ตำนานสตาร์วอร์ส : ตำนานที่ไม่มีวันตาย

เชื่อว่าทุกท่านต้องเคยได้ยินชื่อ “สตาร์วอร์ส (STAR WARS)” มาแล้วอย่างแน่ นอนนะครับ นับตั้งแต่หนังใหญ่ เรื่องนี้เข้าฉายครั้งแรกในปี ค.ศ.1977 (พ.ศ. 2520) ก็สามารถเอาชนะใจท่านผู้ชมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ให้ตื่นตาตื่นใจกับ ภาพสถานีอวกาศขนาดมหึมา หุ่นยนต์โรบ็อทที่หน้าตา บ้องแบ๊วน่ารัก ดาบเลเซอร์เรืองแสง ตลอดจนยานโฮเวอร์คราฟห์ที่แล่น ลอยฉวัดเฉวียนรวดเร็วน่าเสียวไส้ สนุกจนต้องมีภาค 2 และ 3 ตามออกมา แถมด้วยภาคพิเศษ เอพพิโซด อีกต่างหาก 30 ปีผ่านไป บัดนี้ผู้สร้างก็ ได้ผลิตตอนใหม่ในชื่อ “EPISODE III : REVENGE OF THE SITH” ซึ่งกำลังฉายอยู่ในขณะนี้ จึงขอนำเอาตำนานของสตาร์วอร์สมาเล่าสู่กันฟังครับ

ในปี 1971 จอร์จ ลูคาส (George lucas) ได้เริ่มเข้าสู่วงการภาพยนตร์ ด้วยการนำเอาหนัง ที่ชนะการประกวดของนักศึกษามาดัดแปลงสร้างเป็น “THX 1138” ออกฉายในปี 1971 จากนั้นเรื่องที่สองก็ตามมาในปี 1973 คือ “American Graffiti” อันเป็นภาพยนตร์แนว ร็อกแอนด์โรลล์ แล้วก็ได้รับความสำเร็จอย่างสูงในครั้งกระนั้น

แต่เป็นเรื่องที่สามคือ “สตาร์วอร์ส” ที่พลิกผันชีวิตของลูคาสโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้ ลูคาสมีความใฝ่ฝันที่จะสร้างหนังแฟนตาซีเลียนแบบพระเอกผู้เก่งกาจในการ์ตูนแฟลช กอร์ดอน (Flash Gordon) มาช้านานแล้ว

“ผมเริ่มเขียนบทหนังสตาร์วอร์สตั้งแต่ เดือนมกราคม 1973 เขียนวันละแปดชั่วโมงอาทิตย์ ละห้าวัน” ลูคาสเล่า “จนกระทั่งเดือนมีนาคม 1976 เราจึงเริ่มลงมือถ่ายทำ แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังวุ่นวายอยู่กับ การแก้ไขบทอีกในเวลากลางคืน สิริรวมแล้วผมเขียนสตาร์วอร์สไว้ถึง 4 แบบด้วยกัน!”

ครับ จะเห็นได้ว่าความสำเร็จนั้น มิใช่ได้มาโดยง่าย ลูคาสต้องทุ่มเทเพียร พยายามอย่างหนัก ในการค้นหาสิ่ง ที่ดีที่สุดมาเสนอต่อผู้ชมภาพยนตร์ของเขา แล้วก็สมหวัง

เรามาดูเนื้อเรื่องย่อๆ กับดารานักแสดงกัน สักหน่อยก่อนดีไหมครับ เผื่อว่ามีบางท่าน ที่ไม่เคยผ่านสายตาให้กับสตาร์วอร์ส

เรื่องมีอยู่ว่า ลุค สกายวอล์คเกอร์ (แสดงโดย มาร์ค ฮามิลล์) ได้จากฟาร์มของลุง ซึ่งอยู่บน ดาวเคราะห์เล็กๆ และแห้งแล้ง เพื่อเดินทางไปช่วยเจ้าหญิงแสนสวย ลีอา (แคร์รี่ ฟิชเชอร์) จากเงื้อมมือของ แกรนด์ มอฟฟ์ ทาร์กิน ซึ่งมีลูกน้องคนสำคัญ คือ ดาร์ธ เวเดอร์ (เดวิด โพรวส์) ฐานที่มั่นของทาร์กินเป็น ดาวดับที่มีขนาดแค่ดวงจันทร์ หากทว่ามีศักยภาพพอเพียง ที่จะทำลาย ดาวเคราะห์ทั้งมวลได้ ลุคสามารถปฏิบัติการช่วยเหลือได้สำเร็จ ทั้งนี้ เพราะได้รับความสนับสนุนจาก โอบิวัน เคโนบี ซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งในขบวนการลึกลับ อัศวิน เจได ผนวกกับแรงหนุนจาก นักบินอวกาศผู้มีน้ำใจ ฮัน โซโล (แฮริสัน ฟอร์ด) และกับอีกสองแรงแข็งขันคือ เจ้าโรบ็อท C-3PO กับ R2-D2 นั่นเอง

“พูดได้เลยว่าหนังเรื่องนี้ถือความสนุกเป็นเกณฑ์” ลูคาสกล่าว “ผมต้องการให้คนดูลืมนึกถึงหลัก ความจริงทางวิทยาศาสตร์ ต่างจาก แสตนลีย์ คูบริค ผู้สร้าง “2001 : A SPACE ODYSSEY” ซึ่งเป็นหนังไซไฟชั้นเยี่ยม แต่หนังของผมจะออกแนวแฟนตาซี อย่าง ทาร์ซาน ของ เอ็ดการ์ ไรซ์ เบอร์โร”

ลูคาสกล่าวยอมรับว่า เขาได้นำคาแรกเตอร์หรือ ลักษณะบทบาทของพระเอก จากหนังหลายเรื่องมา ประกอบกัน เช่น บท ฮัน โซโล ของแฮริสัน ฟอร์ด ก็หยิบยืมมาจากคาวบอยตะวันตกที่สวมเสื้อโค้ตดำ และคาดปืนในหนัง “THE SEARCHERS” ที่สร้างในปี 1956 ฉากการสังหารครอบครัว ลุค สกายวอล์คเกอร์ ก็ขโมยมาจากหนังเรื่องนี้เช่นกัน หรือสองโรบ็อทที่สร้างความขบขันให้แก่ผู้ดู คือ เจ้า C-3Po (ซีทรีพีโอ) กับ R2-D2 (อาร์ทูดีทู) ก็เอาแบบอย่างมาจากตลกอ้วนผอม ลอเรล กับ ฮาร์ดีย์ นั่นเอง

สตาร์วอร์สภาคหนึ่งได้รับทั้งเสียงวิจารณ์ชมเชยและรายได้มหาศาล โดยในยุคเซเวนตี้ส์นั้น รายได้จากการขายตั๋ว หนัง (BOX-OFFICE) นำเป็นอันดับ 1 ทำเงินถึง 193,500,000 ดอลลาร์ (ปี 1977) ทิ้งอันดับที่ 2 หายห่วง ซึ่งอันดับที่ 2 ก็มิใช่ใดอื่น หากแต่เป็นภาคสองของสตาร์วอร์สนั่นเอง ในชื่อ “THE EMPIRE STRIKES BACK” ซึ่งทำรายได้ 141,600,000 ดอลลาร์ (ปี 1980)

ความสำเร็จของทั้ง 2 ภาคนี้ นำมาสู่การสร้างภาคที่ 3 ในปี 1983 “RETURN OF THE JEDI”

แต่ก่อนที่จะสร้างภาค 3 นั้น ลูคาสก็ได้ทำหนังสนุกแนวผจญภัยที่มีตัวเอกชื่อ อินเดียน่า โจนส์ (INDIANA JONES) ออกมาฉายเป็นซีรี่ส์ตอนแรกที่สร้างในปี 1981 นั้น คือเรื่อง “RAIDERS OF THE LOST ARK” ตามมาด้วยตอนสอง “INDIANA JONES AND THE TEMPLE OF DOOM” (1984) และ “INDIANA JONES AND THE LAST CRUSADE” (1989) หนังซีรี่ส์สามตอน (TRILOGY) ของเขานี้ได้รับ อะคาเดมี อวอร์ด ถึง 8 รางวัล

ในฐานะของประธานบริษัท ลูคาสฟิล์ม เขาได้ขยายเครือข่ายออก ไปอีกหลายสาขา และที่เด่นดังที่สุดน่าจะได้แก่ บริษัท อินดัสเตรียล ไลท์ แอนด์ แมจิก รับทำสเปเชียลเอฟเฟกต์ ให้กับภาพยนตร์ทั่วไป หนังแต่ละเรื่องที่ใช้เอฟเฟกต์ของ บริษัทนี้ก็ล้วนทำรายได้งดงามทั้งนั้น อาทิ “TERMINATOR 2” (คนเหล็ก 2) “THE ABYSS”, “JURASSIC PARK” นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยด้าน คอมพิวเตอร์กราฟฟิกของลูคาสฟิล์ม ก็ได้พัฒนาจนแยกตัวออกไปเป็นบริษัท พิกซาร์ แอนิเมชั่น สตูดิโอส์ ซึ่งโด่งดังในอุตสาหกรรมภาพยนตร์เช่นกัน

ใช่แต่เพียงตัวเขาเองและบริษัทเท่านั้นนะครับ จินตนาการสร้างสรรค์ของจอร์จ ลูคาส ก็ยังมีอิทธิพลต่อการออกแบบและประดิษฐกรรมต่างๆ ในโลกความจริงอย่างมากหมายหลายแขนง ดังเช่น

- การสร้างหุ่นยนต์ที่สามารถทำตัว ให้เป็นเพื่อนของมนุษย์ได้อย่าง C-3PO และ R2-D2 นั่นก็คือ โรบ็อทสุนัข ไอโบ (AIBO DOG) ของโซนี่ย์ หรือโรบ็อทของบริษัทบานิรู ที่เคลื่อนไหวได้ตามคำสั่งของมนุษย์

- การประดิษฐ์หุ่นยนต์ โซ (ZOE) ซึ่งเป็นโรบ็อทที่ใช้ค้นหาและ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากอาคารถล่ม สามารถมองเห็นได้ในความมืด และรับสัมผัสจากความร้อนได้

- แต่เดิมนั้น การสร้างจรวดหรือส่งยาน อวกาศต้องใช้เงินทุนมหาศาล ซึ่งรัฐเท่านั้นที่จะทำได้ แต่แรงดลใจจากสตาร์วอร์ส ทำให้บริษัทเอกชนหลายแห่ง คิดอ่านค้นคว้าสร้างและส่งยานอวกาศเองบ้าง เช่น บริษัท สเปเซกส์ ที่สร้างจรวด “THE FALCON” และเตรียมส่งสู่อวกาศเร็วๆนี้

- ยานโซล่าร์ จีโอโนซิส ของ เคานต์ ดูกุ ในเอพพิโซด 2 นั้น ใช้พลังงานจากแสง อาทิตย์เฉกเช่นเดียวกับเครื่องบินสมรรถภาพสูง เฮลอส ของนาซ่า ที่สามารถร่อนอยู่ได้นานถึง 6 เดือน โดยใช้แสงแดดเป็นพลังงานแต่เพียงอย่างเดียว

Credit: นสพ.ไทยรัฐ และhttp://www.artsmen.net
#star #wars
yuyupanther
Associate Producer
สมาชิก VIPสมาชิก VIPสมาชิก VIP
15 พ.ค. 53 เวลา 17:48 3,862 10 1,198
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...