“รู้อย่างงี้ไม่ทำดีกว่า” อีกหนึ่งประโยคที่เชื่อว่าหลายคนคงเคยเอ่ยขึ้น เมื่อทำอะไรไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่สำหรับ “10 เรื่องรู้งี้ก่อนเรียนจบ” ทางทีมงานได้นำมาฝากกันให้น้องๆ นิสิตนักศึกษาลองอ่านเป็นแนวทางก่อนสำเร็จการศึกษา จากบทความของนักธุรกิจยุคใหม่ “ภาววิทย์ กลิ่นประทุม” ที่มีมุมมองแตกต่างเฉพาะตัว พร้อมกับบอกเล่าแง่คิดดีๆ ไว้เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับวัยเรียนก่อนเผชิญหน้าสู่ชีวิตจริง!!
"ใบปริญญามีวันหมดอายุ"
หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจบแล้วก็เอาใส่กรอบรูป ตั้งโชว์สวยๆ โดยหารู้ไม่ว่า "มันหมดอายุไปแล้ว" ลองสังเกตให้ดีว่า ความรู้ที่เราเรียนมามันทันสมัยไม่นาน ดังนั้นเมื่อจบแล้วต้องรีบหางานทำ เพราะถ้าทิ้งไว้ เราตามโลกไม่ทัน ยิ่งปัจจุบันอินเตอร์เน็ตทำให้การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจทั่วโลก เต็มไปด้วยโอกาส แต่โอกาสในที่นี้ คือ วิกฤตของคนส่วนใหญ่ ซึ่งนี่จะเป็นข้อต่อๆไปที่ เราต้องร้องว่า "รู้งี้" ดังนั้นถ้าไม่อยากให้ใบปริญญาหมดอายุ ต้องรู้จัก หมั่นเติมความรู้ หาหนังสือมาอ่าน หัดพัฒนาตัวเองโดยการเข้าสัมมนา ฟังคนอื่น หาความรู้ใหม่ๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับใบปริญญาก็ได้ แค่นี้ใบปริญญาของเราก็จะไม่หมดอายุแล้ว
"ใบปริญญาเป็นแค่บัตรผ่านประตูในชีวิตจริงเท่านั้น"
ในชีวิตจริง เขาวัดคนที่ผลงาน รายได้ที่เราทำให้บริษัท รายจ่ายที่เราลดให้บริษัทด้วยความรู้หรือ เทคโนโลยี เช่น การเอาอินเตอร์เน็ตมาช่วยลดการทำงาน ช่วยการบริการ และ ช่วยการติดต่อลูกค้า เพิ่มโอกาสการขาย ดังนั้น ใบปริญญามีประโยชน์แค่ตอนสมัครงาน แต่หลังจากที่เราได้งานแล้ว เขาไม่สนแล้วว่าเราจบอะไรมา สิ่งที่เขาสนใจคือ “ฝีมือ” ของเรามากกว่า และถ้าตำแหน่งยิ่งสูง เขายิ่งไม่ถามว่า “จบอะไรมา” เพราะ นั่นมันคำถามไว้รับสมัครงานทั่วไป งานระดับสูง เงินเดือนล้าน เขาถามว่า "คุณทำอะไรสำเร็จมาบ้าง แล้วคุณจะสร้างโอกาส สร้างเงินให้กับบริษัทเราอย่างไร"
"คนรวยทุกคนเป็นคนเก่ง แต่คนเก่งทุกคนไม่ได้รวย"
จงเลือกว่า คุณอยากเป็น "คนเก่งที่รวย" หรือ "คนเก่งที่จน" ให้รู้ไว้ว่า คนเก่งที่จน มันเกิดจากคนนั้นคิดว่าตัวเองเก่ง จึงไม่เคยฟังใคร ไม่เคยเรียนรู้จากใคร คนเหล่านี้ทำงานกับใครไม่ได้ เพราะ ถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่ คิดว่าตัวเองเก่ง ไม่เคยฟังคำท้วงติงจากใคร เวลาคนเหล่านี้ทำงานผิดพลาด เขาจะพยายามโยนความผิดให้คนอื่น ด้วยสมองอันแกมโกงของเขา
สำหรับ "คนเก่งที่รวย" คนเหล่านี้ รักการอ่าน ชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ชอบแก้ปัญหา ชอบงานที่คนอื่นไม่กล้าทำ เพราะ ทุกครั้งที่เราทำงานที่ยากและคนอื่นไม่กล้าทำ เราจะเห็นโอกาสที่ไม่มีใครเคยเห็น เวลาคนเหล่านี้ทำงานพลาด เขาจะโทษตัวเอง แล้วเรียนรู้จากความผิดพลาด เพื่อให้ตัวเขาฉลาดขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น ยิ่งล้ม ยิ่งเก่ง คนเหล่านี้ ไม่เคยกลัวความล้มเหลว อะไรง่ายๆ ไปให้คนอื่นทำ แต่ถ้ายากๆ เขาจะทำเอง เพราะเขาคือคนเก่งที่จะรวย
"จ่ายเงินให้ตัวเอง ก่อนจ่ายเงินให้คนอื่น"
คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ว่า ทั้งชีวิตเราจ่ายเงินให้รัฐบาลเป็นค่าภาษีก่อนที่เราจะได้เงินเดือน พนักงานบริษัท ธรรมดา ถ้าเอาภาษีทั้งชีวิตมารวม มันเกินล้าน แปลว่า คนเหล่านี้จ่ายเงินให้รัฐบาลเป็นล้านบาท แต่ทั้งชีวิตไม่เคยจับเงินล้าน เพราะ รายได้เท่าไหร่ รายจ่ายมากกว่าเสมอ ทางแก้คือ "จ่ายเงินให้ตัวเองก่อน" คือ ดึงออกเริ่มจาก 10% ของเงินเดือน เพื่อเก็บไว้ลงทุน ก่อนใช้จ่ายเสมอ (แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นเป็น 20% 30% 40% ตามเงินเดือนที่สูงขึ้น)
เหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะ การใช้จ่าย มันคือ การจ่ายเงินให้คนอื่น ลองดูสิ่งที่เราซื้อมาซิ มันดีใจตอนซื้อ สุดท้ายของเหล่านั้นก็กลายเป็นขยะ ของเป็นขยะ บ้านเราก็คือ "ถังขยะ" ใบใหญ่ ดังนั้นเราควรเริ่มจ่ายเงินให้ตัวเอง แบ่งมาเริ่มลงทุน เพราะ "การลงทุน" จะสร้างเครื่องผลิตเงินที่เลี้ยงเราจนตาย ไม่ใช่ขยะที่คุณซื้อมา!!
"จงเลือกก่อนเลยว่า จะเป็น คนเงินเดือนสูง หรือ คนเงินเดือนน้อย"
ถ้าอยากเป็นคนเงินเดือนน้อย ก็เริ่มหางานง่ายๆ งานที่ใครๆ ก็ทำได้ งานสบาย แล้วจงหาหัวหน้ามาสั่งงานเรา แต่ถ้าอยากได้เงินเดือนเยอะ ต้องหางานยากๆ งานที่ไม่มีใครอยากทำ แล้วเป็นงานที่มีหัวหน้า แต่หัวหน้าต้องถามเราว่า ต้องทำอะไร ทำอย่างไร เพราะ งานนั้นอาจไม่มีมาก่อนในองค์กร เป็นสิ่งใหม่ที่เขาต้องความเห็นจากเรา หรือ เป็นสิ่งยากที่อยากได้คนรับผิดชอบ
"งานที่มี Career Path เป็นงานห่วย"
วันนี้ใครๆ ก็รู้ว่า ผู้บริหารองค์กรปัจจุบัน อายุไม่ได้มาก เขายังต้องอยู่ตรงนั้นอีกนาน "รักษาเก้าอี้" ดังนั้น งานที่เปิดให้คนรุ่นใหม่คือ งานกระจอก งานแรงงาน ที่สุดท้ายใช้เครื่องจักรทำดีกว่า เขาหลอกโดยเอาคำว่า Career Path หรือ ตำแหน่งให้เราไต่ขึ้นไป แต่หารู้ไม่ว่า ข้างบนเป็นทางตัน เพราะ ผู้บริหารระดับสูง เดี๋ยวนี้ซื้อตัวคนมีประสบการณ์ง่ายกว่า ดังนั้น งานที่ดีในองค์กร คือ งานที่ไม่มี Career Path เพราะ แสดงว่า หน่วยงานนี้ เป็นสิ่งใหม่ ไม่เคยมีมาก่อน นี่แหละ ได้ทั้งความรู้ และ โอกาสที่แท้จริง
"อย่าทำงานเพื่อเงินเดือน ให้ทำงานเพื่อความรู้"
ถ้าตั้งเป้าเป็นเงินจะได้เงินเดือนน้อย และไม่มีอนาคต แต่ถ้าตั้งเป้าเป็นความรู้ เราจะเห็นโอกาสใหม่ๆ เพราะ เราเปิดใจที่จะเรียนรู้ แล้วคุณจะรู้ว่า แท้จริงแล้ว โอกาสหรือ Innovation มันล้วนเกิดในองค์กร เพียงแต่ผู้บริหารเขาไม่ใส่ใจ ถึงได้มี Steve Jobs ให้เราเห็น ต้องเข้าถ้ำเสือ ต้องเป็นลูกน้อง เพื่อเข้าไปเรียนรู้และหาโอกาสในองค์กร
"ให้ฝึกเป็นผู้นำ อย่าฝึกเป็นผู้ตาม"
ในโลกมีคนสองประเภทเท่านั้น คือ หนึ่ง ผู้นำ สอง ผู้ตาม ผู้นำรวยกว่าไม่ต้องฉลาดก็ได้ แต่ต้องรู้วิธีการนำ ผู้ตามส่วนใหญ่เป็นคนเก่ง เพียงแต่ไม่รู้วิธีการนำ จึงฝึกแต่เป็นผู้ตาม รอแต่คำสั่ง รอแต่หัวหน้า การฝึกเป็นผู้นำ คือ ฝึกนำอะไรที่เราคิดว่าดี เราทำ แล้วถ้ามันดี เดี๋ยวคนอื่นตามเอง จุดเล็กๆ นี้ก็คือ วิถีผู้นำ ต้องฝึก ต้องนำ อย่าเอาแต่ทำตาม
"ลงทุนให้เป็น" เริ่มจาก "วางเงินให้ทำงานให้เป็น"
ให้ศึกษาเรื่องออมในหุ้น ออมใน Asset สร้างเครื่องผลิตเงิน สร้างให้มันโตเรื่อยๆ แล้ววันนึงเราจะมีอิสรภาพทางการเงินจากสิ่งนี้ คนที่ลงทุนเป็น เขามีอิสรภาพทางการเงินก่อนเกษียณเสมอ ไม่ใช่เกษียณแล้วจะสบาย มันต้องสบายก่อนเกษียณต่างหาก
"อย่าหยุดฝัน"
ความฝันทำให้เรามีเป้าหมาย คนมีเป้าหมายคือ คนที่มีอนาคต สังเกตง่ายๆ ว่าเมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มหยุดคุยเรื่องความฝัน แล้วนั่งคุยแต่เรื่องอดีต เราก็กำลังจะเป็นคนที่หมดอนาคต กลายเป็นคนส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ คุยแต่เรื่องอดีต ชอบแต่เรื่องน้ำเน่า ถ้าอยากมีอนาคต คุยกับคนที่ชอบคุยเรื่องอนาคต อ่านหนังสือที่กระตุ้นให้เรามองเห็นอนาคต ทำในสิ่งที่ท้าทาย เมื่อใดก็ตามที่งานเรามั่นคง เราเองนั่นแหละที่กำลังจะเป็นอดีต
อ้างอิงข้อมูลจาก : http://www.pawawit.com/