ข้ามแม่น้ำเมย เยือน "เมียวดี" ชมวัดงาม ตามหาจระเข้ยักษ์

ยินดีต้อนรับสู่เมืองเมียวดี “เมงกะลาบา” (สวัสดีภาษาพม่า)         “เมียวดี” หรือที่ชาวเมียนมาร์เรียกว่า “บะล้ำบะตี๋” เป็นเมืองชายแดนด้านทิศตะวันออกของประเทศพม่า ในเขตรัฐกะเหรี่ยง ที่มีอาณาเขตติดกับประเทศไทย โดยมีแม่น้ำเมยเป็นพรมแดนทางธรรมชาติและมีอำเภอแม่สอด จังหวัดตากตั้งอยู่อีกฝากฝั่งของแม่น้ำ ในจุดนี้ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประตูบานใหญ่ระหว่างมิตรประเทศแห่งภูมิภาคอาเซียน ที่มีความคึกคักอย่างมากเพราะถูกใช้เป็นเส้นทางสัญจรในการขนส่งสินค้านำเข้า - ออก จากทั้งสองประเทศไปสู่ประเทศอื่นๆ และนอกจากการค้าขายที่คึกคักแล้ว เมืองเมียวดีก็ยังรับความนิยมในการเดินทางไปเที่ยวชมวัดวาอารามต่างๆ ที่ถูกสร้างสรรค์ด้วยสถาปัตยกรรมแบบพม่า-มอญ
       
       การเดินทางไปยังเมียวดีที่ง่ายที่สุดคือ การนั่งเครื่องบินมาลงยังอำเภอแม่สอด โดยมีสายการบินนกแอร์เปิดให้บริการบินตรงจากกรุงเทพฯ มาสู่อำเภอแม่สอด และจะต้องทำบัตรผ่านพรมแดนไปยังเมืองเมียวดี ในราคา 30 บาท โดยใช้บัตรประชาชนเป็นหลักฐานผ่านแดน 
  บรรยากาศบน “สะพานมิตรภาพไทย-พม่า” ในงาน “มหกรรมปั่นจักรยานมิตรภาพไทย-พม่า” ที่ผ่านมา         แต่ก่อนที่จะได้ย่างก้าวเข้าสู่เมืองเมียวดี ทุกๆ คนก็จะต้องผ่าน “สะพานมิตรภาพไทย-พม่า” อันเป็นเส้นทางเชื่อมความสัมพันธ์และเพิ่มความสะดวกในการคมนาคมระหว่างสองประเทศ สะพานมิตรภาพไทย-พม่านั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อเชื่อมถนนสายเอเชียจากประเทศไทยไปสู่ประเทศพม่า เพื่อใช้เป็นเส้นทางสัญจรจากฝั่งอินโดจีนไปสู่ภูมิภาคเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและยุโรป โดยสะพานแห่งนี้ได้ถูกเปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2540 
  ทัศนียภาพ “แม่น้ำเมย” พรมแดนธรรมชาติระหว่างไทย-พม่า         และ “แม่น้ำเมย” ที่อยู่เบื้องล่างนั้นของสะพานมิตรภาพไทย-พม่านั้น แม่น้ำสายนี้เป็นพรมแดนทางธรรมชาติโดยมีเมืองเมียวดีอยู่ทางทิศตะวันตกและอำเภอแม่สอดอยู่ทางทิศตะวันออกของแม่น้ำ ซึ่งในภาษาพม่าเรียกแม่น้ำสายนี้ว่า “ต่องยิน” แม่น้ำเมยมีความยาว 327 กิโลเมตร โดยมีจุดกำเนิดที่บ้านน้ำ อำเภอพบพระ และไหลย้อนขึ้นไปทางทิศเหนือซึ่งเป็นเรื่องแปลกของแม่น้ำสายนี้ เพราะแม่น้ำทุกสายจะไหลงใต้ ก่อนจะผ่านอำเภอแม่สอด,แม่ระมาด,ท่าสองยาง,สบเมย และอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ไปบรรจบกับแม่น้ำสาละวินและไหลลงอ่าวเมาะตะมะ ที่เมืองมะละแหม่ง เมืองหลวงของรัฐมอญที่ห่างจากเมืองเมียวดีไปเพียงแค่ 175 กิโลเมตร
       
       (คลิกติดตามเรื่องเที่ยว “เมืองมะละแหม่ง” ได้ที่ลิงค์นี้) 
  รูปปั้นจระเข้ที่ “วัดมิเจากง” หรือ “วัดจระเข้”         สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองเมียวดี ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นวัดวาอารามต่างๆ ซึ่งแต่ละวัดนั้นต่างถูกสร้างไว้อย่างสวยงามและมีเอกลักษณ์ เช่นที่ “วัดมิเจากง” หรือที่รู้จักในภาษาไทยว่าชื่อ “วัดจระเข้” วัดแห่งนี้ เป็นหนึ่งในวัดที่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนเมืองเมียวดีนิยมมาเที่ยวกัน เพราะมีลักษณะเด่นที่ไม่เหมือนวัดอื่นๆ คือมีรูปปั้นจระเข้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ภายในวัด รูปปั้นจระเข้นั้นที่มีความยาวตั้งแต่หัวจรดหางถึง 65 เมตร ลำตัวถูกทาด้วยสีเขียวสดใส บริเวณด้านกลางลำตัวจระเข้เป็นที่ตั้งของหอไตรกลางน้ำ ซึ่งจะไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าไป สำหรับเรื่องราวความเป็นมาในการสร้างรูปปั้นจระเข้ได้ถูกเล่าไว้ว่า 
  “เสาอโศกบริเวณ” หอแสดงพุทธประวัติพระพุทธเจ้า “วัดมิเจากง” หรือ “วัดจระเข้”         “ในอดีตมีจระเข้ตัวใหญ่จะเข้ามากินพระภิกษุสงฆ์ ที่ปฎิบัติธรรมอยู่ในวัดแห่งนี้ แต่ท่านแสดงธรรมจนจระเข้ได้เห็นธรรมและละกิเลสจะเลิกกินเนื้อสัตว์ จากนั้นก็ได้แต่จ้องมองไปยัง "วัดส่วยมินวุ่น" หรือ "วัดเจดีย์ทอง" วัดคู่บ้านคู่เมืองของเมืองเมียวดี เนื่องจากอยากไปกราบไหว้แต่ไม่สามารถทำได้จนสิ้นใจ ชาวบ้านจึงช่วยกันสร้างจระเข้ตัวนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นอนุสรณ์จากการละจากกิเลสทั้งปวงของจระเข้ตัวนี้” 
  รูปปั้นพุทธประวัติ ที่ “วัดมิเจากง” หรือ “วัดจระเข้”         นอกจากรูปปั้นจระเข้ที่เป็นจุดเด่นแล้ว ที่วัดแห่งนี้ก็ยังมี "หอแสดงพุทธประวัติพระพุทธเจ้า" โดยเป็นอาคารรูปตัวยู (U) ล้อมรอบ "เสาอโศก" อันเป็นเครื่องหมายเพื่อระบุสถานที่ตั้งของสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา พื้นที่ภายในอาคารถูกทำเป็นห้องต่างๆ ที่ประดับรูปปั้นที่เล่าถึงพุทธประวัติพระพุทธเจ้า ให้ได้เดินชมและเรียนรู้เรื่องราวของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่ประสูติจนถึงปรินิพพาน 
  บรรยากาศภายใน “วัดเจ้าโหล่งจี” หรือ “วัดก้อนหินใหญ่”         และอีกหนึ่งวัดที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวคือ “วัดเจ้าโหล่งจี” หรือในชื่อภาษาไทยคือ “วัดก้อนหินใหญ่” วัดแห่งนี้ที่ตั้งอยู่บนลานหินขนาดใหญ่บนเนินเขา ทำให้มองเห็นยอดเจดีย์สีทองเหลืองอร่ามได้ตั้งแต่ระยะไกล ซึ่งองค์เจดีย์และภายในบริเวณวัดถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามด้วยศิลปะแบบพม่า-มอญ 
  “ก้อนหินใหญ่” ที่มาของชื่อวัดเจ้าโหล่งจี (วัดก้อนหินใหญ่)         ที่บริเวณด้านหลังองค์เจดีย์ ก็ยังเป็นที่ตั้งของก้อนหินขนาดใหญ่ที่มีเจดีย์อยู่ด้านบนและมีมังกรพันรอบก้อนกิน ซึ่งเป็นที่มาของชื่อวัดแห่งนี้ โดยมีเรื่องเล่ากันมาว่า “ในอดีตมีพระพุทธรูปสายธุดงค์ได้มาจำพรรษาอยู่บริเวณวัดแห่งนี้ พอตื่นเช้าขึ้นมามีงูเหลือมมาขดอยู่ด้านบนหินที่ท่านจำพรรษาอยู่ ชาวบ้านผ่านมาเห็นจึงเกิดความศรัทธาและนิมนต์ให้ท่านจำพรรษาอยู่ที่นี่จนมรณภาพ” นอกจากวัดแห่งนี้แล้ว เมืองเมียวดีก็ยังมีวัดอื่นๆ อาทิ วัดส่วยมินวุ่น (วัดเจดีย์ทอง) ที่เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของเมือง, วัดเด้ถั่นเอ่ (วัดอธิษฐาน), ให้ไปเที่ยวเที่ยวชมและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 
  “แตงโมยักษ์” น่าลิ้มลอง         อีกหนึ่งไฮไลต์ของเมืองเมียวดีคือร้านขาย “แตงโมยักษ์เมียวดี” โดยจะมีร้านขายอยู่ตลอดเส้นทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่คอยยั่วยวนให้ให้ได้แวะลองลิ้มชิมรส แตงโมในภาษาพม่าเรียกว่า "พแย ตี" แตงโมพม่านั้นจะมีขนาดใหญ่มาก เป็นแตงโมที่มาจากเมืองพะโคหรือเมืองหงสาวดี รสชาติหวานอร่อย อีกทั้งราคายังไม่แพงมากลูกละ 90-100 บาท หรือจะเลือกชิมแบบที่หั่นเป็นชิ้นๆ ก็มีชิ้นละ 10 บาท 
  บรรยากาศภายใน “ตลาดบุเรงนอง”         นอกจากวัดวาอารามต่างๆ แล้ว เมืองเมียวดีก็ยังมีสินค้าพื้นเมืองมากมายให้ได้เลือกซื้อเป็นของฝาก ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนมากนิยมมาจับจ่ายกันที่ “ตลาดบุเรงนอง” ตลาดแห่งนี้เป็นศูนย์รวมสินค้ามากมาย ที่มีทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติรวมถึงชาวพม่าเองมาจับจ่ายซื้อสินค้ากันอย่างคึกคัก โดยสินค้าจะมีทั้งสิ้นค้าพื้นเมือง เช่นแป้งทานาคา ใบพลู และมีเสื้อผ้า สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ อาหารการกินสารพัด ให้ได้เลือกชิมเลือกซื้อติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้าน เมืองเมียวดีจึงนับเป็นอีกหนึ่งประตูบานสำคัญ ที่สามารถเชื่อมมิตรภาพระหว่างเพื่อนบ้าน และเรียนรู้ในวิถีชีวิตของกันและกันให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น จนถึงวันที่ทุกๆ ชาติในภูมิอาเซียนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
Credit: http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9580000025145
4 มี.ค. 58 เวลา 09:21 2,729 40
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...