เปิดตำรับยาดังในอดีต

ปัจจุบันนี้วิทยาการต่างๆก้าวหน้าไปเร็วมากในแทบทุกด้าน ความรู้ทางการแพทย์และอื่นๆที่เกี่ยวเนื่องกันก็เป็นอีกสาขาหนึ่งที่พัฒนาไม่น้อยไปกว่าด้านอื่นๆ แต่กว่าจะถึงวันนี้ ก็ต้องผ่านลองผิดลองถูกมามาก ยาหลายขนานในอดีตที่เคยใช้รักษาอาการป่วยไข้ มาถึงวันนี้กลายเป็นสารต้องห้ามไปก็มาก วันนี้ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลโดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนจะพาท่านไปดูกันว่าในอดีตมีอะไร “น่ากลัวๆ” ที่ถูกนำมาใช้เป็นยารักษาคนบ้าง

ยาอี หรือ Ecstasy

ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2  มียาเสพติดที่ออกฤทธิ์กล่อมประสาท 2 ชนิดที่ถูกนำไปใช้เป็นยาบำบัดอาการทางจิต สองชนิดที่ว่าคือ LSD (Lysergic acid diethylamide) และ ยาอี หรือ Ecstasy (Methylene dioxy meth amphetamine)

ระยะแรกผู้ที่นิยมใช้สารนี้คือกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย ต่อมาการเสพก็แพร่กระจายออกไปสู่คนกลุ่มอื่นๆ เนื่องจากหาซื้อง่าย เพราะมีขายกันทั่วไปเหมือนกับยาแก้ปวดที่ขายกันในยุคนี้ แต่กลุ่มผู้เสพที่สำคัญคือ นักดนตรีและพวกฮิปปี้ ซึ่งกว่าจะรู้ซึ้งว่ามันมีโทษมากกว่าคุณ ก็สายไปเสียแล้ว เพราะต่อมาผู้เสพก็เพิ่มความหลากหลายมากขึ้นอีก ทั้ง กัญชา แอมเฟตามีน และเฮโรอีน จนทำให้ยาเสพติดกลายเป็นปัญหาระดับชาติของสหรัฐฯ และลุกลามออกไปเป็นปัญหาระดับโลกในที่สุด

LSD ที่ทำมาในรูปของกระดาษ มีลวดลายต่างๆ ใช้อมให้ละลาย

 

เฮโรอิน ในยุคที่เป็นยาแก้ปวดถูกกฎหมาย

ก่อนหน้า ที่จะใช้ LSD เป็นยา ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 บริษัทผู้ผลิตเคมีภัณฑ์และยารายใหญ่ของเยอรมนี ได้ผลิตยาแก้ไอสูตรใหม่ขึ้นมา แต่ผลพลอยได้ที่ทำเงินมากกว่าการใช้เป็นยาแก้ไอคือ ฤทธิ์ในการระงับอาการปวด เริ่มแรกยาที่ว่านี้จะใช้ชื่อว่า Bayer Aspirin แต่ผู้บริหารไม่เห็นด้วย จึงเปลี่ยนเป็นชื่อ เฮโรอิน (Heroin) และออกวางจำหน่ายที่ประเทศต่างๆ ในยุโรปเมื่อปี 1898 สามารถหาซื้อตามร้านขายยาทั่วไปได้ จากนั้นจึง วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา เฮโรอิน ได้รับการรับรองจากสมาคมแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกาในปี 1907 แต่เพียงปีสองปีหลังการวางตลาด ก็มีรายงานการติดยาออกมาเรื่อยๆ จนในที่สุดบริษัทจึงเลิกการผลิตเฮโรอินในปี 1913 อย่างไรก็ดี หลังจากยาเฮโรอินวางตลาดแล้วหนึ่งปี ยาแก้ปวดแอสไพรินจริงๆที่ไม่ทำให้ติดก็ผลิตออกจำหน่าย

สารหนู (Arsenic) แร่สีเงินชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันดีมาตั้งแต่โบราณ และแพร่หลายไปในทุกทวีป ตามธรรมชาติสารหนูจะปะปนอยู่กับแร่ชนิดอื่นๆ เช่น แร่เงิน ทองแดง โคบอลต์ ทองคำ ตะกั่ว เป็นต้น มีน้อยมากที่พบแบบเสรี

 

ฉลากและขวดยา Fowler's Solution ที่มีสารหนูเป็นตัวยาสำคัญ

ชาวกรีกและชาวโรมันใช้สารหนูแดงและสารหนูเหลืองซึ่งเป็นซัลไฟด์ทำสีเมื่อต้องการสีแดงและสีเหลือง และใช้สารหนูมาเป็นองค์ประกอบของยารักษาโรค เช่นเดียวกับชาวจีน ที่ใช้สารหนูเป็นยาโดยตรงหรือเป็นส่วนผสมของยา ประเทศอังกฤษในสมัยวิกตอเรีย สารหนูเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางด้วย ช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ไปจนถึงกลางศตวรรษที่ 19 มียาชื่อ Donovan’s Solution ที่ใช้รักษาอาการปวดข้อต่อตามร่างกายและโรคเบาหวาน และยา Fowler’s Solution ที่ใช้รักษาโรคหลายโรค ได้แก่ มาลาเรีย ซิฟิลิส ซึ่งยาชนิดนี้ถูกใช้ต่อเนื่องมานาน จนกระทั่งเมื่อมีการค้นพบยาเพนนิซิลีน เมื่อปี ค.ศ.1928 นอกจากนั้น สารหนูยังเป็นส่วนผสมของยารักษาโรคอื่นๆอีกมายมาก ที่สำคัญคือ ใช้รักษาโรคมะเร็งมานานหลายร้อยปี จนกระทั่งถูกห้ามเมื่อไม่นานมานี้ เนื่องจากพบว่า ตัวมันเองก็เป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งได้ด้วยเช่นกัน

มูลสัตว์นั้นมีประโยชน์มากมาย อย่างที่เห็นชัดๆคือ มูลวัวและหมูซึ่งใช้เป็นปุ๋ยได้เป็นอย่างดี ที่อินเดียชาวบ้านจะเอามูลวัวปะไว้ตามผนังบ้าน เพื่อทิ้งให้แห้ง เมื่อแห้งแล้วก็จะไปใช้เป็นเชื้อเพลิงได้อย่างดี ในศตวรรษที่ 17 แพทย์ชาวอังกฤษใช้มูลไก่เป็นยาแก้ผมร่วงผมบางไปจนถึงหัวล้าน และที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นคือ ยาแก้ระคายคอที่มีส่วนผสมของมูลสุนัข ซึ่งใช้กันประมาณ ค.ศ.1650-1850 ส่วนอียิปต์โบราณนั้นมีวิธีคุมกำเนิดโดยใช้มูลจระเข้ใส่เข้าไปในช่องคลอด ซึ่งคล้ายกับชนชาติอื่นๆในแอฟริกา ที่ใช้มูลช้างเพื่อวัตถุประสงค์เดียวกัน

พ่อค้าขายมัมมี่ ภาพถ่ายในปี 1875

สารอีกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้ทำยารักษาโรคกันมากในอดีตคือ ปรอท (Mercury) ไม่ว่าจะเป็นโรคยอดนิยมอย่างซิฟิลิส หรือโรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ชะลอวัย และอื่นๆอีกมากมาย ปรอทนั้นเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่ยุคจิ๋นซีฮ่องเต้ นักประวัติศาสตร์บางคนคิดถึงความเป็นไปได้ว่า พระองค์อาจจะสิ้นพระชนม์เพราะสาเหตุจากการกินปรอทที่เข้าใจว่าเป็นยาอายุวัฒนะเข้าไปจำนวนมากนั่นเอง ในศตวรรษที่ 19 ปรอทในรูปของ ยาเม็ดเป็นที่นิยมมาก เพราะแม้กระทั่งประธานาธิบดีลินคอร์นของสหรัฐฯก็เคยใช้อยู่เป็นประจำในบ้านเรา เป็นที่ทราบกันดีว่าปรอทถูกใช้ผสมในครีมหน้าขาว ครีมหน้าเด้ง และครีมลดริ้วรอยต่างๆมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งทางกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศเป็นสารต้องห้าม และจับผู้จำหน่ายสินค้าที่มีส่วนผสมสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพดังกล่าวเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านไปนี้เอง แต่ปัจจุบันนี้เข้าใจว่ายังคงมีเครื่องสำอางราคาถูกที่มีส่วนผสมของปรอทจำหน่ายอยู่ไม่น้อย

ในช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นยุคที่การคุมอาหาร การลดน้ำหนักบูมมากยุคหนึ่ง ไม่แพ้ยุคปัจจุบันนี้ มีผลิตภัณฑ์ต่างๆออกมามากมายเชิญชวนให้คนใช้ ที่น่าตกใจมากอย่างหนึ่งคือ การกินไข่พยาธิตัวแบนของวัวเข้าไปเพื่อช่วยลดน้ำหนัก โดยทำมาในรูปของยาเม็ด เมื่อเข้าไปอยู่ในท้องแล้วไข่ก็จะฟักออกเป็นตัว แล้วโตขึ้นๆจากอาหารที่เรากินเข้าไป เมื่อผู้ที่กินพยาธิเข้าไปสามารถลดน้ำหนักตัวได้ตามต้องการแล้ว ก็ให้กินยาฆ่าพยาธิแล้วถ่ายออกมา

เนื่องจากพยาธิชนิดนี้สามารถยาวได้ถึง 9 เมตร ดังนั้นถึงมันจะกินจุ ช่วยลดน้ำหนักตัวได้ระดับหนึ่ง แต่ปัญหาคือ ถ้าปล่อยให้มันโตขึ้นมากๆ และฆ่า มันได้ไม่หมด อาการที่จะตามมาคือ ปวดหัว ตาพร่ามัว ไขสันหลังอักเสบ ลมบ้าหมู ฯลฯ

ขวดไม้บรรจุผง Mumia

 

ในเมืองไทยของเรา มียาที่เรียกว่า ยาผีบอก จะเป็นเพราะได้สูตรมาจากผีจริงๆ หรือเพราะไม่รู้ที่มาที่ไป หรือผสมไปแบบมั่วๆ ก็น่าจะเป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ที่ยุโรปและตะวันออกกลางในยุคกลาง มียาบางอย่างที่มีส่วน ผสมของ “ผี” จริงๆ ส่วนผสมที่ว่านี้เรียกว่า Mumia หรือ Mummia มันคือผงที่บดมาจากซากมัมมี่ เนื่องจากซากมัมมี่นั้นถูกรักษาไว้ด้วยสารบางอย่างที่เรียกว่า Asphatum ซึ่งสารชนิดนี้เองที่คนยุคนั้นเชื่อว่าเป็นของดี แต่ไม่สามารถสกัดออกมาได้ จึงนำเอาซากมัมมี่ไปบดผสมเป็นยา (และผสมทำเป็นสีที่ได้รับความนิยมมากด้วย) ยาขนานนี้เป็นยาครอบจักรวาล ใช้รักษาตั้งแต่อาการปวดหัว ไอ สมานแผลในท้อง และยังสามารถใช้ถอนพิษบางชนิดได้ด้วย จนกระทั่งแพทย์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งได้ศึกษาและทดสอบผงมัมมี่อย่างจริงจัง เขาเขียนผลการทดสอบออกมาว่า ยานั้นนอกจากจะไม่มีอะไรดีแล้ว มันยังจะทำให้เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ทำให้ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น และทำให้อาเจียนอย่างหนักด้วย หลังจากนั้น ยาผงมัมมี่จึงเสื่อมความนิยมของผู้คนอย่างรวดเร็ว

วันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า อะไรที่กำลังฮิตกำลังฮอตสำหรับคนยุคนี้ ก็อาจกลายเป็นของต้องห้าม เช่นเดียวกับยาที่เคยดีเคยเด่นดังมาแล้วในอดีตเหล่านั้นก็ได้.

Credit: http://www.neutron.rmutphysics.com/science-news/index.php?option=com_content&task=view&id=2697&Itemid=4
14 ก.พ. 58 เวลา 15:32 1,410
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...