1. เรื่องจริงคดีลักพาตัว 3096 วัน!
คดีลักพาตัวที่สะเทือนขวัญไปทั่วทั้งยุโรป “นาตาชา แคมพุช” เด็กหญิงชาวออสเตรีย วัย 10 ขวบ ถูกโจรโรคจิตจับตัวไปเป็นเวลากว่า 3096 วันหรือประมาณ 8 ปี โจรขังเธอไว้ใต้ถุนบ้านของมันและถูกเลี้ยงดูอย่างทาสผู้ซื่อสัตย์ ถูกซ้อมถูกทำร้ายข่มขืนและปล่อยให้อดอาหาร ช่วงเวลาเกือบทศวรรษที่เธอถูกขังและถูกกดขี่ข่มเหงสารพัดจากชายแปลกหน้าโรคจิต จนในที่สุดเธอก็หาโอกาสหลบหนีออกมาได้
ในเช้าวันหนึ่งก่อนออกจากบ้านไปโรงเรียน นาตาชาและแม่ของเธอเกิดทะเลาะกัน ทำให้เธอต้องเดินไปโรงเรียนเพียงลำพัง สิ่งที่ตามมาก็คือนาตาชาถูกลักพาตัวหายไป โดยชายหนุ่มโรคจิตคนหนึ่งที่มีอาการประสาทและเก็บกด มันขังนาตาชาไว้ที่ห้องเล็กๆแคบๆ ใต้ถุนของโรงรถและบังคับให้เธอทำตามคำสั่ง ไม่อย่างนั้นเธอจะถูกทำร้าย ทรมานและถูกฆ่าในที่สุด ภายในห่องแคบๆ นั้นไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกใดๆ ทั้งสิ้น มีเพียงก็อกน้ำปะปาที่เธอเอาไว้ใช้ดื่มประทังชีวิตในคราวที่มันลงโทษให้เธอต้องอดอาหาร
หลายปีผ่านไปร่างกายเธอเริ่มซูบผอมเหลือแต่โครงกระดูกไร้เรี่ยวแรง สิ่งเดียวที่ทำให้นาตาชามีชีวิตรอดได้มาจนถึงวันนี้ ก็คงเป็นเพราะเธอพยายามทำตัวเป็นเด็กดีและเชื่อฟังที่มันบอกทุกอย่าง พอเธอเริ่มโตเธอก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือบำเรอความใคร่อยู่เสมอๆ จนเวลาผ่านไปนานถึง 3096 วัน กว่าที่นาตาชาจะหาช่องทางหลุดพ้นมาจากเงื้อมือของมันมาได้และกลับสู่อ้อมอกของครอบครัวอีกครั้ง (ขอบคุณข้อมูล สมาคมคนชอบเรื่องสยองขวัญสั่นประสาท)
2. คดีลักพาตัวหญิงสาวชาวอเมริกัน 3 คน หายตัวนานนับ 10 ปี!
คดีลักพาตัวนี้ถือเป็นคดีสะเทือนขวัญที่โด่งดังที่สุดคดีหนึ่งของอเมริกาเลยทีเดียว หญิงสาววัยรุ่นชาวอเมริกัน 3 คนถูกลักพาตัวไปขังไว้ในบ้านหลังหนึ่งนานนับ 10 ปี สถานที่ที่ทั้ง 3 คนถูกลักพาตัวนั้นอยู่ละแวกใกล้เคียงกันแต่ต่างปี! โดยหนึ่งในหญิงสาวที่ถูกลักพาตัวนั้นมีลูกวัย 2 ขวบติดออกมาด้วย ทำให้หลายคนสงสัยว่าใครกันคือพ่อ?
มิเชล ไนท์ อายุ 18-20 ปี หายตัวไป วันที่ 23 ส.ค. ปี 2002, น.ส.อแมนดา เบอร์รี อายุ 16 ปี หายตัวไป วันที่ 21 เม.ย. 2003, จอร์จินา ‘จีนา’ เดจีซัส อายุ 14 ปี หายตัวไป วันที่ 2 เม.ย. 2004
เรื่องเริ่มต้นขึ้นเมื่อ มีชายผิวดำเดินออกจากร้านแมคโดนัลด์กำลังจะกลับบ้าน ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังมาจากชั้นใต้ถุนของบ้านหลังหนึ่ง จิตสำนึกของความเป็นพลเมืองดีก็ทำให้เขาใช้เท้าถีบช่องไม้ให้เป็นรูกว้างจนทำให้เขาเห็นหญิงสาวสภาพผอมแห้ง กับเด็กน้อยอีกหนึ่งคน เขาได้ช่วยทั้ง 2 คนออกมาจากรูแคบๆ นี้ได้สำเร็จ
และทันทีที่โทรหาตำรวจ สาวน้อยคนนั้นรีบบอกตำรวจว่า “ฉันคือ อแมนด้า เบอร์รี่” ผู้หญิงที่ถูกลักพาตัวไปเมื่อ 10 ปีก่อน!!! ที่ชื่อของ อแมนด้า เบอร์รี่ เป็นที่กล่าวขานไปทั่วอเมริกาก็เพราะ พ่อแม่ของเธอไม่เคยหยุดที่จะตามหาเธอ ทำให้สื่อก็ต่างระดมพลังตามหา แต่เวลาหลายปีความหวังก็เหลืออยู่น้อยเต็มที
ภายในเวลาเพียง 2 วัน ตำรวจก็จับตัว “แอเรียล คาสโตร (Ariel Castro)” ชายกลางคนอายุ 52 ปี มนุษย์โรคจิตที่ขัง 3 สาวนี้ไว้นานกว่าทศวรรษ! ภายในบ้านของเขาก็ถูกเปิดเผย ภายในมีโซ่สนิมเขรอะ เชือก และแส้!
จุดที่สะพรึงขวัญก็คือ เมื่อตรวจดีเอ็นเอแล้ว แอเรียลคือ พ่อของเด็กน้อยคนนั้นที่เกิดจากท้องของ อแมนด้า เบอร์รี่ (คนที่ทำคลอดให้ก็คือ 2 สาวที่อยู่ด้วยกัน โดยที่แอเรียลใช้ปืนขู่ฆ่าว่าหากทำให้ลูกของเขาตาย ทั้งสองคนก็จะต้องตายตามไปด้วย วิธีคลอดคือ ใช้คลอดในอ่างเล็กๆ)
จุดสะเทือนขวัญประเด็นต่อมาคือ ไม่ใช่แค่อแมนด้าที่มีลูก แต่มิเชลเคยมีลูกกับแอเรียลมาก่อนแล้ว แต่ไม่มีเด็กคนไหนได้ลืมตามาดูโลก เพราะถูกแอเรียลต่อยที่หน้าท้อง และทรมานจนแท้งลูกมาแล้วอย่างน้อยถึง 5 ครั้ง ซ้พร้ายไปกว่านั้น มิเชล คือเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกันกับลูกสาวแท้ๆ ของแอเรียล
วันที่พิพากษาโทษ มิเชลคือคนเดียวในผู้หญิงสามคนที่กล้าเผชิญหน้าขึ้นศาลกล่าวหาแอเรียล ทำให้ แอเรียล ชายโหดคนนี้โดนตราโทษอย่างสาสมถึง 1,000 ปี ก็เพราะต้องคดีข่มขืน ลักพาตัว ฆาตกรรม (ลูกตัวเอง) รวมๆ แล้ว 937 กระทง! และตอนนี้มิเชลเริ่มชีวิตใหม่ด้วยการเขียนหนังสืออัตชีวประวัติของตัวเอง
หลังจากแอเรียลโดนจับได้ไม่นาน ทางการก็มีการพังทลายบ้านหลังนี้เป็นที่เรียบร้อย หลายคนอาจจะสงสัยถึงที่มาของความวิตถารและอำมหิตของเขา คำตอบก็คือ พ่อของเขานั่นเอง เขาบอกว่าที่เป็นแบบนี้ เพราะตอนเด็กชีวิตในบ้านเหมือนถูกลักพาตัวและถูกทรมานอยู่ตลอดเวลา จนทำให้เกิดโรคเสพติดเซ็กส์
หลายครั้งหลังจากตรวจสอบพบว่าบ้านของแอเรียลถูกร้องเรียนเรื่องแปลกๆ มากมาย เช่น ผนังบ้านสั่นผิดปกติ มีเสียงกรีดร้อง และที่น่าขนลุกที่สุดก็คือ มีเด็กหญิงเห็นว่า มีผู้หญิงเปลือยกายคลานอยู่ในบ้าน (ซึ่งภายหลังทราบว่าเป็นเรื่องจริง นั่นคือมิเชล ที่ถูกปล่อยออกจากห้องครั้งแรกในรอบทศวรรษ)
หลังจาแอเรียลติดอยู่ในคุก เขาทำอัตวิบากกรรมแบบวิตถารครั้งสุดท้ายของชีวิตนั่นคือ เอาผ้าห่มผูกกับที่สูงแล้วรัดคอตัวเองให้ไม่มีอากาศหายใจขณะบำบัดความใคร่ด้วยตัวเอง ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากเขาเดินหน้าเข้าคุกเพียง 1 เดือนเท่านั้น! (ขอบคุณข้อมูล medium.com)
3. คดีลินด์เบิร์ก คดีลักพาตัวที่ครึกโครมที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา (เท่าที่มีการเกิดกรณีลักพาตัวเกิดขึ้น)!ค.ศ.1932 ช่วงนั้นเป็นช่วงสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่สุดของอเมริกา ผู้คนตกงาน อาชญากรรมล้นเมือง จึงไม่น่าแปลกที่จะมีการลักพาตัวคนดังเรียกค่าไถ่
วันที่ 1 มีนาคม ในปีนั้น เด็กน้อยวัยขวบเศษ “ชาร์ลส์ ลินด์เบิร์ก จูเนียร์” ลูกชายของ ชาร์ลส์ ลินด์เบิร์ก นักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ถูกชายนิรนามบุกเข้าคฤหาสน์ ลักพาตัวเด็กน้อยจากห้องนอน หลังจากนั้นไม่นานพี่เลี้ยงก็ขึ้นมาดูความเรียบร้อยในห้อง และปรากฏว่าเธอไม่เห็นเด็กน้อยบนที่นอน จึงไปบอกเจ้านาย และช่วยกันออกตามหารอบบ้านแต่ก็ไม่พบ จึงตัดสินใจแจ้งตำรวจ
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องลักพาตัวเด็กคนนี้ นั่นก็เพราะพ่อของเขา “ชาร์ลส์ ลินด์เบิร์ก” เป็นที่รู้จักในอเมริกาในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ รวมถึงมีชื่อเสียงระดับโลกในฐานะนักขับเครื่องบินเดี่ยวข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก บินไปกลับรวดเดียวเป็นครั้งแรกของโลก! ได้รับรางวัลและตำแหน่งมากมาย, ชาร์ลส์ แต่งงานกับ แอนน์ สปอนเซอร์ มอร์โรว์ บุตรสาวเศรษฐีและท่านทูตประจำละตินอเมริกันให้กำเนิดบุตรชายคือ ชาร์ลส์ เอ. ลินด์เบิร์ก จูเนียร์
เมื่อได้รับแจ้งเหตุเด็กหาย นอร์แมน ชวาร์ซคอป์ฟ หัวหน้าตำรวจ และลูกน้องก็ได้เดินทางไปยังสถานที่เกิดเหตุทีนที พร้อมตรวจสอบที่เกิดเหตุ สอบสวนพยาบาลพี่เลี้ยงชื่อ เบตตี้ กาวน์ เธอให้การว่าเด็กหายไปในช่วงเวลา 20.00-22.00 น. เพราะก่อนหน้านั้นเธออยู่กับเด็กตลอด แต่ช่วงเวลานั้นเธอไปทำธุระส่วนตัวตามปกติ
เจ้าหน้าที่แยกย้ายกันค้นหาร่องรอยตามจุดต่างๆ แต่คืนนั้นฝนตกหนักทำให้การหาเด็กน้อยเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ตำรวจก็พบหลักฐานหลายอย่าง คือรอยเท้าลึกลับอยู่นอกหน้าต่าง,รอยกดลึกของบันไดที่คนร้ายยกมาพาด และเมื่อส่งคนไปสำรวจทั่วๆ ก็พบบันไดไม้ที่หักเป็นสามส่วนมันถูกทิ้งอยู่บนถนนเล็กๆ พร้อมรอยยางรถยนต์บนถนน
จากนั้นตำรวจก็พบซองจดหมายซองหนึ่งเสียบอยู่ระหว่างที่หน้าต่าง จดหมายเขียนไว้ว่าต้องการเรียกเงินค่าไถ่จำนวน 50,000 ดอลล่าร์ หลังจากเมื่อข่าวการลักพาตัวหนูน้อยลินด์เบิร์กแพร่ออกสู่สาธารณะ มันก็กลายเป็นคดี ครึกโครมที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาเท่าที่มีการเกิดกรณีลักพาตัวเกิดขึ้นทันที ตำรวจถูกส่งมารักษาความปลอดภัย สำนักข่าวก็คอยมาทำข่าวอยู่เรื่อยๆ ประชาชนหลายคนต่างเขียนจดหมายให้กำลังใจ คนมีชื่อเสียงก็ช่วยกันประกาศตามจับตัวผู้ร้ายพร้อมเงินรางวัล
ระหว่างที่ทุกคนรอคอยการติดต่อของคนร้ายอย่างใจจดใจจ่อ จอห์น เอฟ. คอนดอน (อดีตอาจารย์มหาลัยและนักเขียนที่มีบุคลิกภาพแปลกๆ) เสนอตัวเข้ามาเป็นคนทำหน้าที่เป็นคนกลางสื่อสารระหว่างครอบครัวลินด์เบิร์กกับคนร้ายเขาเริ่มลงประกาศลงนสพ. “New York American” เพื่อติดต่อกับคนร้ายและใช้สื่ออื่นๆ ติดต่อทั้งหน้าโฆษณาและใบปลิวทั่วนิวเจอร์ซี จนสามารถติดต่อคนร้ายได้
หลายครั้งที่ คอนดอน ได้รับจดหมายจากคนร้ายจนนัดเจอกัน ต่างคนต่างถามถึงเงินและตัวเด็ก คนร้ายไม่พอใจที่ไม่เห็นเงินเพราะคอนดอนบอกต้องเห็นตัวเด็กก่อนถึงจะให้เงิน ทำให้คนร้ายพูดถึงบุคคลที่ 3 ขึ้นมานั่นแสดงว่าต้องมีอีกหลายคนที่ร่วมมือกับเขา จนครั้งต่อมาคนร้ายส่งจดหมายมาว่าขอเพิ่มจำนวนเงินเป็น 100,000 ดอลลาร์ ให้เขาเตรียมเงินให้พร้อม
เมษายน ปี ค.ศ. 1932 จดหมายฉบับที่ 11 ถูกส่งมาอีกครั้งเพื่อมาแลกเงินค่าไถ่กับตัวเด็กน้อย ในคืนนั้นคอนดอนและคนร้ายเจอกันอีกครั้งที่สุสาน (ลินด์เบิร์ก พ่อของเด็กก็ไปด้วยแต่รออยู่ในรถ) คอนดอนของลดเงินค่าไถ่เหลือ 50,000 ดอลลาร์ ซึ่งคนร้ายก็ตกลง เมื่อคอนดอนยื่นเงินให้ คนร้ายก็ยื่นซองจดหมายมาให้อีกเช่นเคย โดนคนร้าย กำชับว่าห้ามเปิดอ่านก่อนหกชั่วโมงหลังจากนี้ หลังจากนั้นก็แยกตัวกันไป
เมื่อคอนดอนและลินด์เบิร์กออกเดินทางจากสุสาน ทั้งคู่ก็ตัดสินใจเปิดซองทันที ข้างในเขียนไว้ว่า “เด็กอยู่บนเรือเล็กชื่อเนลลี่ เรือจะอยู่ระหว่างชายหาดฮอร์สเน็คกับเกย์เฮด ใกล้เกาะเอลิซาเบธ” ครอบครัวลินด์เบิร์ก คอนดอน และตำรวจรีบไปยังจุดนั้น แต่ทุกคนกลับพบว่าไม่มีเรือเนลลี่ที่นั่น ไม่มีเงาของเด็กน้อย ทุกคนถูกหลอก และคนร้ายก็เชิดเงินไปได้อย่างลอยนวล แล้วชาร์ลส์ ลินด์เบิร์ก จูเนียร์ อยู่ที่ไหน?
หลังจากนั้นทุกฝ่ายก็พยายามสืบหาตัวหนูน้อยลินด์เบิร์กต่อไป จนวันที่ 12 พฤษภาคม เกือบเดือนครึ่งหลังจากคนร้ายได้เงินไป คนขับรถบรรทุกและผู้ช่วยพบศพเด็กน้อยคนหนึ่งในป่าโดยบังเอิญ ซึ่งห่างจากบ้านของลินด์เบิร์กไปราวๆสี่ไมล์ เมื่อได้รับแจ้งทางตำรวจและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องก็ไปยังจุดนั้นทันที
ผู้พบศพทั้งสองคนเล่าว่า สภาพศพนั้นน่าเวทนามาก เน่าเปื่อยจนมองไม่ออกว่าหน้าตาเดิมเป็นอย่างไร ศพถูกฝังในดินอย่างลวกๆ จนถูกสัตว์และแมลงกัดแทะกินเนื้อไปจนเกือบเหลือแต่กระดูก นอกจากศพของเด็กคนหนึ่งแล้ว พบสิ่งของช่างไม้ บันไดไม้ และกระดาษโน้ตอีกจำนวนหนึ่ง แต่ไม่พบรอยเท้าและรอยนิ้วมือเลย
จากการชันสูตรศพ เจ้าหน้าที่รายงานว่าเป็นศพเด็กอายุราว 1-2 ขวบ พบรูเล็กๆ ที่ส่วนล่างของกะโหลกซึ่งไม่ใช่รูของกระสุนปืน จึงสันนิษฐานว่า เกิดขึ้นหลังจากเด็กเสียชีวิตไปแล้ว แพทย์พบรอยร้าวที่กะโหลกสี่รอยกับเลือดที่แข็งตัวติดอยู่ตามรอยเหล่านั้น จึงได้ข้อสรุปว่าเด็กคนนี้เสียชีวิตจากการที่ศีรษะกระทบของแข็งจนกะโหลกร้าว และเมื่อดูจากสภาพศพที่เน่าเปื่อย เมื่อเทียบกับระยะเวลาที่เด็กถูกลักพาตัวไปจนถึงวันที่พบศพแล้วจะใกล้เคียงกัน ซึ่งหมายความว่าเด็กเสียชีวิตไปตั้งแต่คืนที่ถูกลักพาตัวไปครั้งแรกแล้ว!
นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่ มั่นใจว่าเป็นศพของชาร์ลส์ ลินด์เบิร์ก จูเนียร์ จริง คือบนตัวศพมีเสื้อตัวเล็ก ๆ ที่ศพนั้นสวมอยู่ และผู้เกี่ยวข้องยืนยันว่าใช่เสื้อชั้นในที่เด็กสวมในคืนสุดท้ายก่อนที่จะถูกลักพาตัวไป
เมื่อเกิดคดีลักพาตัวนี้ขึ้น เอฟบีไอก็เข้ามาช่วยสืบคดี (กลายเป็นคดีระดับชาติ) สอบถามธนาคารเพื่อตรวจสอบหมายเลขธนบัตรเงินค่าไถ่ วิเคราะห์บันไดไม้ที่คนร้ายใช้ก่อคดี ลายมือในจดหมาย รวมถึงภาพสเก็ตที่คอนดอนบอกลักษณะคนร้ายที่เขานัดเจอ
จนวันที่ 1 พฤษภาคม มีการใช้เงินจ่ายค่าน้ำมันรถ ผู้จัดการปั๊มสงสัยเพราะเงินค่าไถ่นั้นมีลักษณะพิเศษคือมีแถบสีทอง จึงส่งข้อมูลให้ตำรวจ และตรวจสอบประวัติพบว่ารถคนนั้นเปนของ นายริชาร์ด ฮอมป์ตแมนน์ อายุ 35 ปี ที่สำคัญเขาเป็นช่างไม้! เป็นคนเยอรมันที่พยายามลักลอบเข้าอเมริกา เป็นทหารสมัย WW1 มีคดีปล้น ติดคุกนับไม่ถ้วน เมื่อก่อนเป็นช่างไม้ แต่พักหลังเพื่อนบ้าน สังเกตุว่าเขารวยผิดหูผิดตาแม้ไม่ทำงาน
การตัดสินใช้เวลาต่อเนื่องถึงหกสัปดาห์ เมื่อถูกจับเขาก็ยังไม่รับสารภาพว่าเป็นคนลักพาตัวและฆ่าเด็กน้อย ทั้งๆที่มีพยานกว่า 162 คน กับหลักฐานวัตถุกว่า 381 ชิ้น 13 กุมภาพันธ์ 1935 สำนวนทั้งหมดถูกส่งไปยังคณะลูกขุนเพื่อตัดสิน มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า จำเลยมีความผิดจริง ต้องโทษประหารชีวิต และจำเลยยังคงไม่รับสารภาพ ศาลจึงไม่มีความปรานี
ฮอมป์ตแมนน์ยังคงขอร้องต่อศาลให้ศาลอภัยโทษโดยมีข้อเสนอคือยอมรับสารภาพ แต่ศาลไม่รับฟังเพราะการกระทำของฮอมป์ตแมนน์นั้นเป็นการจำนนต่อหลักฐานไม่ใช่สำนึกผิดแต่อย่างใด
3 เมษายน 1936 ฮอมป์ตแมนน์ถูกศาลตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า เขาถูกนำไปนั่งเก้าอี้ไฟฟ้าเมื่อเวลา 8 โมงเช้า 45 นาที หลังจากยื่นอุทธรณ์หนึ่งปีเศษหลังคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เป็นการปิดคดีดัง “การลักพาตัวแห่งศตวรรษ” ทันที หลังจบคดี หน่วยงาน FBI ได้รับคำชมอย่างล้นหลามเต็มๆ ที่สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพ สามารถหาตัวคนร้ายมาลงโทษได้ ทั้ง ๆ ที่คดีนี้มือแปดด้านแท้ ๆ (ขอบคุณข้อมูล อ่านเนื้อเรื่องเต็มๆbloggang.com)
4. ทีสุดการ์ตูนญี่ปุ่นฆาตกรรม เรื่องจริง จุนโกะ ฟูรุตะ
หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องนี้กันมาพอสมควร เพราะถือว่าเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ให้เรารู้สึกแย่ หดหู่และสงสารอย่างบอกไม่ถูก เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงของหญิงสาววัยรุ่นญี่ปุ่น ชื่อว่า จุนโกะ ฟูรุตะ เด็กหญิงน่ารักใส่ชุดนักเรียนกำลังไปบ้านเพื่อนและแล้วชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไปเมื่อมีชายคนหนึ่งขี่รถมาประกบติดแล้วล้มจักรยานของเธอ รถจักรยานเธอล้มข้างทาง เวลานั้นเองก็มีเพื่อนของเธอซึ่งเป็นเด็กหัวเกรียม(ใจก็เกรียมด้วย)มาทักและพาเธอไปที่บ้านของเขาเพื่อไปรักษาแผล
แต่แล้วที่บ้านที่เด็กเกรียมนั้น เธอก็โดนทุบตี โดยเพื่อนชายหัวเกรียมและเพื่อนทั้ง 4 คน เธอโดนบังคับ ให้ถอดเสื้อ(โดนซ้อมตลอด) รุมข่มขืน เธอตกเป็นของเล่นของเหล่าผู้ชาย 4 คน ที่นิสัยสุดโฉดชั่ว ถูกทรมานต่างๆ นาๆ ด้วยวิธีผิดวิปริตผิดมนุษย์ เธอเจ็บปวดทรมานสุดหัวใจ (ไม่มีให้ดู เพราะน่าสงสารมาก)
และสุดท้าย สภาพของเธอโทรมสุดขีด เหมือนศพมีชีวิต สุดท้ายก็ฆ่าเธอจนขาดตายในสภาพศพที่โหดร้าย ไม่เหลือโครงหน้าตาที่น่ารักตอนต้นเรื่องมาก่อน และชายสี่คนในการ์ตูนไม่ได้ถูกจับหรือได้รับผลกรรมเลย ภาพจบลงแต่เพียงภาพเด็กผู้หญิงและมีดอกไม้วางหนึ่งดอกเท่านั้น พูดได้เต็มปาก มันคือการ์ตูนโหดสยองที่สุดเท่าที่อ่านมาในชีวิต เพราะว่ามันดัดแปลงจากเรื่องจริง!!
อ่านเพิ่มเติม เรื่องเต็มๆ ได้ที่ ทีสุดการ์ตูนญี่ปุ่นฆาตกรรม เรื่องจริง จุนโกะ ฟูรุตะ
เรียบเรียงโดย teen.mthai.com