น.ส.อุบลรัตน์ คงกระพันธ์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงใหม่ ได้รายงานจากกรณีร้านคาราโอเกะในจังหวัดเชียงใหม่ เรียกเก็บเงินลูกค้านักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศแพงเกินกว่าเหตุ จนมีการร้องแจ้งความกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวเชียงใหม่ ให้นายสุริยะ ประสาทบัณฑิตย์ ผวจ.เชียงใหม่รับทราบ ซึ่งทางผู้ว่าฯ กำชับไปทางตำรวจให้ดำเนินการอย่างเฉียบขาดและตรวจสอบคาราโอเกะดังกล่าวว่าเปิดบริการถูกต้องหรือไม่
สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียรวม 8 คนเข้าไปใช้บริการร้านคาราโอเกะพิ้งเลดี้ ต.ช้างคลาน อ.เมืองเชียงใหม่ นานประมาณ 4 ชั่วโมง โดยทางร้านคิดค่าบริการทั้งสิ้น 114,080 บาท พร้อมออกบิลเงินสดธรรมดาให้เป็นหลักฐาน กลุ่มนักท่องเที่ยวรู้สึกว่าราคาแพงเกินจริงแต่ไม่กล้าโต้แย้ง จึงยอมจ่ายเงินจากนั้นนำหลักฐานเข้าร้องทุกข์กับตำรวจท่องเที่ยวเชียงใหม่
ต่อมาพ.ต.อ.มงคล สัมภาวผล รอง ผบก.ภ.เชียงใหม่ พร้อมด้วยพ.ต.อ.วีระยุทธ ประสพโชคชัย ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ ได้รับรายงานจึงเดินทางมาตรวจสอบ ทางร้านยอมรับว่าคิดราคาเกินจริงเนื่องจากต้องหักเงินให้ไกด์ผีที่พานักท่องเที่ยวมาที่ร้านถึง 30% รวมทั้งรถสี่ล้อแดง ก่อนตกลงกันได้โดยร้านยอมคืนเงินให้ลูกค้าจำนวน 60,000 บาท ทางเจ้าทุกข์จึงไม่ติดใจ ส่วนไกด์ผีอยู่ระหว่างติดตามจับกุม
ตำรวจตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ร้านดังกล่าวเคยถูกร้องเรียนมาแล้วทั้งเรื่องคิดราคาเกินจริง หรือมีเหตุทะเลาะวิวาท เมื่อขอดูใบอนุญาตพบว่าไม่มี ทางนายสุริยะ ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ จึงมีคำสั่งยุติการให้บริการตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และดำเนินคดีข้อหาเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต ระวางโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 60,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ
ด้านพ.ต.อ.วีระยุทธ ที่เพิ่งมารับตำแหน่ง กล่าวว่าจะดำเนินการกับสถานบันเทิงพวกนี้ให้เด็ดขาด และจะไม่ให้มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นอีกโดยเฉพาะพวกที่ไม่มีใบอนุญาต อยากฝากเตือนสถานบันเทิงประเภทนี้ที่ไม่ได้รับอนุญาตขอให้หยุด และพวกที่ไปแอบอ้างตัวไปเก็บส่วยสถานบันเทิงต่างๆ ในเชียงใหม่ ก็ขอให้หยุดพฤติกรรม ตอนนี้กำลังตรวจสอบและไล่เช็กอยู่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคาราโอเกะและสถานบันเทิงหลายแห่ง มักจะคิดเงินนักท่องเที่ยวต่างถิ่นทั้งคนไทยและต่างชาติแพงเกินจริง โดยลูกค้าไม่กล้าโต้เถียงเนื่องจากสถานบันเทิงมักจะมี รปภ.ดูแลและคอยข่มขู่ ซึ่งหากลูกค้ารายใดไปแจ้งความและทำท่าจะเอาเรื่อง ทางร้านก็จะเจรจายอมจ่ายเงินส่วนเกินคืนให้ แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่แจ้งความเพราะไม่ต้องการเสียเวลา และถือว่าฟาดเคราะห์หรือเสียค่าโง่ให้ร้านดังกล่าว ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของจังหวัดอย่างมาก