21 พิพิธภัณฑ์อึ้ง..ทึ่ง..เสียว..จากทั่วโลก

 หลายคนพอได้ยินคำว่า “พิพิธภัณฑ์” ก็คงจะนึกถึงสถานที่จัดแสดงวัตถุโบราณ กับเรื่องราวความเป็นมาที่แสนจะน่าเบื่อคร่ำครึ พร้อมบรรยากาศอันวังเวงเงียบสงบ ถ้าจะถามว่าเข้าพิพิธภัณฑ์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หลายคนก็คงจะนั่งนึกระลึกกันอยู่นาน หรือหลายคนที่คิดว่าพิพิธภัณฑ์เป็นสถานที่น่าเบื่อไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจ Life on campus ขอบอกว่าคุณคิด...ผิด ถ้าคุณยังไม่รู้จัดพิพิธภัณฑ์เหล่านี้ พิพิธภัณฑ์ที่จะทำให้คุณทั้งอึ้ง ทึ้ง และเสียว ใครที่เบื่อพิพิธภัณฑ์แบบเดิมๆ ตาม Life on campus มาซะดีๆ แล้วคุณจะรู้ว่าพิพิธภัณฑ์ในโลกนี้ไม่ได้น่าเบื่อเสมอไป...
       
       1. พิพิธภัณฑ์ไส้กรอกราดซอสแกงกะหรี่ (Deutsches Currywurst Museum, Germany) 
          ถ้าพูดถึงประเทศเยอรมันอย่างแรกที่หลายคนนึกถึงก็คือ “เบียร์” อันเลื่องชื่อ แต่ถ้าเป็นเมนูอาหารแล้วหละก็ต้อง “ไส้กรอกราดซอสแกงกะหรี่” อาหารขึ้นชื่อของเยอรมันนี จนถึงกับสร้างพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมเลยทีเดียว เอาเป็นว่าก่อนจะไปชมพิพิธภัณฑ์เราไปทำความรู้จักกับเมนูนี้กันก่อน “Currywurst” ออกเสียงว่า “เคอร์รี่เวิร์สต์” เป็นอาหารยอดนิยมในเยอรมัน ทำจากไส้กรอกราดซอสมะเขือเทศ กินกับมันฝรั่งทอด หรือจะเป็นขนมปังก็ได้ เมนูธรรมดาๆ ที่หากินได้ทั่วไป แต่มีประวัติมายาวนาน เริ่มมีครั้งแรกเมื่อปี 1949 ที่เบอร์ลิน โดย นางเฮอร์ตา ฮิวเวอร์ (Herta Heuwer) นำไส้กรอกมาย่างไฟเบาๆ แล้วราดซอสมะเขือเทศลงไป มาวางขายบนแผงท่ามกลางซากปรักหักพังช่วงสงคราม ซึ่งเจ้า Currywurst เป็นเมนูยอดฮิตสำหรับพวกก่อสร้างและผู้ใช้แรงงานในสมัยนั้นมากๆ 
          ด้วยความฮอตของ Currywurst โดยเฉพาะในเบอร์ลิน ที่ประเมินว่าในแต่ละปีชาวเยอรมันนิยมบริโภคเมนูนี้มากถึง 800 ล้านชิ้น ทำให้มีการสร้างพิพิธภัณฑ์ขึ้นมาชื่อว่า “Deutsches Currywurst Museum Berlin” ตั้งขึ้นเมื่อปี 2552 มีผู้เข้าชมประมาณปีละ 150,000 คน เพื่อเรียนรู้ประวัติความเป็นมาของ Currywurst ที่ได้ผสมผสานวัฒนธรรมการกินของ 3 ชาติพันธมิตรสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้แก่ ไส้กรอกของชาวเยอรมัน, ซอสมะเขือเทศของชาวอเมริกัน, และผงกะหรี่ซึ่งนิยมกินกันในหมู่ชาวอังกฤษ เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่ 10 โมงถึง 2 ทุ่ม ราคาค่าเข้าชมคนละ 11 ยูโร หรือประมาณ 450 บาท ที่สำคัญใครอยากลองลิ้ม ชิม รส Currywurst สามารถชิมในพิพิธภัณฑ์ได้เลย
       
       2. พิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (Momofuku Ando Instant Ramen Museum, Japan) 
          สำหรับคนที่หลงใหลคลั่งไคล้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือที่บ้านเรามักจะเรียกรวมๆ กันว่า “มาม่า” อาหารช่วยชีวิตยามสิ้นเดือน ที่ทุกบ้านทุกหอพักต้องมีติดไว้ หลายคนคงจะทราบว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเหล่านี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่น และผลิตขึ้นครั้งแรกที่ “โอซาก้า” และเมืองนี้เองก็ได้สร้างพิพิธภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นชื่อว่า “Momofuku Ando Instant Ramen Museum” เพื่ออุทิศแด่ “โมโมฟูกุ อันโด” ผู้ที่ให้กำเนิดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอันแสนอร่อยให้คนทั่วโลกได้ลิ้มรสกัน ในนามของบริษัท “Nisshin Food” นั่นเอง 
          พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1999 ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์จะมีรูปปั้นของ โมโมฟูกุ บิดาของบะหมี่ถ้วยและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตั้งอยู่ ภายในประกอบด้วยประวัติความเป็นมาของการผลิตคิดค้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และพัฒนาการจนกลายมาเป็น “Cup noodle” ออกจำหน่ายเมื่อปี ค.ศ. 1971 รวมถึงจัดโชว์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลากหลายสไตล์ นอกจากนี้ผู้เข้าชมยังสามารถสั่งทำบะหมี่ถ้วยออริจินัลในแบบของเราเองได้ ด้วยการเลือกน้ำซุป และส่วนผสมต่างๆ ได้เอง แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ด้วย สนนราคาค่าเข้าชมแล้วผู้ใหญ่เสียค่าเข้าชม 500 เยน หรือประมาณ 150 บาท ส่วนเด็กๆ ที่ต่ำกว่ามัธยมเข้าชมฟรี
       
       3. พิพิธภัณฑ์กล้วยนานาชาติ (The International Banana Club and Museum, U.S.A) 
          ใครที่ชอบอะไรกล้วยๆ มาทางนี้ คุณจะได้พบกับเรื่องราวของ “กล้วย” ทุกตารางเมตรในพิพิธภัณฑ์ เริ่มต้นมาจากชายผู้รักกล้วยในระดับบานานานิสเตอร์ “เคน แบนนิสเตอร์ หรือ T.B. (Top Banana)” สะสมกล้วยมาเป็นเวลากว่า 40 ปี พิพิธภัณฑ์นี้ตั้งอยู่ที่เมืองเฮสเพอเรีย ที่มลรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับคนรักกล้วยโดยเฉพาะ แต่ใครจะรู้ว่าเป้าประสงค์หลักของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั่นคือ “เสียงหัวเราะ” เพราะนอกจากจะได้เดินชมบรรดากล้วยจริงกล้วยปลอมในพิพิธภัณฑ์แล้ว ยังมีกิจกรรมและเกมที่มีกล้วยมาเกี่ยวข้องให้กับผู้ที่มาเยี่ยมชม จนได้รับความสนใจในระดับชาติ มีสมาชิกเข้าร่วมถึง 27 ประเทศ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าชาวเมืองรู้สึกว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ไม่ได้มีประโยชน์อะไร จึงมีโครงการว่าจะย้ายพิพิธภัณฑ์ไปอยู่ที่เมืองปาล์มสปริง ในรัฐเดียวกันนี้เอง 
          4. พิพิธภัณฑ์ศิลปะห่วย (The Museum of Bad Art, U.S.A) 
          หลายคนคงจะเคยเห็นหรือเคยเข้าชม Arts Gallery ที่จัดแสดงผลงานศิลปะสวยๆ ของศิลปินชื่อดัง ลึกซึ้งกินใจจนเข้าไปอยู่ในจิตวิญญาณ แต่ที่เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา กลับมีพิพิธภัณฑ์แปลกๆ สวนกระแสความสวยงาม ที่เรียกว่า “Bad Art” ที่มองแล้วนอกจากไม่เข้าถึงจิตวิญญาณ บางรูปอาจทำให้จิตหลุดได้เลยทีเดียว เพราะคุณจะได้พบกับผลงานศิลปะที่ยากจะหาคำมาบรรยายจนเรียกได้ว่า “เหมือนจะสวย” ที่ “Museum of Bad Art” แห่งนี้ เริ่มก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1994 โดย สกอตต์ วิลสัน ที่ได้รวบรวมงานศิลปะกว่า 500 ชิ้น ที่ควรจะอยู่ในถังขยะมาจัดแสดงโชว์อยู่ในพิพิธภัณฑ์ บางชิ้นรูปร่างแปลก สีสันที่ไม่สนใจทฤษฎีใดๆ ในโลก เอาเป็นว่างานทุกชิ้นคือศิลปะในแบบของตัวมันเอง และมีคำขวัญประจำพิพิธภัณฑ์ลึกซึ้งกินใจว่า “Art too bad be ignorerd?" งานศิลปะบางอย่างถึงจะห่วย แต่ก็ไม่ควรเพิกเฉยหรือทิ้งไป ใคนสนใจชมตัวอย่างผลงานศิลปะที่จะทำให้คุณยิ้มได้ที่ http://www.museumofbadart.org/ ที่นี่จะทำให้คุณค้นพบอีกหนึ่งนิยามของคำว่า “ศิลปะ” อย่างแน่นอน 
          5. พิพิธภัณฑ์ของคนอกหัก (The Museum of Broken Relationships, Croatia) 
          อกหักมาทางนี้...อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์แปลกกระแทกใจคนช้ำรักได้เป็นอย่างดี “The Museum of Broken Relationships” หรือ “พิพิธภัณฑ์ของคนอกหัก” ตั้งอยู่ที่เมือง ซาเกรป (Zagreb) เมืองหลวงของประเทศโครเอเชีย เป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ แต่มีคอนเซปโดนใจ จุดเริ่มต้นของพิพิธภัณฑ์นี้มาจาก ซาเกรบ โอลิงกา วิสติกา (Olinka Vistica) และ ดราเซน กรูบิสิก (Drazen Grubisic) คนเคยรักที่ได้แยกทางกันไป แต่ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันในที่สุดจึงได้ปิ๊งไอเดีย ร่วมหุ้นกันจัดสร้างพิพิธภัณฑ์นี้ขึ้นมา โดยใช้ชื่อการแสดงว่า “กาลครั้งหนึ่ง คนเคยรักกัน” เพื่อที่จะเก็บรวบรวม และถ่ายทอดแง่มุมเรื่องราวของความรักและความทรงจำ ของคู่รักเอาไว้ถึงแม้ว่าความรักนั้นจะจบลงไปแล้ว แต่เชื่อว่า “ความรัก” ไม่ว่าจะเป็นไปในรูปแบบใด และลงเอยแบบไหน ทุกเรื่องราวมีคุณค่าและแง่มุมที่น่าจดจำเสมอ 
          พิพิธภัณฑ์ของคนอกหักแห่งนี้ ยังได้รับรางวัล “เคนเน็ธ ฮัดสัน อวอร์ดส์” ซึ่งเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการพิพิธภัณฑ์โลกจากที่ประชุมพิพิธภัณฑ์ยุโรป (EMF) ในฐานะพิพิธภัณฑ์ดีเด่นด้านนวัตกรรม ถือกำเนิดจากความรักที่ไม่สมหวังในประเทศโครเอเชียนี้ และนอกจากพิพิธภัณฑ์คนอกหักแห่งนี้จะเปิดเข้าชมแบบถาวรที่เมืองซาเกรป แล้วยังได้ตระเวนไปจัดแสดงนิทรรศการทั่วโลกอีกด้วย หากใครที่สนใจสามารถเข้าไปชมได้ที่ brokenships.com ก่อนไปชมของจริงได้เลย!!!
       
       6. พิพิธภัณฑ์เส้นผม (Leila’s Hair Museum, U.S.A) 
          หากคุณได้มีโอกาสไปเยือนเมืองอินดีเพนเดนซ์ รัฐมิสซูรี คุณจะได้พบกับพิพิธภัณฑ์แปลกๆ อีกหนึ่งแห่งชื่อว่า “Leila’s Hair Museum” โดยพิพิธภัณฑ์เส้นผมแห่งนี้ถูกก่อตั้งขึ้นมาจากช่างปั้นหม้อชาวตุรกีคนหนึ่งนามว่า เชซ กาลิป เมื่อปี ค.ศ.1979 พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้รวบรวมเส้นผมมนุษย์เพศหญิงเอาไว้กว่า 16,000 ปอย ภายในพิพิธภัณฑ์คุณจะได้ตื่นตาตื่นใจกับเส้นผมนานาชนิด และรูปแบบในการจัดแสดงโชว์ก็ไม่ใช่เพียงเอาเส้นผมมาวางเท่านั้นแต่ได้ถูกประดิษฐ์ให้กลายมาเป็นเครื่องประดับนับร้อยชิ้น บางชิ้นมีอายุยาวนานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เลยทีเดียว โดนใจสาวๆ จนบางคนถึงกับตัดผมตัวเองแล้วมาบริจาคที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็มี 
          7. พิพิธภัณฑ์ซูลัพห์ สุขานานาชาติ (Sulabh International Museum Of Toilets, India) 
          เรื่องสำคัญระดับชาติอย่าง “ส้วม” ที่ใครก็ปฏิเสธไม่ได้ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับประเทศอินเดีย? ในเมื่อส้วมเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญของคนทุกชาติทุกภาษา แต่วัฒนธรรมของการใช้ส้วมนี่สิ บอกเลยว่ามีเสน่ห์อย่าบอกใคร จนดอกเตอร์พินเทชวาร ปาธัก (Dr. Bindeshwar Pathak) ถึงขั้นจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ส้วมขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า “Sulabh International Museum Of Toilets” ที่กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เมื่อปี ค.ศ. 1994 เนื้อหาที่จัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของส้วมที่เราใช้กันเมื่อหลายพันปีก่อน รวมถึงหน้าที่ ประโยชน์ใช้สอย และพัฒนาการของส้วมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่เข้าชมจะได้เรียนรู้วัฒนธรรมการใช้ส้วมของชนชาติต่างๆ เผลอๆ จะได้ไอเดียใหม่ๆ ไปตกแต่งห้องน้ำที่บ้านก็ได้ เพราะ ดร.ปาธัก ยังได้ออกแบบห้องน้ำโดยใช้วัสดุต่างๆ กัน เช่น อิฐ หิน ไม้ ปูน โดยใช้ต้นทุนย่อมเยาว์มากๆ ในหลักพันรูปี ก็สามารถสร้างห้องน้ำใช้ได้แล้ว 
          สิ่งสำคัญสำหรับการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ก็คือ เพื่อปลูกฝังเรื่องสุขอนามัยให้กับคนในประเทศ เดี๋ยวนี้เจ้าสาวอินเดีย เริ่มตั้งเงื่อนไขแล้วว่า ถ้าบ้านของเจ้าบ่าวไม่มีห้องน้ำให้ใช้ ก็จะไม่แต่งงานด้วย ใครที่เคยคิดว่าอินเดียเป็นประเทศที่สกปรกไม่มีห้องน้ำคงต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ แวะมาในบ้านเราก็เคยจัดนิทรรศการเกี่ยวกับส้วมเช่นเดียวกัน โดยเป็นนิทรรศการชั่วคราวของมิวเซียมสยาม ชื่อว่า “สืบจากส้วม” สืบประวัติที่มาของส้วมแบบไทยๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หรือประเทศญี่ปุ่นเองก็เพิ่งจัดนิทรรศการ “การเดินทางของก้อนอุจจาระ” (Journey of Poo) ถูกจัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมใหม่แห่งชาติ กรุงโตเกียว โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับระบบกำจัดของเสีย สุขภาพ และสิ่งปฏิกูล คราวนี้ก็รู้แล้วสิว่า “ส้วมนั้น สำคัญฉไน”
       
       8. พิพิธภัณฑ์ผ้าอนามัย (Museum of Menstruation & Women's Health, U.S.A) 
          สำหรับพิพิธภัณฑ์นี้หนุ่มๆ ได้ยินแล้วคงต้องทำหน้าเบ้…ถ้าต้องนึกถึง “ผ้าอนามัย” ของผู้หญิง แต่สำหรับผู้หญิงแล้วประจำเดือนกับผ้าอนามัยถือเป็นเรื่องปกติ ผู้ชายหลายคนคงจะไม่ชินยกเว้นผู้ชายคนนี้ “แฮร์รี่ ฟินลี่ย์ (Harry Finley)” ที่หลงใหลคลั่งไคล้ผ้าอนามัยเอามากๆ ถึงขั้นลงทุนเปิดพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับผ้าอนามัยและประจำเดือนของผู้หญิง ในห้องใต้ดินภายในบ้านของเขา ที่รัฐแมรี่แลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ปี ค.ศ.1995
       
       โดยแฮร์รี่มีความฝันอยากสร้างพิพิธภัณฑ์แปลกๆ ขึ้นมาสักแห่งหนึ่ง จึงได้อุทิศตัวให้กับการสะสมผ้าอนามัย และรวบรวมทุกเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผ้าอนามัยไว้ ผ้าอนามัยทุกรุ่นกว่าพันชิ้น หุ่นนางแบบที่สวมใส่ผ้าอนามัยอยู่ รวมถึงชุดสุดครีเอตที่ทำขึ้นมาจากผ้าอนามัยอีกด้วย แต่น่าเสียดายที่พิพิธภัณฑ์นี้ปิดตัวลงไปแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 1999 แต่ก็ยังหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.mum.org ใครสนใจก็ลองคลิกเข้าไปดูกันได้เลย
       
       9. พิพิธภัณฑ์เวทมนต์ (Museum of Witchcraft, England) 
          เมื่อความฮอตของพ่อมดแม่มดน้อยอย่างแฮร์รี่ พอตเตอร์ โด่งดังไปทั่วโลก จนต้องเปิดโรงเรียนสอนเวทมนต์กันเลยทีเดียว แต่ใครจะรู้ว่าความเชื่อเรื่องของเวทมนต์ของเหล่าบรรดาพ่อมดหมอผีเผ่าต่างๆ ได้มีมานานแล้ว และมีการจัดแสดงใน“พิพิธภัณฑ์เวทมนต์” ตั้งอยู่ที่ Boscastle ประเทศอังกฤษ เป็นเพียง 1 ใน 2 พิพิธภัณฑ์ของโลกที่ให้ความสำคัญกับคาถาเวทมนต์ต่างๆ และยังเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งเวทมนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย เปิดให้เข้าชมมากว่าครึ่งศตวรรษตั้งแต่ปี ค.ศ.1951 พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแม่มดที่ก่อนหน้านี้อาจมีความเข้าใจผิดกันมามากมาย ลองคิดดูสิว่าช่วงที่แฮร์รี่ พอตเตอร์กำลังฟีเว่อร์ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะป๊อปปูล่าขนาดไหน 
          ภายในนิทรรศการถูกแบ่งออกเป็นหลายห้องหลายสไตล์ และยังมีหนังสือ งานวิจัย ประวัติศาสตร์ และตำนานของแม่มด กว่า 3,000 เล่ม อีกทั้งยังกล่าวถึงที่มาที่ไปของแม่มด หรือตำนานในประเทศกรีกที่มีความเชื่อมโยงเรื่องความสวยงามกับแม่มด หรือจะเป็นภาพของแม่มดที่กำลังขี่ไม้กวาด ที่เกี่ยวข้องกับศาสนา แม้แต่คาถาต้องห้ามในประเทศอังกฤษ และยังมีขั้นตอนการฝึกฝนตนเองสู่การเป็นแม่มด คาถาและเวทมนต์ต่างๆ มากมาย จัดแสดงการทรมานหญิงสาวบริสุทธิ์ที่ชาวบ้านทดลองเพื่อพิสูจน์ว่าใครเป็นแม่มด และยังมีห้องที่จัดแสดงเครื่องมือ เครื่องเทศ ของเหล่าแม่มด ที่ใช้ร่ายเวทมนต์ เอาเป็นว่าใครที่เป็นสาวกพ่อมดแม่มดตัวยงก็อย่าลืมแวะไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้เลย
       
       สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซด์ cornishwitchcraft.co.uk ได้เลย
       
       10. พิพิธภัณฑ์แห่งความตาย (Museum of Death) 
          ที่นี่คือพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมความสยองขวัญสั่นประสาทเอาไว้มากมาย “The Museum of Death” ตั้งอยู่ที่เมืองแมนแดน ฮอลลีวู้ด ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1995 เปิดให้เข้าชมมาแล้วกว่า 20 ปี รวบรวมภาพและข้อมูลของการฆาตกรรมดังๆ จากทั่วโลก เช่น คดีฆาตกรรมของ Charles Manson หรือ Black Dahlia และอื่นๆ อีกมากมาย โดยไฮไลท์จะอยู่ที่เครื่องประหารกิโยติน ที่ใช้ตัดหัวฆาตกรสุดโหด Henri Desire Landru ชาวฝรั่งเศส เมื่อช่วงต้นศตวรรษที่ 20 หรือจะเป็นคอลเลคชั่นศพที่เรียงรายกันอยู่ ระหว่างเดินชมอาจจะได้บรรยากาศของบ้านผีสิงมากกว่าพิพิธภัณฑ์ ใครที่ขวัญอ่อนก็ต้องเตรียมสภาพร่างกายและจิตใจให้พร้อม เพราะอาจถึงขั้นอาเจียนวิงเวียนศีรษะตอนออกมาเลยก็ได้ 
          11. พิพิธภัณฑ์รถม้าลากศพ (Museum of Funeral Carriages, Spain) 
          ฟังแล้วอย่าเพิ่งตกใจกับพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อชวนสยอง อย่าง "พิพิธภัณฑ์รถม้าลากศพ" ที่เก็บรวบรวมรถม้าในสมัยโบราณของประเทศสเปน ที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายศพของคนตายไปยังสุสาน ตั้งอยู่ที่เมืองบาร์เซโลน่า แสดงให้เห็นถึงศิลปะวัฒนธรรม และพิธีกรรมในสมัยโบราณ เกี่ยวกับการส่งวิญญาณและร่างของผู้ตายไปสู่สุสาน บรรยายถึงภาพรวมของพิธีกรรมที่มีการพัฒนามาตลอดหลายศตวรรษ และยังสามารถส่งผู้เข้าชมย้อนวันเวลากลับไปที่บาร์เซโลน่าในศตวรรษที่ 19 ได้อย่างละเอียดยิบเหมือนเกิดในยุคสมัยนั้นเลยทีเดียว 
          โดยคนในท้องถิ่นจะรู้จักพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ในนาม “Museu de Carrosses Fúnebre” ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1970 ภายในพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย จัดแสดงโชว์รถม้าโบราณบรรทุกศพทั้งหมด 19 ชิ้น ประกอบด้วย รถม้าบรรทุกศพแบบหรูหราอลังการ 13 คัน, รถม้าขนาดใหญ่ตกแต่งสวยงามสำหรับญาติเพื่อบรรทุกศพไปโบสถ์และสุสาน 6 คัน และ หัวรถม้าอีก 3 ชิ้น ซึ่งทุกชิ้นล้วนมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในยุคศตวรรษที่ 18 และยังมีโอกาสได้สัมผัสกับห้องสมุดอันทรงเกียรติของประเทศสเปน “Cementiris de Barcelona’s prestigious library” ที่อยู่ติดกับพิพิธภัณฑ์รถม้าลากศพแห่งนี้ ที่ได้เก็บรวบรวมหนังสืองานศพที่สำคัญๆ ของประเทศสเปน กว่า 3,600 ชิ้น
       
       12. พิพิธภัณฑ์องคชาติ (The Icelandic Phallological Museum, Iceland) 
          มาถึงอีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ แค่ชื่อก็ชวนสยิวอย่าบอกใคร และยังเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย “พิพิธภัณฑ์องคชาติ” แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ประเทศไอซ์แลนด์ ดินแดนแห่งธารน้ำแข็ง ก่อตั้งโดย ซิเกอร์เดอร์ ฮจาร์ทาร์สัน (Sigurdur Hjartarson) จุดเริ่มต้นมาจากการที่นายซิเกอร์เดอร์ ได้รับ “อวัยวะเพศของวัว” มาหนึ่งอันที่มีลักษณะคล้ายแส้ขี่ม้า (Riding Crop) ในปี 1974 และหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยอวัยวะสืบพันธุ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพศผู้ (Mammal) ทั้งบนบก และในน้ำ อีกมากมายที่สามารถหาพบในประเทศไอซ์แลนด์ ได้ถูกนำมาเก็บรวบรวมและจัดแสดงโชว์ไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ปัจจุบันมีเหล่าองคชาติทั้งหมด 271 ชิ้น จากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกว่า 100 สายพันธุ์ ทางพิพิธภัณฑ์จะได้รับบริจาคมาจากนายพราน ชาวประมง และนักสัตววิทยา เป็นต้น 
 
Credit: http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9570000122722
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...