ฟังนักจิตวิเคราะห์ชื่อดังอธิบาย ภาวะร่วมเพศโดยไม่รู้ตัว! มีจริง ย้ำโรคฮิสทีเรียมีในผู้ชายด้วย...
กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ตามหน้าสื่อทั่วไป ภายหลังมีอดีตพระชื่อดังออกมาเปิดเผยว่าตัวเองมีอะไรกับเพศชายเป็นสิบๆ ครั้ง ทำไปโดยไม่รู้ตัว? นอกจากเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์แล้ว คำถามหลั่งไหลออกมาเป็นสายน้ำทั่วสังคมก็คือภาวะเสียวสะท้านที่ว่ามีบ้างไหมที่ไม่รู้ตัว? หรือว่าจริงๆ แล้วเป็นแค่ข้ออ้าง? ไทยรัฐออนไลน์หาคำตอบมาให้ตามหลักวิชาการ โดยไม่ได้อ้างอิงถึงตัวบุคคล
เรื่องนี้ ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาและที่ปรึกษาโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ นักจิตวิเคราะห์ชื่อดัง กล่าวผ่านไทยรัฐออนไลน์ถึงกรณีมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นโดยไม่รู้ตัวว่าทฤษฎีของจิตวิเคราะห์ระบุว่ามีแนวโน้ม 2 ประการ 1. เสพแอลกอฮอลล์หรือเสพยาเสพติดไป ส่งผลทำให้มีเพศสัมพันธ์แบบใครก็ได้ ยังไงก็ได้แบบไม่รู้ตัว หรือ 2. เกิดขึ้นจากภาวะของจิตใจที่เรียกว่า Hysterical Personality (โรคฮิสทีเรีย)
"จิตวิเคราะห์กรณีนี้ว่า ข้างในคนที่ทำพฤติกรรมแบบนี้อาจจะรู้สึกมีความชอบผู้ชายอยู่แล้ว แต่ยอมรับตัวเองไม่ได้หรือสังคมไม่ยอมรับ ก็เลยต้องเก็บกดไว้ แต่พอจุดหนึ่งเก็บกดไม่อยู่ก็เลยทำไปแบบไม่รู้ตัว หรืออาจเพราะยังอายอยู่ หากไม่ได้รู้สึกอายในเรื่องอย่างนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมาแก้ตัว ออกมาพูดว่าเคยมีเมีย หรือเคยทำอะไรกับผู้หญิงหลายคนก็เหมือนกับพยายามแก้ตัวว่าตนไม่ใช่เพราะเกิดความละอายใจขึ้นมา"
ไม่รู้ตัว... รักษายาก!
นักจิตวิเคราะห์คนดังยังอธิบายอีกว่า ภาวะที่เป็นแล้วไม่รู้ตัวนั้นแก้ไขได้ยากมากกว่าภาวะที่รู้ตัว อย่างรู้ตัวว่าตนเองเป็นเกย์ เป็นไบเซ็กชวล หรือเป็นแค่รสนิยมทางเพศ นั่นถือว่าไม่ใช่เรื่องผิดปกติทางจิต แต่ถ้าเป็นกรณีที่เจ้าตัวบอกว่าทำไปโดยไม่รู้ตัวนั้นถือเป็นเรื่องที่ผิดปกติทางจิต
รสนิยมทางเพศเป็นผลมาจากจิตใจ...
นักจิตวิเคราะห์ชื่อดังกล่าวถึง การมีเซ็กซ์กับเพศเดียวกันโดยไม่รู้ตัว อันตรายหรือไม่ ว่า หากจัดอยู่ในพวก hysterical จะถือเป็นปัญหาเรื่องเพศอย่างเดียว แต่สามารถ เป็นอันตรายได้หากเป็นกรณีแบบ Split Personality (การเป็นคน 2 บุคลิก) ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มของ hysterical ประเภทหนึ่ง เหมือนหนังเรื่อง jekyll and hyde เช่น มีอาการเก็บกดในตอนกลางวันคือไม่ชอบเรื่องเพศ ไม่พูดเรื่องเพศ ไม่แตะต้องและประหม่ากับเพศตรงข้าม แต่เมื่อถึงตอนกลางคืนกลับสำส่อน มั่วเพศ จนถึงขนาดข่มขืนหรือข่มขืนแล้วฆ่าได้เลยทีเดียว ซึ่งนี่จัดอยู่ในกลุ่มของ Dissociative (โรคประสาทดิสโซซิเอชั่น) ซึ่งถือเป็นอีกโรคหนึ่งในกลุ่มโรคฮิสทีเรียซึ่งมีนับร้อยประเภททีเดียว อีกประเภทก็คือ Amnesia (ภาวะความจำเสื่อม) ซึ่งจะไม่รู้ตัวเลย คล้ายกับอาการ Split Personality ที่จะทำไปโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน กลางวันอาจจะถือศีลแต่กลางคืนเป็นอีกแบบหนึ่ง
"ส่วนใหญ่ทฤษฎีฮิสทีเรีย จะเกิดกับผู้หญิง 80-90% ผู้ชายจะเป็นน้อย และคนส่วนใหญ่ก็คิดว่าผู้ชายจะเป็นฮิสทีเรียด้วย ถือเป็นลักษณะเดียวกับเรื่องที่ผู้หญิงเดินละเมอไปหาผู้ชายตอนกลางคืนโดยไม่รู้ตัว หรือละเมอลงไปเดินอยู่กลางถนน คนเหล่านี้ถือว่ายังพูดจากันรู้เรื่องเพียงแต่รับไม่ได้ ร่วมเพศเสร็จก็จำไม่ได้หรือไม่ยอมรับ เป็นปัญหาทางจิต"
เมื่อถามถึงสาเหตุ…? ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการวิเคราะห์จิตบอกว่า เนื่องจากสาเหตุที่เกิดลักษณะอาการดังกล่าวนั้นมีหลายสิบสาเหตุ แต่ที่เห็นในเมืองไทยมากก็คือไม่มีแบบอย่างของผู้เป็นชายจึงกลายเป็นความสับสนทางเพศ ในจิตมนุษย์คนเราต้องแสวงหาแบบอย่างมีเอกลักษณ์ไว้ ตอนเด็กมีแบบอย่างของความเป็นพ่ออยากเลียนแบบพ่อ เพราะเมื่อก่อนหน้าที่เลี้ยงลูกนั้นคนคิดว่าเป็นหน้าที่ของแม่เลยไม่ได้ใกล้ชิดผู้ชาย จึงปรากฏผลว่าเมืองไทยมีเกย์มากที่สุดในโลก มีปัญหาเรื่องรสนิยมทางเพศ เพราะตั้งแต่เด็กแล้วที่ผู้ชายต้องมาอยู่ใกล้ผู้หญิง หรืออยู่ในบ้านก็มีแต่เพศหญิง แม่ อา น้า ยาย คนงานก็เป็นผู้หญิงหมด ไปโรงเรียนยิ่งเป็นเด็กเล็กก็มีแต่ผู้หญิงเห็นแล้วจึงเกิดอยากเลียนแบบ ในโทรทัศน์ก็เจอคนลักษณะกระตุ้งกระติ้ง จึงกลายเป็นการกระตุ้น ปัจจุบันในอินเทอร์เน็ตก็มีแต่เรื่องของเกย์-ตุ๊ดเต็มไปหมด
"ในต่างประเทศเท่าที่เคยสัมผัสมา พวกหนังผู้ใหญ่ก็จะมีแต่ชาย-หญิงร่วมเพศกัน แต่ปัจจุบันก็เปลี่ยนแปลงไป อาจเป็นระหว่างหญิงกับหญิงอะไรทำนองนี้เต็มไปหมด เพราะถูกกระตุ้นจากสังคม ซึ่งไม่ใช่แค่บนโทรทัศน์เท่านั้นแต่ในมือถือก็จะเห็นว่ามีเนื้อหาเหล่านี้เข้าถึงได้อยู่ทั้งนั้น หรือจะเปิดอินเทอร์เน็ตก็มีภาพเหล่านี้เต็มไปหมด เรียกว่าเห็นแล้วก็เกิดมีอารมณ์ได้ ซึ่งอารมณ์เหล่านี้เกิดจากกามารมณ์พูดภาษาแพทย์ก็คือฮอร์โมน และเมื่อมีฮอร์โมนทางเพศเกิดขึ้นก็ต้องกำจัดออกไป ซึ่งจะทำกับใครก็ได้ หากเรายังจิตดีอยู่ก็ต้องอยากกำจัดกับเพศตรงข้าม แต่หากธรรมชาติที่แวดล้อมถูกแปรผันไปก็อาจจะอยากลองของใหม่ๆ หลังจากเคยมีสัมพันธ์กับผู้หญิงมาตลอดก็อาจจะอยากเปลี่ยนเพื่อเพิ่มความตื่นเต้นทางเพศ ซึ่งเรื่องการเปลี่ยนความรู้สึกทางเพศนี้อาจเกิดขึ้นได้เมื่อตอนอายุมากแล้ว หรือบางคนอาจจะยังมีความอายอยู่ เลยต้องทำเป็นไม่รู้สึกตัวจนกลายเป็นไม่รู้ตัวจริงๆ"
ถามถึงวิธีการรักษา...? นักจิตวิทยาและที่ปรึกษาโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒบอกว่า หากอายุมากแล้วก็รักษาได้ ไม่ว่าจะแก่หรือหนุ่มก็สามารถรักษาได้ แต่อย่างที่กล่าวว่า ศาสนานั้นมีส่วนช่วยได้มาก เมื่อขาดเอกลักษณ์ของชายก็อาจตัดสินใจไปเป็นนักบวชเพราะพระส่วนใหญ่ของแต่ละศาสนานั้นคือเพศชาย กลายเป็นอีกหนึ่งฮีโร่ที่ทำให้คนเหล่านั้นเกิดความรู้สึกอยากเป็นเหมือนฮีโร่เหล่านั้นซึ่งไม่ต้องแสดงออกทางเพศได้ หรือเราอาจจะไม่มีฮีโร่ในด้านดังกล่าวแต่ก็เป็นไอดอลได้ คืออาจจะไม่ได้ชื่นชอบมากนักแต่ก็อยากเป็นเหมือนเขา
"คนส่วนใหญ่ในศาสนาอื่นที่มีปัญหาเช่นนี้อาจจะถึงกับหนีไปบวช แต่โดยทั่วไปในกลุ่มผู้สูงอายุนั้นมีธรรมชาติคือกามมารมณ์จะอ่อนแอลง เป็นได้น้อย ร่วมเพศได้ยาก อาจจะไม่แข็งตัว อ่อนตัวหรือเสื่อมสมรรถภาพทางเพศไปเลย แต่หากยังหมกมุ่นอยู่และกลัวว่าจะกระทำไม่ได้ก็อาจจะหันมาหาเพศเดียวกัน อย่างเช่นเพศชายด้วยกัน ซึ่งแค่โอบกอด จูบ ก็สร้างความสุขได้แล้ว ซึ่งทำให้อีกฝ่ายไม่รู้สึกว่าหากมีอะไรกันแล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกประจานเหมือนการมีเพศสัมพันธ์กับต่างเพศ เรื่องนี้เลยทำให้เกิดมีคนกลุ่มใหญ่ที่ไม่ต้องการร่วมเพศ แค่ขอจับ จูบ ลูบคลำ ก็มีความสุขแล้ว เลยทำให้คนแก่ๆ จำนวนมากหันมาชอบเพศเดียวกันหรือใช้วิธีแบบนี้มากขึ้นเพราะไม่ต้องทำการร่วมเพศ"
สุดท้าย นักวิเคราะห์จิตชื่อดังผู้นี้กล่าวว่า การรักษา คือ ต้องรู้ตัวก่อน ต้องยอมรับและรู้ตัวว่าเป็นอะไรอยู่จึงจะรักษาได้ ถือเป็นวิธีการรักษาทางจิตซึ่งใช้ได้ผล ภาษาอังกฤษเรียกว่าอินไซด์ หรือเกิดการตระหนักรู้ หากไม่ยอมรับรู้ ไม่รู้ตัวก็ไม่สามารถรักษาได้ หากเราต้องการเหมือนคนที่เราชื่นชอบเราก็ต้องรู้ตัวเองก่อน ไม่ใช่บอกว่าไม่รู้ตัวแต่ชอบคนนั้นคนนี้ ส่วนเรื่องการชอบก็ต้องรู้ตัวว่าเราชอบที่อยากจะเป็นเหมือนเขา ไม่ใช่การชอบเพื่ออยากจะได้เขา ซึ่งอาจทำให้กลายเป็นปัญหาเรื่องเพศได้
"ในร่างกายคนเรานั้นมีเพศหญิงและเพศชายอยู่ในตัวทั้งหมด เรียกว่าเป็นหยินหยาง มีทั้งธาตไฟธาตุน้ำ ซึ่งหากเราคิดเรื่องเพศเหล่านั้นไม่นานก็ไม่เป็นไร แต่ส่วนมากที่ไม่อยากรักษาแล้วก็เพราะเป็นมานาน คิดเรื่องเหล่านี้เยอะเป็นหลักปีหรือหลายปี คนเหล่านี้ก็เลยไม่อยากรักษา".