพ่อของลูก ลูกก็ทำนิสัยแย่ ๆ หลายครั้ง แต่พ่อไม่เคยตีลูกเลยนะ” แถมหลังจากนั้นวิลเลียมยังเคยถามดอรีนถึงแมวที่เธอเคยเลี้ยงตอนเป็นเด็กด้วย โดยวิลเลียมเรียกชื่อแมวตัวนั้นว่า บอส อันเป็นชื่อที่มีเพียงจอห์นเท่านั้นที่จะเรียกมัน อีกทั้งวิลเลียมยังสามารถระบุวันเกิดและวันตายของจอห์นได้อย่างถูกต้องด้วย

 

 

 

 

 

นับเป็นเรื่องชวนขนลุกสำหรับ ดร.ไบรอัน เวสส์ ผู้เปิดเผยเรื่องราวของการระลึกชาติของคนไข้ชื่อ แคทเธอรีน ลงในหนังสือ “Many Lives, Many Masters” ของเขา โดย ดร.ไบรอัน เผยว่าระหว่างขั้นตอนการสะกดจิตระลึกชาติ แคทเธอรีนทำให้เขาต้องช็อกเมื่อเธอเอ่ยถึงพ่อและลูกชายของเขาว่า “พ่อของคุณอยู่ที่นี่แล้วพร้อมกับลูกชายของคุณ เด็กเล็ก ๆ คนนั้น พ่อบอกว่าคุณจะรู้จักเขา เพราะเขามีชื่อว่า เอฟรอม ลูกสาวของคุณได้รับชื่อมาจากปู่ พ่อของคุณเสียชีวิตเพราะโรคหัวใจ ลูกชายของคุณก็มีปํญหาที่หัวใจเช่นกัน”
 
และนั่นทำให้ ดร.ไบรอัน ถึงกับช็อกที่แคทเธอรีนรู้เรื่องราวในชีวิตส่วนตัวของเขา เธอกำลังพูดถึง อดัม ลูกชายของเขาที่จากโลกไปในวัย 23 ปี เนื่องจากความผิดปกติที่หัวใจ นอกจากนี้ เอลวิน พ่อของเขาก็มีชื่อเป็นภาษาฮีบรูว่า เอฟรอม ด้วย ขณะที่ เอมี่ ลูกสาวของเขาก็ได้รับชื่อมาจากปู่จริง ๆ

 

 

Credit: http://hilight.kapook.com/view/117395
18 มี.ค. 58 เวลา 00:33 6,457 30
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...