ฆาตกรเกย์สุดโหด กระหน่ำฆ่าเหยื่อกว่า 15 รายอย่างพิสดาร และกินเนื้อเหยื่อแทนข้าว

เรียบเรียงโดย Clipmass.com




ถ้าพูดถึงฆาตกรโรคจิตที่ก่อคดีได้สั่นประสาทมากที่สุด หนึ่งในนั้นคงต้องมี เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ (Jeffrey Dahmer) เขาเป็นเกย์ที่ก่อคดีฆาตกรรมอันโด่งดัง ที่นักจิตวิทยาอาญาให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ในเรื่องของการเลี้ยงดูบุตรและสาเหตุของความผิดปกติของการเสพติดการกินเนื้อคน 




 

 

 

โดยเรื่องราวความเป็นมาของ เจฟฟรีย์ นั้นเริ่มต้นจากความวิปลาสและจบชีวิตลงอย่างวิปริต โดยเจฟฟรีย์เสียชีวิตด้วยการถูกฆ่าอย่างทารุณด้วยการ "ถูกสอดด้ามไม้กวาดยาวเกือบ 3 ฟุต ทะลวงเข้าทวารหนัก" พร้อมทั้งกระหน่ำตีด้วยด้ามเหล็กเครื่องออกกำลังกายจนสมองแหลกเหลวและทำให้เขา "ตายคาที่" และแม้ว่าเขาจะตายไปจากโลกนี้แล้ว แต่เรื่องราวโรคจิตพิสดารของเขายังกลายเป็นหนึ่งในเรื่องเล่าสยองขวัญมาจนปัจจุบันนี้




 

 

 

เรื่องจริงอันน่าสยดสยองเรื่องหนึ่งถูกเปิดเผยขึ้นในคืนวันที่ 22 กรกฎาคม ปี 1991 เมื่อตำรวจสายตรวจแห่งเมืองมิลวอกี้ ได้เข้าตรวจสอบห้องพักหมายเลข 213 ของอ็อกฟอร์ด อพาร์ทเม้นท์ ทันทีที่ย่างกรายเข้าไป พวกเขาได้พบกับห้องพักที่สะอาดเอี่ยม แต่มีกลิ่นเหม็นเน่าอย่างร้ายกาจ ผนังห้องประดับด้วยภาพถ่ายของศพที่ถูกกระทำอย่างวิปริต ในตู้เย็นเต็มไปด้วยศีรษะมนุษย์ หม้อทำกับข้าวมีแขนขามนุษย์ถูกตุ๋นจนเปื่อย และเครื่องตกแต่งที่ทำขึ้นจากหัวกะโหลก เจ้าของห้องคือ นายเจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ ผู้ช็อกโลกด้วยฉายา “ฆาตกรกินคน”




 

 

 

โดยเจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ เกิดเมื่อ 21 พฤษภาคม 1960 ในครอบครัวที่ร่ำรวยเเละการศึกษาสูง เขาเป็นบุตรชายคนโตของ ไลโอเนลและจอยส์ ดาห์เมอร์ ซึ่งในขณะนั้น ไลโอเนลผู้เป็นพ่อยังเป็นนักศึกษาในมหาลัยอยู่ ซึ่งภายหลังไลโอเนลได้กล่าวในหนังสือของเขาว่า "ในตอนนั้น พวกผมคงยังไม่พร้อมจะมีลูก" จอยส์แพ้ท้องอย่างรุนแรงและกินยาต่างๆ วันละ 26 เม็ด 




 

 

 

หลังจากที่เจฟฟรีย์เกิดมา ไลโอเนลก็ทุ่มตัวให้กับการเรียนจนได้ปริญญาบัตรดอกเตอร์ด้านการวิจัยเคมีในปี 1966 ทางด้านจอยส์นั้น จากเดิมที่มีอาการประสาทอ่อนๆ สภาพจิตใจของเธอก็ไม่ปกตินักมาตลอด เนื่องจากความเครียดจากการเลี้ยงบุตร และมีการทะเลาะกับไลโอเนลบ่อยครั้ง เมื่อเธอท้องลูกคนที่สองก็ทานยาจำนวนมากอีก และต้องนอนอยู่เกือบตลอดเวลา วัยเด็กของเจฟฟรีย์จึงเติบโตมาพร้อมกับมารดาซึ่งมี อาการฮิสทีเรีย และบิดาซึ่งยุ่งอยู่กับการวิจัยจนไม่ได้ใส่ใจครอบครัว


 


 

 

 

เจฟฟรีย์ในวัยเด็กเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวและชอบอยู่คนเดียวในป่าใกล้บ้านมากกว่าออกไปเล่นกับเด็กคนอื่น เขาติดใจในชุดทดลองวิทยาศาสตร์ที่พ่อซื้อให้ และเอาศพของสัตว์ตัวเล็กๆ มาละลายด้วยกรดหรือดองฟอร์มาลีนบ่อยๆ




 

 

 

เมื่ออายุได้ 4 ปี เจฟฟรีย์ สนใจในงานอดิเรกของพ่อเป็นพิเศษ นั่นคือการสะสมกระดูกและชิ้นส่วนของสัตว์สตาฟ เขาชอบเล่นโครงกระดูกแทนการเล่นตัวต่อพลาสติก พออายุได้ 6 ปี เจฟฟรีย์ต้องเข้าผ่าตัดด้วยโรคอัณฑะไม่เท่ากัน และหลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นเด็กขี้อายและเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง จนกระทั่งอายุได้ 15 ปี เขาเริ่มมีงานอดิเรกแปลกๆ คือ ชอบสะสมอวัยวะของสัตว์ที่ตายแล้วโดยดองไว้ในถังพลาสติก บางครั้งก็เดินเก็บซากสัตว์มาฝังไว้ในสุสานส่วนตัว หรือตัดหัวสุนัขมาเสียบไม้เล่น




 

 

 

เมื่อเข้าชั้นมัธยม เจฟฟรีย์ถูกจับตามองว่ามีไอคิวสูง แต่เนื่องจากสภาพจิตใจที่ไม่ปกตินักและการขาดสมาธิ ทำให้ผลการเรียนจึงไม่ดีเท่าที่ควร หนำซ้ำเขายังก่อเรื่องมากมายจนถูกตีตราว่าเป็นเด็กมีปัญหา และในขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ของบิดามารดาก็แย่ลงเรื่อยๆ จนมีการใช้เชือกแบ่งอาณาเขตในบ้านก่อนที่ทั้งสองจะหย่ากัน 




 

 

 

เมื่อเจฟฟรีย์ มีอายุได้ 18 ปี นั่นทำให้เขาอ้างว้างยิ่งขึ้น เขาเริ่มออกเที่ยว ดื่มเหล้า ติดยาเสพติด และต้องถูกพักการเรียน สร้างความเป็นทุกข์ให้กับผู้เป็นพ่ออย่างมาก ปีนั้นเองที่เขาได้ฆ่าคนเป็นครั้งแรก



ในช่วงนี้ เจฟฟรีย์กำลังจะเรียนจบชั้นมัธยม น้องชายของเขาไปอยู่กับแม่ที่ย้ายออกไปแล้ว บ่อยครั้งที่ในบ้านจะมีเขาอยู่เพียงลำพัง และในขณะเดียวกันเจฟฟรีย์ก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเป็นเกย์ เขากลุ้มใจ ด้วยขนาดเพื่อนยังไม่มีเลย แล้วจะไปหาคนรักมาจากไหน เจฟฟรีย์เริ่มจินตนาการถึงคนรักในความคิด..คนรักที่ไม่ทรยศ ไม่ต่อล้อต่อเถียงและไม่หนีไปจากเขา ซึ่งภาพในจินตนาการนั้นยิ่งนานก็เหมือนศพมากกว่าคนเป็นๆ เขารู้ดีว่าตัวเองไม่ชอบผู้หญิงแต่ชอบผู้ชายด้วยกัน และชอบถึงขั้นที่จะเสพเซ็กซ์ด้วยอย่างเมามัน และเขาเองก็ไม่อาจระงับใจได้เมื่อพบกับหนุ่มๆ หรือเด็กชายหน้าตาดีที่ถูกอกถูกใจของเขาเหลือเกิน



ท้ายที่สุดเขาคิดว่าการเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยน่าจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น จึงได้หาทางเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตท ยูนิเวอร์ซิตี้ (Ohio State University) ซึ่งก็สร้างความรู้สึกดีๆ ให้กับเขาแค่เทอมแรกเทอมเดียวที่เข้าเรียนเท่านั้น เจฟฟ์ขอดร็อปการเรียนในเทอมต่อไป และไม่ได้กลับไปเรียนอีกเลยหลังจากนั้น และเป็นเรื่องที่ทำให้พ่อของเขารู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก




 

 

 

เจฟฟ์นั้นเป็นฆาตกรโหดอยู่แล้วหลังจากมีประสบการณ์ร้ายๆ สะสมเพิ่มมากขึ้นทุกที แต่ในช่วงปี ค.ศ. 1991 นั้นเป็นช่วงที่เขากระหน่ำสังหารเหยื่อมากกว่าครั้งไหนๆ และถือเป็นการสร้างสถิติใหม่ รวมทั้งทำลายสถิตินักฆ่าต่อเนื่องรายอื่นๆ อย่างยับเยินด้วยการฆ่าหนึ่งศพต่อหนึ่งสัปดาห์ เขายังคงออกล่าและสังหารเหยื่อต่อไป ร่างของเหยื่อจะถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ ราดด้วยน้ำกรดและน้ำยาเคมี เนื้อถูกย่อยสลาย ส่งกลิ่นร้ายกาจเช่นเดียวกับกระดูกที่ถูกกัดจนเป็นสีดำ จากนั้นก็เก็บมาดูเล่น ยังมีกะโหลกที่ถูกทาสีเทาและองคชาตที่ดองเก็บไว้ ในโหลช่วยเพิ่มความสุนทรีย์ยิ่งขึ้น และเพื่อความสะใจ เขาก็เริ่มกินศพด้วย หลังจากฆ่าปาดคอแล้วผ่าท้องศพในห้องน้ำ ข่มขืนศพ เนื้อส่วนหนึ่งถูกนำมาทำเป็นสเต็ก เขาใช้ยานอนหลับกับเหยื่อเพราะกลัวการปฏิเสธจากอีกฝ่าย และเพื่อจะได้มาซึ่งคนรักที่ไม่ทรยศ ไม่ปฏิเสธและไม่หนีไปไหน




 

 

 

ต่อมาเจฟฟรีย์ก็วิวัฒนาการขึ้นไปอีกขั้น เขาตัดสินใจจะสร้างซอมบี้ขึ้นมาด้วยการผ่าตัดสมอง โดยการให้ดื่มยานอนหลับแล้วเขาก็เจาะศีรษะด้วยสว่านแล้วกรอกกรดเกลือลงไปในสมอง เหยื่อตื่นขึ้นมาร้องโวยวาย เขาจึงบีบคอฆ่าทิ้งเสีย บางรายเขาตัดหัวของเหยื่อมาต้มในหม้อจนหนังหัวหลุดออก และนำมาทาสีให้เป็นสีเทา จากนั้นก็ตั้งไว้ดูเล่นในห้อง บางครั้งครึ้มอกครึ้มใจ ก็สำเร็จความใคร่กับหัวกะโหลกนั้นด้วย จนกระทั้งยุติกับเหยื่อรายสุดท้ายในคืนวันที่ 22 กรกฎาคม 1991




 


 

 

 

ท่ามกลางหลักฐานต่างๆ ที่พบนั้น สิ่งที่ยืนยันว่าเจฟฟ์ "กินเนื้อ" เหยื่อแต่ละคนในลักษณะที่ไม่ใช่ "แค่ชิม" แต่เป็นการกินกันเป็นหลักเลยก็คือจำนวนชิ้นเนื้อมากมายที่ถูกหั่นและแล่เพื่อนำไปเก็บไว้ในตู้เย็น แสดงว่าเจฟฟ์มี "อาหารหลัก" เป็น "เนื้อมนุษย์" และคาดว่าคงทำแบบนี้มาแล้วหลายปี


 


 


 

 

 

"ดิฉัน แอน ชวาร์ทซ์ ผู้สื่อข่าว รายงานสดจากออกซ์ฟอร์ด อพาร์ตเมนต์ ห้อง 213 มิลวอกี 

ขอย้ำว่าดิฉันมาถึงที่นี้เป็นคนแรก ขณะที่เจ้าหน้าที่ยังไม่กั้นเป็นพื้นที่เขตห้ามเข้า 

จากที่ได้เดินไปยังห้องหมายเลข 213 ดิฉันพบว่าภายในห้องเล็ก ๆ 

สะอาดเรียบร้อยมาก ตั้งแต่พื้นเตียงนอนเลยที่เดียว แม้แต่ตู้ปลาก็ใสสะอาด

ตัดกับกลิ่นเหม็นเน่าที่ตลบอบอวลไปหมด ที่มาของกลิ่นนี้ พบว่าเป็นตู้เย็นที่ใส่ศีรษะมนุษย์ไว้ถึง 3 หัว 

ผลึกไว้ในถุงพลาสติกอย่างแน่นหนา เจ้าของห้องพยายาม

ดับกลิ่นนี้ด้วยการใส่โซดาปิ้งขนมปังเอาไว้หลายกล่องด้วยกัน 

นอกจากนี้เมื่อเปิดฝาดูในหม้อทำกับข้าวก็พบมือ

และอวัยวะเพศชายที่ถูกสับเป็นชิ้นๆ และเริ่มเน่าเปลือยแล้วด้วย

ภายในห้องน้ำมีกะโหลกศีรษะ 2 หัววางไว้บนชั้น มีเหยือกแก้วใส่อวัยวะเพศชายดองไว้ด้วยฟอร์มาลดีไฮด์ 

มีภาพโพลารอยด์จำนวนมากในท่วงท่าต่างๆ ของเหยื่อที่เสียชีวิต มีทั้งภาพหัวคนตัดสดๆ วางอยู่ในอ่างล้างจาน 

ภาพลำตัวที่ถูกตัดตั้งแต่คอลงไปถึงต้นขา รูปกระดูกเชิงกราน บางภาพเป็นรูปเหยื่อที่พันธนาการเอาไว้ก่อนเสียชีวิต 

ดิฉันได้ยินเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนพูดว่า นี้เป็นคืนนรกแตกโดยแท้"




 

ถังกรดเกลือของเจฟฟรีย์ หลังจากเขาฆ่าแล้วก็ละลายด้วยกรดเช่นทุกที  




 

 

 

ผู้พิพากษาตัดสินว่า ดาห์เมอร์ผิดจริงจากจำนวนเหยื่อ 15 ราย (เชื่อกันว่าตัวเลขเหยื่อจริงสูงกว่านี้) หลังจากนั้น 2 วัน บรรดาญาติของเหยื่อตางรอกันประหารชีวิตดาห์เมอร์ เเต่กฎหมายของรัฐวิสคอนซินไม่มีการลงโทษประหารชีวิต เขาถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 957 ปี มีการหาสาเหตุกันว่าอะไรดลใจให้ดาห์เมอร์ก่อเหตุฆาตกรรม อันน่ากลัวนี้ได้ ดาห์เมอร์ กล่าวว่าเขากำลังสร้าง "ทาสทางเพศผู้ซื่อสัตย์" เขาฆ่าเหยื่อเพราะไม่ต้องการให้เหยื่อไปจากเขานั่นเอง จิตแพทย์กล่าวว่า เขาอาจเป็นคน 3 บุคลิก อันเกิดจากความรู้สึกโดดเดี่ยวและไม่มั่นคงในวัยเด็ก




 

 

 

25 พฤศจิกายน 1994 เวลา 9.11 น. นักโทษชายเจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ทำความสะอาดห้องน้ำใกล้กับโรงยิมออกกำลังกาย เมื่อเงยหน้า แว่บหนึ่งเขาก็เห็นแท่งเหล็กที่ถอดจากเครื่องออกกำลังกายพุ่งเข้ามาหา มันทิ่มเข้าไปในกะโหลกศีรษะเต็มแรง ด้วยน้ำมือของนักโทษคู่อริ....เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ ตายคาที่




 

นี่คือ หนังที่สร้างจากเรื่องจริงของ Jeffrey Dahmer




ข้อมูลและภาพประกอบจาก  

 


Credit: http://pantip.com/topic/33275593
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...