ขอต้อนรับเข้าสู่ดินแดนไร้กาลเวลา ที่ซึ่งความตายจะมาปรากฏตัวทักทายอยู่เบื้องหน้า 9 สถานที่ต่อไปนี้ คือสุดยอดของความเฮี้ยนที่บังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ทุกแห่งล้วนมีพยานรู้เห็นความหลอน!
Flying Dutchman
เจอได้ที่ไหน : แหลมกู๊ดโฮป, แอฟริกาใต้
หลายคนเรียกมันว่าเรือผีสิง แต่เราว่ามันน่าจะเป็นเรือปิศาจซะมากกว่า Flying Dutchman (ภาษาดัตช์ De Vliegende Hollander) คือสุดยอดแห่งความน่าสะพรึงบนท้องทะเล มักจะปรากฏตัวในรูปของเรือสำเภาสามใบเสา ให้นักเดินเรือสยองเล่นอยู่บ่อยๆ และมันผู้ใดที่พบเห็นก็มักจะถึงจุดจบของชีวิตโดยไม่มีข้อยกเว้น
ตำนานของเรือปิศาจลำนี้เริ่มขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 17 Flying Dutchman เป็นเรือบรรทุกสินค้าของบริษัท Dutch East India โดยมีกัปตัน ฟาน เดอ เดกเก้น เป็นผู้ควบคุม เขาขึ้นชื่อเรื่องจิตใจโหดเหี้ยมและไม่นับถือพระเจ้า ปี 1680 เรือเดินทางไปยังดินแดนตะวันอกได้สำเร็จ แต่ขากลับได้เจอพายุใหญ่พัดถล่มที่บริเวณแหลมกู๊ดโฮป กัปตันเดกเก้นต่อสู้อย่างหนัก ถึงขนาดตะโกนออกมาว่า “ข้าจะวนเวียนอยู่บริเวณแหลมนี้ ถึงแม้ว่าจะต้องล่องเรือจนถึงวันสิ้นสุดของโลกก็ตาม!” พวกเขาพยายามสู้อยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมง เรือก็ออกนอกเส้นทางและกระแทกสินโสโครกอัปปางหายไปทั้งเรือและลูกเรือ ผู้คนเชื่อกันว่าเป็นเพราะพระเจ้าลงโทษ
Bell Witch Cave
สถานที่ : เมืองอดัมส์ เทนเนสซี่, สหรัฐอเมริกา
ตำนานขนลุกขนพองที่ถูกกล่าวขวัญถึงมากที่สุดในอเมริกา ตำนานความเฮี้ยนถูกเล่าขานกันไว้ 2 เวอร์ชั่น อย่างแรก ปี 1817 จอห์น เบลล์ ซีเนียร์ ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในเขต โรเบิร์ตสัน เคาน์ตี้ เขาเจอสัตว์หน้าตาประหลาด ตัวเป็นหมา หัวเป็นกระต่าย ก็เลยไล่ยิง ปรากฏว่ามันหายตัวไปต่อหน้าต่อตา จากนั้นก็บังเกิดเสียงร้องโหยหวนก้องไปทั่ว เคราะห์กรรมไปตกหนักที่ เบตซี่ เบลล์ ลูกสาวคนเล็กที่โดนอาถรรพณ์เล่นงานจนตายอนาจ ก่อนสมาชิกในครอบครัวจะทยอยตายอย่างน่าสมเพชทีละคนๆ
อีกตำนานเล่าว่า หญิงชราชื่อ เคต แบตส์ เพื่อนบ้านของครอบครัวเบลล์ เกิดเจ็บแค้นที่โดนครอบครัวนี้โกงที่ดิน ก่อนตายเธอจึงแช่งไว้ว่าจะตามจองล้างจองผลาญ จากนั้นครอบครัวนี้ก็เจอเคราะห์กรรมต่างๆ นานา ข้าวของหล่นแตกกระจาย เตียงนอนถูกทึ้งจนไม่เหลือชิ้นดี บางคนถึงกับโดนเข็มทิ่มไปทั่วทั้งร่าง พร้อมด้วยเสียงหัวเราะสะใจของแม่มดแก่ ซึ่งเชื่อว่าเป็นวิญญาณหญิงคนนั้น ขนาดในพิธีฝังศพสุดท้ายในครอบครัว เสียงแม่มดยังตามไปหลอนจนบาทหลวงกระเจิง
ทุกวันนี้ เชื้อสายเบลล์หมดรุ่นไปแล้วกว่า 200 ปี แต่ผู้คนก็ยังเจอวิญญาณร้ายอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะในถ้ำเก็บสมบัติครอบครัวเบลล์ มักจะมีเสียงหัวเราะสะใจ และเสียงร้องโหยหวนลอยตามลมมาเสมอ
RMS Queen Mary
สถานที่ : ลองบีช แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา
เรือควีนแมรี่ เป็นเรือเดินสมุทรในแถบแอตแลนติกเหนือในช่วงปี 1936-1967 เคยเป็นเรือลำเพียงพลให้กองทัพอังกฤษช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนถูกปลดประจำการ ปัจจุบันเมืองลองบีชได้ซื้อไปดัดแปลงทำเป็นพิพิธภัณฑ์และโรงแรม
ตำนานความเฮี้ยนเป็นที่ร่ำลือกันมากมายเหลือเกิน ว่ากันว่าใครที่มาตายบนเรือลำนี้ ก็ต้องเป็นผีเฝ้าเรือไปตลอดชาติ มีคนเจอเรื่องแปลกไม่เว้นแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นรอยเท้าเปียกน้ำที่ย่ำไปทั่วลำเรือ เด็กสาวมาตามหาแม่แล้วก็หายตัวไปต่อหน้าต่อตา หรือเจอผู้หญิงผมยาวในชุดอังกฤษโบราณ
แต่บริเวณที่มีคนเจอบ่อยที่สุดก็คือในห้องเครื่อง ซึ่งเคยมีกะลาสีวัย 17 ปีตะเกียกตะกายหนีไฟไหม้แต่ไปไม่รอด ต้องโดนไฟครอกตายคาห้องเครื่อง วันดีคืนดีแขกที่มาพักก็จะได้ยินเสียงเคาะท่อประปาดังมาจากประตูห้องเครื่อง ถึงขนาดมีคนอัดเสียงได้มาแล้ว บ้างก็เห็นผีเด็กสาวดำผุดดำว่ายอยู่ในสระว่ายน้ำบนเรือ หรือแม้แต่เคาน์เตอร์เช็กอินของโรงแรม แขกที่เข้าพักก็เคยเห็นวิญญาณสาวชุดขาวลอยไปลอยมา ใครอยากเข้าเช็กอินก็ลองดู!
Winchester Mystery House
ที่ตั้ง : ซานโฮเซ่ แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา
คฤหาสน์เขาวงกตมูลค่า 5,500,000 ดอลลาร์ สูง 4 ชั้น 160 ห้อง 950 ประตู 10,000 หน้าต่าง 47 เตาผิง 40 บันได 2 ห้องจัดเลี้ยง...ทำไมต้องใหญ่โตขนาดนี้?
ปี 1873 โอลิเวอร์ วินเชสเตอร์ คิดค้นปืนไรเฟิ่ล วิลเลี่ยมลูกชาย และซาร่า ภรรยา ขายปืนจนแพร่หลายไปทั่วโลก กลายเป็นเศรษฐีพันล้าน ไม่นาน ซาร่าให้กำเนิดลูกสาวคนแรก แต่เพียง 1 เดือนหนูน้อยก็ตายโดยไร้สาเหตุ โอลิเวอร์ก็ตายอย่างกะทันหัน วิลเลี่ยมรับลิขสิทธิ์ปืนไรเฟิ่ลมาดูแล แต่เพียงปีเดียวเขาก็ตายด้วยโรคปอด
ซาร่าไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ก็เลยให้คนทรงจัดงานเรียกวิญญาณเพื่อหวังเจอสามีและลูกสาว แต่วิญญาณที่ลงมากลับเป็นผีที่ตายด้วยไรเฟิ่ล พวกมันแค้นตระกูลวินเชสเตอร์จึงรุมสาปให้มีอันเป็นไป คนทรงบอกซาร่าว่า เธอต้องไปซื้อที่สร้างบ้านแล้วต่อเติมไปเรื่อยๆ ถ้าหยุดเมื่อไหร่ก็ต้องตายด้วยคำสาป
160 ห้องถูกสร้างขึ้นโดยไร้เหตุผล กับดักวิญญาณซ่อนอยู่มากมาย บางประตูเปิดแล้วเป็นกำแพง หรือเปิดไปนอกบ้านโดยไม่มีระเบียง บันไดเดินไปเจอทางต้น แถมยังให้ความสำคัญกับเลข 13 มาก ห้องถูกแบ่งด้วยผนัง 13 แผ่น เพดานปูด้วยไม้ 13 แผ่น เทียนไขบนโคม 13 เล่ม ห้องน้ำ 13 ห้อง ช่างต่อเติมก็มี 13 คน
ซ่าร่าตายเมื่อปี 1922 โรงงานผลิตไรเฟิ่ลถูกขายทอดแล้วทอดเล่า คฤหาสน์วินเชสเตอร์ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์และเปิดให้คนเข้าชม ว่ากันว่า เหล่าวิญญาณที่ตายด้วยไรเฟิ่ลยังคงสิงสู่อยู่ที่นี่ และวิญญาณตระกูลวินเชสเตอร์เองก็หนีไปไหนไม่ได้ ยังคงเวียนว่ายอยู่ในทุกห้อง...
Hashima Island
ที่ตั้ง : นางาซากิ, ญี่ปุ่น
ณ ที่แห่งนี้ อดีตเคยเป็นเมืองกลางทะเลในยุคอุตสาหกรรมห่านหินเฟื่องฟู บริษัทมิตซูบิชิเหมาทั้งเกาะไว้ให้เป็นที่พักของพนักงาน ปี 1887 จึงเริ่มสร้างให้เป็นเมืองทันสมัยพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แล้วเสร็จในปี 1890 สวยงามเลอเลิศเฉิดฉายท้าทุกสายตา จะเรียกว่าเป็น Entertainment Complex and Living เลยก็คงไม่ผิดนัก...แล้วไหงถึงกลายเป็นอย่างทุกวันนี้ไปได้?
ของในโลกนี้มันมีอะไรแน่นอนที่ไหน ยุคก่อนถ่านหินอาจเป็นเชื้อเพลิงหลัก แต่พอล่วงมาถึงยุค 60 น้ำมันก็เริ่มเข้ามาแทนที่ กิจการถ่านหินและพวกที่เกี่ยวเนื่องก็ทยอยปิดตัวลงไปทีละอย่างสองอย่าง ฮาจิมะเองก็โดนผลกระทบโดยตรง เมื่อกิจการถ่านหินของมิตซูบิชิไปไม่รอด ในที่สุดฮาจิมะก็ไร้ผู้อาศัยอย่างถาวรในปี 1974
เมื่อไม่มีคนอาศัย อาคารร้างพวกนี้จึงกลายเป็นที่รวมของเหล่าวิญญาณเร่ร่อนแห่งท้องทะเล ร่ำลือกันว่า นี่คือเกาะร้างที่ผีดุที่สุดเกาะหนึ่งในญี่ปุ่น มีเรื่องเฮี้ยนๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาคารแต่ละหลังโดนวิญญาณจับจองเป็นที่พำนัก ชาวเรือเล่าว่า ในคืนมรสุมมักจะมีเสียงครวญคร่ำร่ำไห้ลอยมาจากความมืด สายลม และเสียงฝน ถ้าเงี่ยหูฟังดีๆ จะพบว่า มันคือเสียงของเมืองที่กำลังร่ำไห้ ความหนาวและโดดเดี่ยวกำลังกัดกร่อนลึกลงไปในจิตใจของมัน จนอยากจะหาใครสักคนมาอยู่เป็นเพื่อน!!!
The Whaley House
ที่ตั้ง : ซานดิเอโก้ แคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา
สถานที่แห่งนี้ถูกทางการอเมริกาขึ้นทะเบียนไว้ว่าเป็น บ้านผีสิงของจริง! และอเมริกันชนต่างรู้กันว่า ไม่มีผีที่ไหนจะดุเท่าบ้านนี้อีกแล้ว!
วาเลย์เฮ้าส์ เป็นบ้านของโทมัส และ แอนนา วาเลย์ ที่นี่เคยถูกใช้เป็นลานประหารของเมืองซานดิเอโก้มาก่อน ไม่ต้องอธิบายกันต่อว่ามีการตายเกิดขึ้นมากแค่ไหนบนผืนดินนี้ ไม่น่าแปลกใจที่ชาวบ้านมักจะเจอผี หรือเรื่องเฮี้ยนๆ อยู่บ่อยๆ
ปี 1869 เกิดการย้ายตัวเมืองซานดิเอโก้ ทางการได้เช่าห้องใหญ่ในบ้านหลังนี้เพื่อทำเป็นห้องพิจารณาคดี พนักงานเข้ามาทำงานไม่เท่าไหร่ก็เจอดีเข้าให้ เมื่อโซ่เหล็กขนาดยักษ์ในห้องนั้นอยู่ดีๆ ก็เกิดแกว่งเองซะงั้น หรือวันดีคืนดีก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากชั้นบน ขนาดคนที่ไม่ได้เจอจะจะ ก็ยังรู้สึกว่าเข้ามาในห้องนี้แล้วมันวังเวง อึดอัดพิกลอยู่
ทุกตารางนิ้วของบ้านนี้ล้วนมีคนเคยเจอดีมาแล้วทั้งนั้น ปี 1871 โทมัสไม่อยู่บ้าน แอนนาโดนชาวบ้านบุกเข้ามายิงตายบนบันไดขั้นที่ 9 ใครเดินผ่านตรงนั้นจะรู้สึกเหมือนมีลมเย็นยะเยือกตลอดเวลา บนชั้นสองของบ้านก็เคยมีคนเห็นผีโทมัสสวมหมวกปีกและเสื้อโค้ตสีดำยืนตระหง่านอยู่กลางบ้าน ซุ้มประตูโค้งในบ้านซึ่งเคยใช้เป็นที่แขวนคอนักโทษ แยงกี้ จิม โรบินสัน เมื่อปี 1852 ก็เคยมีคนได้ยินเสียงอึกอักในลำคอเหมือนคนกำลังจะขาดใจตาย ในห้องฟังเพลงอยู่ดีๆ ก็มีเสียงเพลงลอยมาทั้งๆ ที่เครื่องไม่ได้เปิดไว้ ตามด้วยเสียงหัวเราะแบบปิศาจ ก่อนจะมีกลิ่นซิการ์และน้ำหอมลอยมาเป็นการปิดท้าย
ถ้าคุณอยากรู้ว่าที่ชาวบ้านเล่ามาทั้งหมดนี้มันจริงหรือไม่...ลองเดินเข้าไปเองดิ!
Borley Rectory
ที่ตั้ง : ชานเมืองเอสเซ็กซ์ ลอนดอน, สหราชอาณาจักร
ใครว่าในโบสถ์จะไม่มีผี ถ้าไม่เชื่อลองมาเจอโบสถ์บอร์เลย์หน่อยเป็นไง!
ตำนานหลอนและเรื่องราวสุดเฮี้ยนเริ่มต้นขึ้นในปี 1362 เมื่อชาวบ้านและพวกพ่อมดหมอผีบุกเข้ามาจับตัวนักบวชนิกายเบเนดิกทีน และเหล่าแม่ชีจากสำนักชีในแถบนั้นมาฆ่าสยอง หลังถูกจับได้ว่าแอบมีความสัมพันธ์แบบไม่ธรรมดาต่อกัน นักบวชตายง่ายหน่อยเพราะโดนแขวนคอ แต่แม่ชีกลับถูกฝังทั้งเป็นใต้อิฐแดงในผนังสำนักชีนั้นเอง
500 ปีต่อมา ในปี 1863 ที่ตรงนั้นกลายเป็นโบสถ์บอร์เลย์ และชาวบ้านก็เจอเรื่องหลอนๆ กันอย่างต่อเนื่อง มีคนได้ยินเสียงฝีเท้าในโบสถ์ตอนดึก ทั้งๆ ที่เวลานั้นไม่มีใครอยู่แล้ว ต่อมา 28 ก.ค. 1900 ลูกสาวทั้งสี่ของสาธุคุณเจอสิ่งที่พวกเธอเชื่อว่าเป็นผีแม่ชีแน่ๆ มันโผล่ห่างตัวโบสถ์ออกไป 40 หลาในช่วงพลบค่ำ พวกเธอพยายามเดินเข้าไปใกล้หมายจะไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ แต่ผีแม่ชีดันหายตัวไปซะดื้อๆ นอกจากนั้นชาวบ้านก็ยังเคยเห็นรถม้าปิศาจวิ่งทะยานผ่านหน้าหมู่บ้านไป โดยมีสารถีเป็นผีหัวขาด
ช่วงพี้กสุดแห่งความเฮี้ยนเกิดขึ้นในปี 1929 ผีนางชีโผล่มาให้คนเห็นเป็นว่าเล่น มาในยูนิฟอร์มแม่ชีและมีใบหน้าเศร้าหมอง เธอมักจะอ้อนวอนให้ผู้โชคดีที่เห็นหาศพของเธอให้พบ และนำไปประกอบพิธีทางศาสนา จนกระทั่งเที่ยงคืนของวันที่ 27 ก.พ. 1939 ก็เกิดไฟไหม้โบสถ์วอดไปทั้งหลังจนเหลือแต่ตอตะโก ตัวโบสถ์ก็เลยโดนทุบทิ้งไปในที่สุด
ถึงตอนนี้โบสถ์บอร์เลย์กลายเป็นตำนานไปแล้ว เรื่องหลอนทั้งหลายก็พลอยหายแซ้บไปด้วย...
Edinburgh Castle
ที่ตั้ง : เอดินเบอร์ก, สก็อตแลนด์
กรุงเอดินเบอร์กนั้นได้ชื่ออยู่แล้วว่าเป็นเมืองที่ผีดุที่สุดในยุโรป และสถานที่ที่มีผีชุมที่สุดในเอดินเบอร์กก็คือปราสาทเอดินเบอร์กนี่แหละ...พี่น้อง!
ปราสาทแห่งเอดินเบอร์กตั้งอยู่บนยอดภูเขาไฟยุคโบราณ ถูกใช้เป็นที่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 9 ป้อมปราการของปราสาทคือศูนย์บัญชาการของกองทัพโบราณ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงมีกองทหารประจำการอยู่บนป้อมปราการรอบปราสาท ทุกวันนี้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของสก็อตแลนด์ ชื่อเสียงความขลังของปราสาทโด่งดังพอๆ กับตำนานความเฮี้ยน
อุโมงค์ส่งน้ำใต้ดินของปราสาทถูกสำรวจพบเมื่อหลายร้อยปีก่อน ทีมสำรวจคนแรกที่ถูกส่งลงไปตะโกนถามว่ามีใครคลานตามเขาลงไปหรือเปล่า ทั้งๆ ที่เพื่อนคนอื่นรออยู่ข้างบนกันหมด พอลงไปถึงครึ่งทาง จู่ๆ เขาก็หยุดกะทันหัน เพื่อนๆ จึงรีบคลานลงไปช่วย แต่อนิจจา เขาล่องหนหายไปอย่างไร้ร่องรอย เรื่องผีในอุโมงค์ส่งน้ำยังคงมีคนเจออยู่เรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้ เสียงคลานและเสียงหายใจดังแว่วมาจากในอุโมงค์ยามค่ำคืน
นักท่องเที่ยวหลายคนยืนยันว่าได้ยินเสียงกลองดังออกมาจากตัวปราสาท แต่มีไม่กี่คนที่โชคดีพอที่จะเห็นคนหัวขาดกำลังตีกลอง ซึ่งเห็นกันมาตั้งแต่ปี 1650 เรื่องนี้น่ากลัวพอๆ กับผีหมา เนื่องจากในปราสาทมีสุสานหมา วันดีคืนดีจึงมีคนเห็นผีหมาเดินไปเดินมาอยู่แถวนั้น และผีนักโทษในคุกใต้ดินที่ยังคงเวียนวนหลอกหลอนไปทั่ว ไม่เว้นว่าจะเป็นทหารรักษาการณ์ หรือนักท่องเที่ยวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ถ้าคุณบังเอิญต้องไปเที่ยวแถวนั้นแล้วล่ะก็...ระวังไว้!
Anne Boleyn the Headless Queen
เธออยู่ไหน : หอคอยลอนดอน, สหราชอาณาจักร
ที่สุดของความเฮี้ยน ที่สุดของความน่าสะพรึง นี่คือเพชรยอดมงกุฎแห่งวิญญาณร้ายในประเทศอังกฤษ พระนางแอนน์ โบลีน มเหสีองค์ที่สองในพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 มารดาของควีนอาลิซซาเบธที่ 1 เธอถูกสำเร็จโทษบนกิโยตินที่หอคอยลอนดอนเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 1536 จากข้อหาคบชู้และกบฏ (วางยาพิษพระนางแคทเธอรีนแห่งอารากอน และพระธิดา)
ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 หย่าจากพระนางแคทเธอรีนแห่งอารากอนเพื่อมาอภิเษกกับพระนางแอนน์ ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของความวุ่นวายทางการเมืองในการปฏิรูปอังกฤษ ข้อหาที่เธอโดนจึงน่าจะมาจากเหตุผลทางการเมืองมากกว่า ทำให้พระนางแอนน์กล่าวถ้อยคำก่อนตายไว้อย่างน่าขนลุก
“โอ้ ความตาย นำข้าให้หลับใหล ส่งข้าไปพักอย่างเงียบงัน ให้ข้ากลายเป็นผีที่ไร้ความผิด พรากความอาทรไปจากอ้อมอกของข้า ย่ำระฆังความตายที่เศร้าสร้อย ปล่อยให้มันก้องกังวานไป การตายของข้าจงประจักษ์ไปในทั่วหล้าว่า ที่ข้าตายก็เพราะต้องตาย”
หลังจากการสำเร็จโทษ วิญญาณของพระนางกลายเป็นผีร้ายคอยหลอกหลอนผู้คน โดยเฉพาะในวันครบรอบการตาย นางจะมาประกฏกายบริเวณหอคอยแห่งนี้ หรือแม้กระทั่งสถานที่ประสูติก็มีคนเห็นร่างของหญิงสูงศักดิ์หัวขาด นั่งอยู่ในรถม้าที่เทียมหัวขาด 4 ตัว ขับโดยสารถีหัวขาด วิ่งอย่างเชื่องช้าไปยังอาคารโบราณและหายออกไปที่ประตูหน้า
แต่การปรากฏตัวครั้งไหนก็ไม่น่าขนลุกเท่าเมื่อเดือน ธ.ค. 2003 ที่ศาล Hampton ใกล้กับที่สำเร็จโทษ ยามตรวจการณ์ได้ถ่ายรูปไว้เพื่อรักษาความปลอดภัย แต่เมื่อได้เห็นรูปที่ออกมาทุกคนก็แทบช็อก เพราะมันเป็นรูปผีในชุดเครื่องแต่งกายของหญิงสูงศักดิ์ แต่ปราศจากเงาหัว เดินผ่านประตูออกมา...ช็อกไปทั้งโลก!!!
มีรายงานจากนักเดินเรือว่าเคยเจอ Flying Dutchman กันถ้วนหน้า ปี 1881 คนประจำเรือของพระเจ้าจอร์จ์ที่ 5 ได้เห็นมันปรากฏขึ้นที่ด้านหัวเรือ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ตกจากเสากระโดงเรือตาย ในปีเดียวกันมีเรือสินค้าสัญชาติสวีเดนแล่นแผ่นแหลมกู๊ดโฮปและเห็น Flying Dutchman กะลาสีที่เห็นก็ตกเสากระโดงตายคาที่ กัปตันเรือส่งคนขึ้นไปดูอีกรอบ เขาก็ตายโดยไร้สาเหตุในอีกสองวันต่อมา ปี 1939 คนบนเรือสินค้ากว่า 60 ชีวิตเห็น Flying Dutchman แล่นผ่านหน้าไปและหายลับไปในความมืด ปี 1959 กัปตันเรือ Staat Magelhaen รายงานว่าเรือกำลังจะพุ่งเข้าชนกับ Flying Dutchman แต่พอเข้าใกล้มันก็หายไป
ปัจจุบัน Flying Dutchman ไม่มีใครพบเจอมานานหลายสิบปีแล้ว...คุณอยากเจอสักครั้งมั้ยล่ะ?