เรื่องแรก
ในรัชสมัยรัชกาลที่5พระราชวังสวนดุสิต ปลูกสร้างเสร็จใหม่ๆว่ากันว่าสวยงามราวเมืองสวรรค์ ภายในรอบบริเวณพระราชวังอบอวลไปด้วยหมู่ไม้ดอก ไม่ผล ร่มครึ้ม ทั่วบริเวณวัง
ผลหมากรากไมในพระราชวังแห่งนี้ออกดอก ออกผลลูกเล็กลูกใหญ่ ห้อยระย้าเต็มต้น มีทั้งฝรั่ง ทับทิม มะม่วง กระท้อน ฯลฯ เมื่อผลไม้มีมากมายเช่นนี้ก็ย่อมเป็นที่ต้องการของชาววังมือดีทั้งหลาย ทั้งๆที่เป็นของที่อยู่ในเขตพระราชฐาน ผลไม้หลายๆต้นยังถูกสอยเอาไปรับประทานเป็นจำนวนไม่น้อยและเป็นประจำจนผิดสังเกต
แถมผลไม้หลายๆลูกยังพบร่องรอยของฟันแทะไว้เป็นหลักฐานอีกด้วย
ครั้งนั้น เรื่องขโมยผลไม้ในวังกลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขนาด รัชกาลที่ 5 ต้องเสด็จมาทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง และตรัสว่าไม่น่าจะใช่รอยฟันของกระรอก กระแต น่าจะเป็นรอยฟันของคนมากัดแทะเสียมากกว่า เห็นจะต้องหาตัวหัวขโมยมาลงโทษให้ได้
กระทั่งคืนหนึ่ง เล่ากันว่าเป็นคืนเดือนมืด ทั่วทั้งพระราชวังเงียบสงัด แต่พวกชาววังก็ยังซุ่มล่าหัวขโมยอยู่เช่นเดิม
ชาววังกลุ่มหนึ่งมาแอบซุ่มอยู่ใกล้ต้นฝรั่งซึ่งกำลังออกผลเต็มต้น ใกล้จะสุกเก็บกินได้แล้ว และต้นนี้เองเป็นต้นเดียวกับที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 เคยทอดพระเนตรพบรอยแทะทิ้งไว้
คืนนั้นพอดึกสงัดก็ปรากฏมีเสียงประหลาด พร้อมมีเงาดำๆวิ่งผ่านไปทางต้นฝรั่ง ทำให้ชาววังผู้ล่าหัวขโมยใจเต้นระทึก คาดว่าจะต้องเป็นหัวขโมยที่หวังจะจับแน่แล้ว จึงพากันแอบซุ่มมอง ทันใดก็เห็นเจ้าของร่างนั้นปีนขึ้นไปบนต้นฝรั่งนั่งกัดฝรั่งเคี้ยวกินอย่างกระหายหิว พวกล่าจับหัวขโมยพากันดีใจกรูเข้าไปล้อมรอบโคนต้นฝรั่ง
หวังจะดูหน้าหัวขโมยให้ชัดๆซะที ต่างจึงพากันร้องเรียกขู่ให้หัวขมายลงมาจากต้นฝรั่ง เจ้านั่นก็ยังไม่ยอมลงมา ร้องเรียกอยู่นานจนในที่สุดเงาดำบนต้นก็กระโดดตูมลงมา ข้าหลวงชายพากันตะครุบจับแต่ก็จับไม่ได้เพราะตัวลื่นเป็นเมือกแถมยังว่องไว ปราดเปรียว ผิดปกติมนุษย์ธรรมดา
ฉับพลันทันใดก่อนที่ใครจะคาดคิดเจ้าหัวขโมยรายนี้ก็กระโจนพรวดเดียวลงไปในสระอโนดาตภายในพระราชวัง แล้วจมหายไม่ขึ้นมาอีกเลย
แม้แต่หน้าก็ยังไม่มีใครได้เห็น มีสิ่งเดียวที่ทุกคนสัมผัสได้คือ กลิ่นตัวที่สาปรุนแรง คล้ายกลิ่นคนตาย ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่หัวขโมยโดดหายลงไปในน้ำแล้ว ทุกคนจึงได้สติว่า ถูก "ผีหลอก" แล้วพากันวิ่งหนีร้องเสียงดังลั่นขวัญกระเจิง
พระราชวังสวนดุสิต ในสมัยนั้น
เรื่องต่อมา
สิ่งลี้ลับกับทหารมหาดเล็ก
มีเรื่องเล่าจากบันทึกของตำรวจหลวงในวังท่านหนึ่ง ซึ่งท่านเล่าไว้ว่า เมื่อครั้งงานพระราชพิธีพระบรมศพล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 8 ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เรื่องมีอยู่ว่าในเวลาดึกช่วงระหว่างงานพระราชพิธีนั้นพอพระบรมวงศานุวงศ์แขกระดับผู้ใหญ่กลับกันหมดแล้วก็จะมีทหารยามและตำรวจวังเฝ้าพระบรมศพอยู่โดยทหารจะยืนยาม 4 มุมของพระบรมศพ และจะมีการเปลี่ยนเวรกันเป็นกะ
ในส่วนของการยืนยามด้านในซึ่งเป็นที่ไว้พระโกศศพทำด้วยทองคำแท้ๆ นั้นจะมีทหารมารักษาการณ์เฉพาะตอนกลางคืน เนื่องจากยืนยามมาทั้งคืนพอใกล้สว่างก็ชักไม่ไหวต้องทรุดลงนั่งและหลับไปงีบหนึ่งแต่พอเจ้านายมาตรวจเวรก็จะมีเสียงคนมาปลุกและเขย่าตัวบอกให้"ตื่นเจ้านายมาแล้ว" เป็นเสียงกระสิบเบาๆที่ที่หูโดยที่ไม่มีใครเคยเห็นตัวคนปลุกซักครั้งเดียว
และของเรื่อง โคมมะหวดตุ้งติ้ง เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า มีทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ที่ต้องอยู่เฝ้าพระบรมศพตลอดทั้งคือ เผลอหลับขณะปฏิบัติหน้าที่ในเวลากลางคืน ซึ่งได้ปิดพระทวาร(ประตู) และพระบัญชร(หน้าต่าง)ไว้หมดแล้ว ไม่มีลมที่จะสามารถพัดให้โคมมะหวดตุ้งติ้งสั่นไหวได้ แต่อยู่ๆกลางคืนนั้นก็เกิดเสียงกระทบกันของโคมมะหวดตุ้งติ้งดังขึ้นแรงๆ เหมือนมีใครไปแกว่ง จึงทำให้ทหารที่หลับเวรตื่น รวมทั้งพระที่สวดพิธีธรรม ก็สดุ้งไปตามๆกัน
เรื่องเล่าต่อมา
ครั้งหนึ่ง เมื่อการก่อสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทแล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศ์ ก็เสด็จฯย้ายเข้ามาประทับที่พระที่นั่งองค์นี้ จากนั้นก็ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เขียนพระบรมสาทิศลักษณ์ รัชกาลต่างๆไว้ในห้องมุกกระสัน
พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทนี้ เป็นชัยภูมิอันศักดิ์สิทธิ์ อยู่ข้างพระมหามณเทียรอันเป็นที่ประทับและเป็นที่สวรรคตของพระมหากษัตริย์รัชกาลต่างๆ
"เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ ท่านยังทรงพระเยาว์มาก ท่านก็ประทับเล่นที่บริเวณห้องมุกกระสัน อยู่ๆท่านก็เห็นบุรุษร่างท้วมสวมเสื้อผ้าอาภรณ์แปลกตาเดินผ่านมาทางพระองค์แล้วเดินหายเข้าไปในบริเวณที่ประดิษฐานพระบรมสาทิศลักษณ์ รัชกาลที่ ๓
ด้วยความที่เจ้าฟ้าจักรพงษ์พระชนม์ยังน้อย พระองค์ก็ตะโกนเรียกออกไปว่า "นั่นใคร ออกมาเดี๋ยวนี้!! แต่ก็ไม่ปรากฎว่ามีใครออกมา
เมื่อความทราบถึงฝ่าละอองธุลีพระบาท สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ท่านจึงรับสั่งถามเจ้าฟ้าจักรพงษ์ ว่าบุรุษนั่นมีรูปลักษณะอย่างไร เจ้าฟ้าจักรพงษ์จึงตอบไปตามที่พระเนตรเห็น พระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯก็ทรงอนุมานได้ทันทีว่า เป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปรากฎพระองค์ให้เจ้าฟ้าจักรพงษ์ทอดพระเนตรเห็น จึงทรงให้นางพระกำนัลจัดดอกไม้ธุปเทียนไปให้เจ้าฟ้าจักรพงษ์ เพื่อนำไปถวายและขอขมาลาโทษที่ไปล่วงเกินสมเด็จพระบรมราชบูรพการี(รัชกาลที่3)
หมายเลข1 พระบรมสาทิศลักษณ์รัชกาลต่างๆ ในพระที่นั่งจักรี
หมายเลข2 พระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี
หมายเลข3 สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์
และเรื่องสุดท้าย
สระน้ำลี้ลับ สระพระองค์อรไทย
สระแห่งนี้สร้างขึ้นภายหลังที่พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าอรไทยเทพกัญญาสิ้นพระชนม์แล้ว โดยมีเหตุคือ หลังจากที่พระเจ้าน้องนางเธอพระองค์เจ้าอรไทยเทพกัญญาสิ้นพระชนม์ลงด้วยประชวรพระโรคเรื้อรังกระเสาะกระแสะ ซึ่งกล่าวกันว่า ทรงเป็นพระโรคประสาท ทรงกระทำวัติธิพิฆาตกรรมพระองค์ ( ฆ่าตัวตาย ) ได้มีข่าวโจษจันว่ามีผู้ได้ยินเสียงเปรตร้องโหยหวนในยามวิกาล และกล่าวขวัญกันต่อไปในทางที่ไม่เป็นมงคลต่าง ๆ เหมาเอาว่าเป็นเพราะพระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์นั้นพึ่งจะสิ้นพระชนม์ลงไปไม่นาน คงจะไปทนทุกเวทนาอยู่ ซึ่งข่าวโจษจันนี้เป็นที่กล่าวขานกันทั่วไปและไม่อาจยุติได้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมีพระราชดำริให้แก้ไขข่าวโจษจันอันไม่เป็นมงคลนี้ ด้วยบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสังฆทาน แล้วทรงสั่งให้ขุดสระน้ำนี้ขึ้นเพื่ออุทิศส่วนกุศลส่งไปโปรดพระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์นั้นให้พ้นทุกข์ เมื่อวันที่สระน้ำสร้างเสร็จตามพระบรมราชโองการได้มีพิธีฉลองสระนั้น โดยให้มีการลอยสลากเป็นกุศลทานลงในสระเป็นที่ครึกครื้น ตั้งแต่นั้นมาเรื่องโจษจันอันไม่เป็นมงคลก็ค่อยเงียบหายไป
พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอรไทยเทพกัญญา เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในเจ้าจอมมารดาบัว ประสูติเมื่อวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2402 และสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2449 รวมพระชันษา 47 ปี
รูปพระเจ้าน้องนางเธอพระองค์เจ้าอรไทยเทพกัญญา
เเละเรื่องต่อมา
สนม นางใน หม่อมห้าม คนเดิมยังอยู่
"เรื่องลี้ลับชาววัง" ที่เคยเป็นเรื่องเล่าในสมัยก่อนก็ยังไม่จางหายไป ยังคงเล่าสืบทอดมายังรุ่นสู่รุ่น แม้ในปัจจุบันข้าราชบริพาร ที่ทำงานในพระบรมมหาราชวังก็ยังตั้งวงเล่าเรื่องชวนขนหัวลุกกันอยู่หลังพระอาทิตย์ตกดิน จะไม่มีใครอยู่ทำงานขนาดมีงานพระราชพิธีเปิดไฟสว่างคนเยอะก็ยังไม่กล้าเดินคนเดียวพวกรุ่นพี่จะบอกรุ่นน้องที่มาทำงานใหม่
เสมอๆ ว่า"เลิกงานแล้วกลับบ้านเลยนะ ใครอยู่ดึกรับรองเจอดีแน่!" จากที่เคยเดินเที่ยวชมพระบรมมหาราชวังไปกันเป็นหมู่คณะไม่ต้องรออาทิตย์ตกดินก็เสียงสันหลังได้ ?!?!
เเละแถมท้ายอีกเรื่องกับ โอปปาติกะ กับรัชกาลที่6
เมื่อพูดถึง "ผี" หรือ "วิญญาณ" พวกเราชาวนอกรั้ววังคงอยากจะได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับ "ผี" ในรั้ววังกันบ้าง ยายผีป่าจึงไปเสาะหาจากนิตยสารหญิงไทยมาให้อ่านค่ะ ขอนำเรื่องราวของ "โอปปาติกะ" ที่มาปรากฏให้เห็นเฉพาะพระพักตร์ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 6 มาเล่าให้ฟัง...
เรื่อง นี้เกิดขึ้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เมื่อครั้งที่พระองค์ยังคงประทับอยู่ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันหนึ่งมีงานบำเพ็ญกุศล เนื่องในวันเกิด ท่านจอมพลเจ้าพระยาบดินทร์ เดชานุชิต เสนาบดีกระทรวงกลาโหมในสมัยนั้น ซึ่งล้นเกล้าฯรัชการที่ 6 ก็จะต้องไปในงานนี้ด้วย การแต่งพระองค์ในวันนั้นต้องทรงเครื่องยศทหารรักษาวัง เพียงครึ่งยศ เพราะเจ้าพระยาบดินทร์ เดชานุชิตเป็นนายทหารพิเศษ ประจำกรมทหารรักษาวัง และยังเป็นงานแบบสโมสรกลางแจ้ง
งานในวันนี้มีข้าราชบริพาร สมุหราชองครักษ์และราชองครักษ์ เตรียมโดยเสด็จอย่างพรั่งพร้อม เมื่อได้เวลาเสด็จพระราชดำเนิน พระองค์ก็ได้เสด็จขึ้นประทับรถยนต์พระที่นั่ง ณ ทหารเรือ ทหารม้า ทหารราบทั่วไปและตำรวจ จะต้องมายืนรับเสด็จอยู่ริมรถพระที่นั่งตามอย่างราชประเพณีเป็นปกติ และยังมีราชองครักษ์เวรสมทบราชองครักษ์ประจำ ซึ่งมีพันโทพระยาสรชาติ โยธี พันตรีหลวงอาจหาญณรงค์ นาวาโทหลวงสวัสดิ์ นาวายุทธ ร้อยเอกหลวงวรภักดิ์ภูบาล และนายพันตำรวจโทหลวงอภิบาลนครเขตต์
นอก จากพระองค์จะทอดพระเนตรเห็นบุคคลเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว ก็ยังทอดพระเนตรเห็น "พันเอกจมื่นฤทธิ์รณจักร" ผู้บังคับกองพันทหารรักษาวังแต่งตัวเต็มยศมายืนอยู่ด้วยในหมู่ราชองครักษ์ โดยสวมหมวกแบบนโปเลียนและมีปลอกคอ ปลอกข้อมือใช้กระบี่แบบไทยหัวเป็นพญานาค พระองค์ทรงตรัสเล่าให้มหาเล็กคนสนิทคือนายรองเล่ห์อาวุธ หรือ "จมื่นมานิตย์นเรศร์" ฟังว่า เมื่อทอดพระเนตรเห็นก็ทรงฉงนพระราชหฤทัยเหมือนกันว่าทำไม "จมื่นฤทธิ์รณจักร" จึงแต่งกายเต็มยศ แต่ก็มิได้ออกพระโอษฐ์กับใคร แม้กระทั่งสมุหราชองครักษ์ทีโดยเสด็จฯ ไปในรถพระที่นั่งนั้นด้วย
เมื่อ เสด็จฯมาถึงงานก็ทรงมีพระราชภาระที่จะต้องพระราชทานน้ำสังข์และทรงเจิม ต้องพระราชทานประคำทองคำกับแหวนนพเก้าเป็นพิเศษตามอย่างโบราณราชประเพณีให้ แก่เจ้าพระยานาหมื่นชั้นแม่ทัพนายกองเป็นของขวัญและยังทรงมีพระราชภาระ ทีจะต้องพระราชทานพระบรมราโชวาทในงานเลี้ยง เมื่อทรงพระราชทานพรและทอดพระเนตรงานมหรสพจนเสร็จงานก็เป็นเวลาเกือบตีสาม จึงเสด็จกลับพระตำหนัก
กระทั่ง ถึงตำหนักที่ประทับ ณ วังสวนจิตรลดา ก็จะเสด็จเข้าห้องแต่งพระองค์แต่ก่อนจะถึงห้องแต่งพระองค์ได้เสด็จผ่านห้อง โถง และได้ทอดพระเนตรเห็นพานกะไหล่ทอง ซึ่งบนพานใบนั้นมีธูปกระแจะขนาดใหญ่กับเทียนไส้ใหญ่อย่างละ 1 เล่ม แบบเผาศพ พร้อมด้วยกระทงดอกไม้ตั้งอยู่ และยังมีข้อความเขียนไว้ว่า "ดอกไม้ธูปเทียนของข้าพระพุทธเจ้า จมื่นฤทธิ์รณจักร ขอพระราชทานทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายบังคมลาไปปรโลก"
สิ่ง ที่นำมาถวายและข้อความที่เขียนไว้นี้ เป็นแบบอย่างการถวายบังคมทูลลาตายของพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพาร ซึ่งทรงรู้จักคุ้นเคย โดยครอบครัวผู้ตายจะจัดขึ้นทูลเกล้าฯถวาย จากนั้นพระองค์ก็จะโปรดเกล้าฯให้มหาดเล็กรับใช้หรือ มหาดเล็กห้องที่พระบรรทม นำไปจุดบูชาที่หอพระ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎ เกล้าเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรเห็นดังนั้นนก็ให้ฉงนในพระราช หฤทัยไม่ใช่น้อย จึงโปรดฯให้มหาดเล็กเวรเชิญพระราชกระแสไปสอบถาม เพื่อให้แน่แก่พระทัยที่บ้านจมื่นฤทธิ์รณจักร มหาดเล็กก็กลับมาถวายบังคมทูลพระกรุณาว่า "จมื่นฤทธิ์รณจักรถึงแก่กรรมแล้วเมื่อเช้านี้และในตอนเย็นก็ได้รับพระราชทาน น้ำหลวงอาบศพ ทางครอบครัวได้แต่งตัวศพด้วยเครื่องเต็มยศทั้งชุดของทหารรักษาวัง"
เมื่อ ความได้ทราบใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเช่นนั้น พระองค์ทรงเสียพระราชหฤทัย และเสียดายจมื่นฤทธิ์รณจักร เป็นอย่างมาก ถึงกับออกพระโอษฐ์ว่า "จมื่นฤทธิ์รณจักร แกรักฉัน อุตส่าห์นำวิญญาณในเครื่องแบบเต็มยศมาลาฉัน"
"จมื่น ฤทธิ์ รณจักร" ผู้นี้ เป็นนายทหารที่มีตำแหน่งเป็นถึงผู้บังคับกองพันทหารรักษาวัง และราชองครักษ์ เป็นนายทหารที่ล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 6 ไว้วางพระราชหฤทัย ทรงโปรดปรานสนิทสนมด้วยเป็นอย่างมาก ดังนั้นในงานศพของนายทหารท่านนี้ พระองค์จึงโปรดเกล้าฯพระราชทาน พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อเป็นค่าจัดงานศพตลอดงานนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ ครอบครัวจมื่นฤทธิ์รณจักรสุดคณานับ
เรื่องนี้จัดเป็นเรื่องที่เชื่อ ถือได้ เพราะผู้เล่าคือจมื่นมานิตย์นเรศร์มหาดเล็กคนสนิทในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ซึ่งได้เล่าไว้ในรายการรอบเมืองไทยทางวิทยุ ท.ท.ท. ออกอากาศเมื่อหลายสิบปีก่อน