ผมคือแชมป์พรีเมียร์ลีก..!!!!!

สรุปดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก

29 ประตู : ดิดิเยร์ ดร็อกบา(เชลซี)

26 ประตู : เวย์น รูนีย์(แมนฯยูฯ)

24 ประตู : ดาร์เรน เบนท์(ซันเดอร์แลนด์)

23 ประตู : คาร์ลอส เตเบซ(แมนฯซิตี้)

22 ประตู : แฟร็งค์ แลมพาร์ด(เชลซี)

18 ประตู : เฟร์นานโด ตอร์เรส(ลิเวอร์พูล),เจอร์เมน เดโฟ(สเปอร์ส)

15 ประตู : เชสก์ ฟาเบรกัส(อาร์เซนอล),เอ็มมานูเอล อเดบายอร์(แมนฯซิตี้)

13 ประตู : หลุยส์ ซาฮา(เอฟเวอร์ตัน),อักบอนลาฮอร์(แอสตัน วิลล่า)

 

สรุปโควต้า+สถิติที่น่าสนใจ พรีเมียร์ลีก

แชมป์ : เชลซี

รองแชมป์ : แมนฯ ยูไนเต็ด

ตกชั้น : เบิร์นลีย์,ฮัลล์ ซิตี้และปอร์ทสมัธ

โควต้าแชมเปี้ยนส์ ลีก : เชลซี,แมนฯยูฯ,อาร์เซนอล,สเปอร์ส(ต้องคัดเลือก)

โควต้ายูโรป้า ลีก : แมนฯซิตี้,แอสตัน วิลล่า,ลิเวอร์พูล

สถิติ

ยิงมากที่ สุด : เชลซี(103 ประตู)

ยิงน้อยที่ สุด : วูลฟ์(32 ประตู)

เสียน้อยที่ สุด : แมนฯยูฯ(28 ประตู)

เสียมากที่ สุด : เบิร์นลีย์(82 ประตู)

เสมอมากที่ สุด : สโต๊ค(14 นัด)

ยิงในบ้าน มากที่สุด : เชลซี(68 ประตู)

ยิงนอกบ้าน มากที่สุด : เชลซี,อาร์เซนอล(35 ประตู)

เสียในบ้าน น้อยที่สุด : แมนฯยูฯ,สเปอร์ส(12 ประตู)

เสียนอกบ้าน มากที่สุด : วีแกน(55 ประตู)

คลีนชีตมาก ที่สุด : แมนฯยูฯ(18 เกม)

ดาวซัลโว : ดร็อกบา (29 ประตู)

แอสซิตส์มาก ที่สุด : แลมพาร์ด(17 ประตู)

ฟาว์ลมากที่ สุด : เดวีส์(โบลตัน,98 ครั้ง)

สูงที่สุด : สเตฟาน ไมเออร์โฮเฟอร์(วูลฟ์,202 ซม.)

เตี้ยที่สุด : เอมิเลียโน่ อินซัว(ลิเวอร์พูล,165 ซม.),อารอน เลนนอน(สเปอร์ส,165 ซม.),อดัม รีด(ซันเดอร์แลนด์,165 ซม.)

 

_________________
ถ้าข่าวหรือเนื้อหามีข้อผิดพลาดประการใด รบกวนช่วยแจ้งด้วยครับ ขอบคุณครับ

 

 

4 สถิติใหม่ด้วยน้ำมือของอันเช่

มาปีแรกนอกจากพาเชลซีเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกหนแรกในรอบ 4 ปีและหยุดไม่ให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดสร้างสถิติได้แชมป์ติดต่อกัน 4 หนติดรวมทั้งเถลิงนำเดี่ยวแชมป์ลีกรวม 19 สมัยแล้วคาร์โล่ อันเชล็อตติสร้างสถิติให้ตัวเองและลูกทีมอะไรบ้าง

- ทีมแรกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่ยิงเกิน 100 ลูกในฤดูกาลเดียว
แชมป์อังกฤษทีมสุดท้ายที่ยิงเกินร้อยคือสเปอร์สในฤดูกาล 1960-61 โดยกดไป 102 ประตูน้อยกว่าเชลซีหนึ่งลูกและแม้"ไก่เดือยทอง"ทีมเดิมจะทำสถิติยิง 111 ประตูในฤดูกาล 1962-63 แต่ก็ลงเล่นมากถึง 42 เกมต่อฤดูกาลกันเลยทีเดียว


- โค้ชชาวอิตาลีคนแรกที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก
คาร์โล่ อันเชล็อตติเป็นโค้ชอิตาลีคนที่สามของ"สิงห์ไฮโซ"ต่อจากจิอันลูก้า วิอัลลี่และเคลาดิโอ รานิเอรี่แถมยังเป็นกุนซือคนที่สามที่นำโทรฟีย์แชมป์ลีกมาสู่เดอะ บริดจ์โดยก่อนหน้านั้นมีสองคนที่ทำได้คือเทด เดร็คและโจเซ่ มูรินโญ่


- ดิดิเยร์ ดร็อกบายิงมากสุดทุกรายการ
"ไอ้แมลงสาบ"สร้างสถิติให้ตัวเองด้วยการยิงทั้งฤดูกาล 36 ประตูโดยทำได้ดีกว่าสมัยโจเซ่ มูรินโญ่คุมทีมในปี 2006-07 ที่กดไปมากมาย 33 ลูก


- แฟร็งค์ แลมพาร์ดยิงประตูมากสุดทุกรายการ
เป็นหนแรกในชีวิตที่แลมพาร์ดยิงเกิน 20 ลูกในพรีเมียร์ลีกโดยเบ็ดเสร็จทำได้ 22 ประตูและรวมทั้งฤดูกาลอยู่ที่ 27


แถมอีกสถิติ ให้วีแกน
- วีแกนเป็นเจ้าของสถิติใหม่ที่เสียประตูมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกแล้วไม่ตก ชั้น
วีแกนโดนเชลซียิงกระจาย 8 ลูกในนัดสุดท้ายรวมแล้วโดนเจาะขี้ราด 79 ลูกเป็นนัดเยือน 55 เม็ดโดยมีเพียงเบิร์นลีย์ทีมตกชั้นทีมเดียวที่เสียมากกว่า(แค่ 3 ประตู)

 

 

..........ค่ำคืนแห่งชัยชนะอันแสนหอมหวานที่ฉาบไป ด้วยสีน้ำเงินในสนาม สแตมฟอร์ด บริดจ์ คงทำให้สาวกสิงโตน้ำเงินครามจดจำไปอีกนานว่านี่คือ "แชมเปี้ยนส์" ที่จบลงอย่างสมบูรณ์แบบ และซาบซึ้งที่สุด..

จอห์น เทอร์รี่ ยืนชูถ้วยใบใหญ่สุดของอังกฤษโดยมีลิบบิ้นสีน้ำเงินผูกด้านข้างคือเครื่อง หมายตราตรึงได้ชัดว่า เดอะ วินเนอร์ ประจำปีนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากยอดทีมแห่งลอนดอนที่ชื่อว่า "เชลซี"

ท้าวความถึงแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยแรกในปี 2005 เราได้เห็น แฟรงค์ แลมพาร์ด ยิงประตูขึ้นนำ โบลตัน ไปก่อน 1 - 0 และตามมาด้วยการโชว์เหนืออีกครั้งจาก "แลมพ์" เจ้าเก่าที่หลุดไปล็อคหลบ ยุสซี่ ยัสเคไลเน่น ก่อนจะยิงด้วยซ้ายเข้าไป

หลังจากทำประตูได้ แลมพาร์ด วิ่งไปตรงหลังประตูและแสดงความดีใจให้กับแฟนบอลโดยมี ดิดิเยร์ ดร็อกบา กับ เฟอร์เรร่า วิ่งมาเฮด้วยในระหว่างที่ 2 คนดังกล่าวกำลังวอร์มอยู่ข้างสนามพอดี

เข็มนาฬิกาเหมือนจะวนกลับมาในตำแหน่งเดิมเมื่อ เชลซี เตรียมจ่อจะเป็นแชมป์ลีกของอังกฤษ 2 สมัยติดต่อกันในเกมที่ชนะ โบลตัน ตอนปี 2006.. วันนั้น แลมพาร์ด ยิงประตูใส่ โบลตัน ได้อีกครั้งและวิ่งไปที่จุดเดิมคือหลังประตูเหมือนเมื่อปีที่แล้วก่อนจะชี้ นิ้วลงไปว่า "ตรงนี้.. ตรงนี้ !!"

และแล้วความพยายามอย่างเหนื่อยตลอดฤดกาลก็ทำให้ เชลซี เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกสมัยในแมทที่เปิดบ้านไล่ต้อนปีศาจแดงไปด้วยสกอร์ 3 - 0 จากการโขกของ วิลเลี่ยม กัลลาส พร้อมกับประตูโซโล่เดี่ยวของ โจ โคล และ ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่

ถ้าหากพูดถึงชื่อของบุคคลที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จเมื่อหลายปีก่อนแน่นอน ว่า มูรินโญ่ คือกุนซือระดับตำนานที่สาวก เชลซี ต้องจำไปจนวันตายว่านี่คือนายใหญ่ที่พวกเรารัก และคิดถึงทุกเวลาไม่ว่าแกจะย้ายไปไหน..

จนถึงตอนนี้ คาร์โล อันเชล็อตติ หรือที่แฟนบอลตั้งฉายาให้ว่า "คิงส์ คาร์โล" คือผู้จัดการทีมที่เข้ามาพาทีมเป็นแชมป์ได้ทันทีหลังจากมาทำงานในปีแรกเดิน ตามรอย มูรินโญ่ ทุกระเบียบนิ้ว


ถ้าหากจะบอกว่า "เดอะ สเปเชี่ยล วัน" มีลักษณะการคว้าแชมป์แบบเน้นความรัดกุมและเกมรับไว้ก่อนคงไม่ผิด.. แต่ที่ผิดกลับกลายเป็นไม่ถูกใจเสี่ยหมีเท่าไหร่เพราะเศรษฐีน้ำมันต้องการให้ ทีมของเขาชนะแบบมีสไตล์..

อันเชล็อตติ ถูกตั้งเป้าหมายหลักคือแชมป์ยุโรปที่ทุกคนถวิลหา.. สุดท้ายก็ต้องตกรอบด้วยน้ำมือนายเก่า มูรินโญ่ แต่ก็สามารถทำในสิ่งที่เสี่ยหมีอยากได้ไม่แพ้กันก็คือการเป็นแชมป์แบบไล่ ขยี้คู่แข่งเหมือนที่ได้บอกไปแล้ว

103 คือประตูที่ทำได้ในปีนี้โดยทำลายสถิติเก่าที่ แมนยูไนเต็ด เคยทำไว้ในปี 1999 คือ 97 ประตู.. ผมเชื่อว่าแฟนบอล เชลซี ทุกคนจะต้องรัก คาร์โล อันเชล็อตติ ไม่แพ้ มูรินโญ่ อย่างแน่นอน.. ทั้งความสำเร็จ.. บุคลิกที่เน้นความนิ่งไว้ก่อน..

และสำคัญที่สุดก็คือความอบอุ่นที่โค๊ชชาวอิตาเลี่ยนผู้นี้มอบให้แก่แฟนบอล นั่นเอง..

ก่อนที่เกมนัดสำคัญของฤดูกาลนี้จะเริ่มเตะตัวผมอารมณ์เสียอย่างรุนแรง.. จะดูฟุตบอลนัดตัดสินแชมป์ก็ดูไมได้เพราะท่านคุณแม่ที่เคารพติดละครช่อง 7 เรื่องหงส์ฟ้าอย่างหนัก ตอนอวสารเสียด้วย ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนขอดูบอลยังไงก็ไม่ยอม..

ครั้นจะเปิดคอมดูผ่านโปรแกรม Sopcast ในอินเตอร์เน็ทก็ทำไม่ได้เพราะช่วงนี้อากาศร้อนมาก คนเปิดแอร์และใช้ไฟกันเยอะ ทำให้ไฟตกตลอดเวลาส่งผลให้เน็ทหลุดเป็นละรอกทุก 5 นาที..

สภาพจิตใจแทบจะเหี่ยวเหมือนทิชชูเปียกน้ำเลยต้องทำใจหยิบ MP3 ขึ้นมาเปิด FM99 ตั้งใจฟัง.. สักพักอารมณ์ผมยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่เพราะมีแต่โฆษณาหลังข่าวต้นชั่วโมงจน ผมแทบจะเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซต์รับจ้างข้างบ้านเพื่อที่จะได้รีบไปดูบอลในตลาด ให้ทันก่อนคิ๊กออฟ

แต่สุดท้ายสัญญาวิทยุก็ตัดกลับมาพอดีว่า "เชลซีจ่อจะเป็นแชมป์แล้วครับ.. นิโกล่าส์ อเนลก้า หลุดเดี่ยวขึ้นไปทำประตูออกนำให้กับทีมได้สำเร็จ"

วินาทีนั้นผมนึกอะไรไม่ออกนอกจากอ้าปากกว้างเหมือนลิงชิมแปนซีแล้วตะโกนลั่น บ้านว่า "ไอ้ Here !!!!! ใกล้จะเป็นแชมป์แล้วโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย"

เสียงดังลั่นของผมทำให้พี่ชายแฟนบอลปีศาจแดงที่พึ่งอาบน้ำเสร็จพอดีเดินออก มาด้วยหน้าตาผิดหวังอย่างแรง เพราะพี่ชายผมอุตส่าห์ลงทุนเอาเสื้อ แมนยูไนเต็ด ไปสกรีนเบอร์ข้างหลังเป็นหมายเลข 19 เพราะหมายมั่นว่าคืนนี้แชมป์สมัยที่ 19 จะต้องตกไปอยู่ที่แมนเชสเตอร์

คิ้วของพี่ชายผมขมวดยิ่งกว่าเก่าเมื่อละครหงส์ฟ้าจบและผมรีบกดปุ่มรีโมทไป ช่องทรูสปอร์ต 1 และเห็น แฟรงค์ แลมพาร์ด วิ่งเข้ามายิงจุดโทษพาทีมออกนำ 2 - 0 พอดี.. ผมเลยตะโกนดังลั่นออกมาหยอกล่อพี่ชายอีกครั้งว่า "บะบะ โอบะบะ" ฮา..

จบครึ่งแรกผมยิ้มแก้มปริก่อนคิดในใจว่าถ้าไม่ได้แชมป์ตรูยอมขายศักดิ์ศรีเอา เสื้อแมนยูมาขึ้นหิ้งในห้องนอนกันเลยทีเดียว.. และแน่นอนครับ.. ประตูที่ 3 ของ ซาโลมง กาลู ทำให้พี่ชายผมถึงกับเดินไปชาร์จแบตมือถือแล้วก็เข้าห้องก่อนล็อคประตูปิดไฟ ใส่กลอนทันที..

ผมเฝ้ารอดูว่าเมื่อไหร่ ดิดิเยร์ ดร็อกบา จะทำประตูได้เพราะกำลังแย่งตำแหน่งดาวซัลโวกับ เวนย์ รูนีย์ กันอยู่.. ไม่ช้าหลังจาก อเนลก้า กดดอกที่ 4 เฮียดร็อกปฏิบัติภารกิจโขกตุงตาข่ายเข้าไปจนถึงตอนนี้ 5 ลูกยิงครบร้อยเข้าไปแล้ว !!!

ไม่พอ.. ทีมมาได้จุดโทษอีกครั้ง.. ตอนที่แลมพ์ยิงลูกแรก ดร็อกบา ออกอาการงอนอย่างถึงที่สุด เพราะว่าทีมต้องเน้นผลไว้ก่อน มาหนนี้ แลมพาร์ด ให้ท่านแมลงสาบได้ยิงตามใจชอบแล้วก็ "ปั้ง ปั้ง" บอลพุ่งชนเสาเข้าประตูไปอย่างสวยงามพร้อมกับหนีห่าง รูนีย์ ไปแล้ว 2 ประตู..

ถึงตรงนั้นผมก็พอใจแล้ว ซัดไปครึ่งโหลแบบนี้นอนหลับสบายๆ แบบหายห่วงแน่นอน.. (ซึ้งโคตร)

จนแล้วในที่สุด.. ดร็อกบา ของตรูระเบิดถังขี้อีกครั้งซัลโวคว้าแฮทริกพร้อมดาวซัลโวแน่นอนแล้วทำเอาผม ชูนิ้วขึ้นมาเหมือนขอบคุณพระเจ้าว่าผมคิดถูกแล้วที่ขายเลือดเนื้อให้แก่ สิงโตน้ำเงินคราม(ซึ้งโคตรยิ่งกว่า)

นาทีสุดท้ายของเกมเหล่าสาวกสิงห์บลูได้เฮปิดท้ายกันอีกครั้งจากจังหวะที่ โจ โคล โชว์ความขยันระดับเมพขิงๆ ตามไปฉกบอลมาแล้วเปิดไปเสาสองให้เฮีย แอชลีย์ โคล กระทุ้งด้วยซ้ายเสียบตาข่ายจั๋งหนับๆ 8 - 0

พอเสียงนกหวีดหมดเวลา 90 นาทีดังขึ้นผมลุกจากโซฟาแล้วถอดเสื้อโชว์วันแพคอันแสนสุดเซ็กส์เสื่อม เอ้ยยย เซ็กซี่ ในแบบที่ยั่วยวนคนในครอบครัวว่านี่มันตัวอะไร ?

น้ำตาของผมไหลพรากออกมาอย่างสุดซึ้ง ประทับใจอย่างมากที่ทีมรักของตัวเองเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก อีกครั้งเพราะต้องทนเก็บตัวนั่งดูปีศาจแดงจับจองความสำเร็จมาตลอด 3 ปี

เหล่าบรรดานักเตะและหลูกหลานทั้งหลายโชว์สเต็ปวิ่งสไลด์เข่าไปในสนามให้แฟน บอลได้ร่วมกันดีใจ จะมีก็แต่ลุกชายคนเล็กของ ดร็อกบา นั่นแหละ ดูท่าทางแล้วยังไม่รู้เรื่องว่าเขาทำอะไรกันอยู่..

แต่เด็กน้อยเอ๋ยนายรู้ไหม ? พ่อนายหนะอสูรร้ายตัวจริงเลยหละ ยัดเยียดความปราชัยให้กับทีมยักษ์ใหญ่มานักต่อนัก จงภูมิใจในสิ่งที่พ่อตัวเองทำน๊ะจ๊ะ(T-T)

จอห์น เทอร์รี่ และ แฟรงค์ แลมพาร์ด คือ 2 คนสุดท้ายที่เดินรับเหรียญรางวัลก่อนจะชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกพร้อมกับการ ประกาศศักดาให้คนทั่วโลกรู้ว่า..

ขอโทษครับ หลีกทางที พวกเราคือแชมป์พรีเมียร์ลีก !!!

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

11 พ.ค. 53 เวลา 05:01 5,817 15 116
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...