ในปีนี้ มีรถยนต์ต้นแบบถูกเปิดตัวออกมามากมายหลายรุ่นตามงานมอเตอร์โชว์ชั้นนำของโลก แต่นี่คือ10 รุ่นที่ทางทีมงานของ ASTV ผู้จัดการมอเตอริ่งเห็นแล้วว่าเด็ดและน่าสนใจ
1.Maserati Alfieri Concept :ผลผลิตใหม่ของมาเซราติกับงานออกแบบครั้งใหม่โดยตัวรถถูกนำออกจัดแสดงครั้งแรกในงานเจนีวามอเตอร์โชว์เดือนมีนาคมและได้รับการคาดหมายว่ามีแนวโน้มค่อนข้างสูงที่จะกลายร่างมาเป็นคันจริงสำหรับขายในตลาด
ต้นแบบคันนี้ได้รับการออกแบบโดยมาโก้เทนโคเนซึ่งในอดีตเคยทำงานในสำนักออกแบบชั้นนำอย่างพินินฟารินาและเบอร์โทเนมาแล้วก่อนที่จะเข้ามาร่วมกับเฟียตกรุ๊ปในปี 2009 โดยรับหน้าที่ดูแลงานออกแบบของแบรนด์มาเซราติและอัลฟาซึ่งผลงานที่ผ่านมาของเขาคือ 4C ของอัลฟาและมาเซราติควอตโตรปอร์เต้รุ่นปัจจุบัน
ตัวรถมาในแบบคูเป้ 2+2 ที่นั่งส่วนชื่อรุ่นเป็นการนำชื่อของอัลฟิเอรี่มาเซราติสมาชิกของ 1 ใน5 พี่น้องตระกูลมาเซราติมาใช้และนั่นทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเมื่อถึงเวลาผลิตขายจริงพวกเขาจะยังใช้ชื่อนี้ต่อไป หรือว่าจะเปลี่ยนเป็นชื่ออื่นใมนกรณีที่ต้องเข้ามาทดแทนรถสปอร์ตที่มีอยู่แล้วในตลาด
ตัวรถใช้พื้นฐานเดียวกับแกรนทัวริสโม MC Stradaleแต่มีการหั่นระยะฐานล้ออีก 260 มิลลิเมตร และในต้นแบบแม้ว่าจะใช้เครื่องยนต์วี8 4,700 ซีซีเหมือนกับรุ่นแกรนทัวริสโมแต่ตามข่าวที่เปิดเผยออกมาตามหลังว่าคันจริงของอัลฟิเอรี่จะใช้เครื่องยนต์วี6 แต่มี 3 กำลังขับเคลื่อนคือ 416, 456 และ 527 แรงม้านั้น ทำให้เกิดความไม่แน่ใจแล้วว่าสปอร์ตรุ่นนี้จะเข้ามาแทนที่รุ่นแกรนทัวริสโมที่ขายตั้งแต่ปี 2008 หรือว่าจะเป็นน้องเล็กของสายพันธุ์สปอร์ตกันแน่
แต่อีกไม่นานเรื่องนี้คงกระจ่าง
2.Chevrolet Chaparral 2X VGT :หนึ่งในผลผลิตที่เกิดจากโปรเจ็กต์ของการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 25 ปีของเกมแข่งรถ GT หรือ Gran Turismo ที่คนทั่วโลกต่างคุ้นเคยกันดี โดยก่อนหน้านี้มีผลผลิตจากค่ายโตโยต้า, โฟล์คสวาเกน และเมอร์เซเดส-เบนซ์ออกมาจัดแสดงแล้ว และของเชฟโรเลตเป็นผลผลิตล่าสุด
Chaparral 2X VGTเป็นไอเดียของการหวนคืนสู่อดีตกับโปรเจ็กต์รถแข่งอันโด่งดังของแบรนด์นี้เมื่อ 45 ปีที่แล้วกับความร่วมมือของทีมChapparalซึ่งอยู่ที่เท็กซัสและแน่นอนว่าโปรเจ็กต์ทั้งหมดเป็นการขายฝันทีมงานก็เลยจัดเต็มในเรื่องของการออกแบบที่ล้ำสมัยของตัวรถเช่นเดียวกับการติดตั้งเทคโนโลยีซึ่งในต้นแบบคันนี้มาพร้อมกับ Air Power Generator ที่ช่วยผลิตกำลังขับเคลื่อนได้ถึง 900 แรงม้าและทำให้ตัวรถมีอัตราเร่งจาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 1.5 วินาทีและมีความเร็วสูงสุด 380 กิโลเมตร/ชั่วโมงกันเลยทีเดียว
3.Lamborghini Asterion LPI910-4 :LaFerrari, 918 Spyder และ P1 ดูเหมือนว่าลัมบอร์กินีจะพลาด ไม่ได้ ในการเกาะขบวนรถไฟซูเปอร์คาร์พลังไฮบริด และนั่นก็เลยเป็นที่มาของการเปิดตัวรุ่น แอสเตอเรี่ยน LPI910-4 ออกมาในงานปารีส มอเตอร์โชว์ เดือนตุลาคมที่ผ่านมา
จริงอยู่ที่แม้จะมีคำว่า Concept แปะท้ายอยู่ แต่ทว่ารถสปอร์ตรุ่นนี้น่าจะถูกผลิตออกสู่ตลาดใน อนาคตอย่างแน่นอน เพราะบริบทโดยรวมทำให้ปฏิเสธไม่ได้ โดยตัวรถจะมาในแบบคูเป้เครื่องยนต์วางกลาง โดยอ้างอิงพื้นฐานเดียวกับรุ่นอะเวนทาดอร์ แต่มีการออกแบบรูปลักษณ์ใหม่หมด
จุดเด่นของตัวรถอยู่ที่ระบบไฮบริดซึ่งเป็นการผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์วี10 5,200 ซีซี แบบ FSI ที่ใช้ระบบจ่ายน้ำมัน เชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ มีกำลังสูงสุด 610 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 57.1 กก.-ม. กับมอเตอร์ไฟฟ้า 300 แรงม้า ซึ่งเมื่อทั้ง 2 ส่วนทำงานร่วมกันจะมีกำลังมากถึง 910 แรงม้า ใช้เวลา 3 วินาทีในการทำอัตราเร่ง จาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีความเร็วสูงสุด 320 กิโลเมตร/ชั่วโมง
นอกจากนั้นตัวรถยังเป็นแบบ Plug-in Hybrid ที่สามารถเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จกระแสไฟฟ้าได้นั่น ในกรณีที่แบตเตอรี่ถูกชาร์จจนเต็ม ตัวรถสามารถแล่นใน EV Mode ทำระยะทางได้ 50 กิโลเมตรโดยประมาณ และทำความเร็วสูงสุด 125 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 24.3 กิโลเมตร/ลิตร
เชื่อว่าการผลิตน่าจะเริ่มในปีหน้า เพื่อเป็นอีกทางเลือกของคนที่ชื่นชอบความเร้าใจ ด้วยขุมพลังแบบ ลูกผสม
4.Mini Paceman Adventure : ดูเหมือนว่าทางมินิอยากที่จะทำให้รถยนต์ของตัวเองมีตัวถังที่ครบถ้วน ในการทำตลาดจริงๆ ซึ่งนั่นก็รวมถึงรุ่นกระบะที่เคยมีขายกับมินิรุ่นแรก หรือ Mk I และนำไปสู่การผลิตต้นแบบ ออกมาหยั่งเสียงลูกค้าทั่วโลกว่าถ้าเกิดมีผลิตขายจริง จะสนใจกันหรือเปล่า
การพัฒนาต้นแบบรุ่นนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างทีมงานของมินิและ BMW แห่งเมือง Munich และDingolgingในการนำเสนอรูปแบบใหม่แห่งการขับเคลื่อนและได้เลือกเอารุ่นย่อยคูเปอร์เอสมาเป็นต้นแบบในการพัฒนาซึ่งส่วนที่แปลกและแตกต่างจากเดิมคือด้านท้ายตั้งแต่เสา B-Pillar ที่ถูกดัดแปลงให้เป็นในสไตล์ปิกอัพ
ขุมกำลังขับเคลื่อนมาเต็มพิกัดโดยใช้เครื่องยนต์ 4 สูบเทอร์โบ 184 แรงม้าเป็นต้นทางในการส่งกำลังสู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อหรือ ALL4 ขณะที่ระบบช่วงล่างมีการดัดแปลงด้วย 2 เป้าหมายหลักคือยกสูงเพื่อให้ตัวลุยพร้อมลุยวิบาก และการเสริมแต่งเพื่อให้รองรับกับการใช้งานบนเส้นทางที่สมบุกสมบันตามสไตล์ออฟโรด พร้อมต่อท่อ Snorkel เพื่อยืนยันให้เห็นว่าลุยน้ำลึกได้จริง
ตอนนี้ก็ต้องรอดูต่อไปว่ามินิจะมีอะไรออกมาเซอร์ไพรส์ตลาดอีกหลังจากที่ก่อนหน้านี้ตัวถังแฮทช์แบ็กก็มีรุ่น 5 ประตูออกมาวางขาย
5.BMW Vision Future Luxury Concept :เป็นต้นแบบอีกรุ่นที่เปิดตัวในปี 2014 และติดอยู่ข่ายต้องสงสัยว่าจะมีการผลิตออกมาขายจริงหรือไม่เพราะทั้งรูปแบบตัวถังและช่วงเวลาของการเปิดตัวมันช่างสอดคล้องกันจริงๆและนั่นทำให้วิชั่นฟิวเจอร์ลักซัวรี่คอนเซ็ปต์ถูกคาดหมายว่าน่าจะเป็นตัวแทนของซีรีส์ 7 ใหม่ที่เปิดตัวขายมาตั้งแต่ปี 2008
อย่างไรก็ตามทาง BMW ไม่คอนเฟิร์มเรื่องนี้แต่บอกว่าวิชั่นฟิวเจอร์ลักซัวรี่คอนเซ็ปต์เป็นการสื่อให้เห็นถึงทิศทางของการออกแบบที่ BMW มีต่อรถยนต์ระดับหรูโดยจุดเด่นนอกจากจะอยู่ที่เรื่องของเส้นสายที่อยู่บนตัวถังแล้วยังถือเป็นการพลิกแนวคิดด้วยการนำการออกแบบประตูเปิดในสไตล์ตู้กับข้าวและไม่มีเสากลางหรือ B-Pillar มาใช้เพื่อช่วยเพิ่มความกว้างขวางและการเข้าออกจากห้องโดยสารที่สะดวกและรวดเร็วโดยเฉพาะผู้โดยสารที่นั่งอยู่บนเบาะหลัง
ในแง่ของเทคโนโลยีใหม่ๆก็มีทั้งการนำเสนอระบบ Head-up Display แบบใหม่โดยจะแสดงผลในตำแหน่งสายตาของผู้ขับขี่เพื่อให้สามารถรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับตัวรถและทาง BMW เผยว่าเป็นตำแหน่งที่เหมาะสมในการรับทราบข้อมูลอย่างปลอดภัยขณะที่ด้านหลังมีการนำหน้าจอขนาด Tablet มาใช้ในการเชื่อมต่อกับโครงสร้างของระบบอิเล็กทรอนิกส์ภายในรถเพื่อทำหน้าที่เป็นหน้าจอสำหรับสั่งการทำงานของระบบต่างๆ
ต้องรอดูว่าเมื่อซีรีส์ 7 ใหม่เปิดตัวในปีหน้าหน้าตาจะเหมือนหรือว่าแตกต่างจากตรงนี้มากน้อยแค่ไหน
6.Audi TT OffroadConcept :การเปิดตัวโดยใช้ชื่อ TT ถือเป็นความฉลาดในเชิงการตลาดของ Audi เพราะนั่นเท่ากับว่าพวกเขากำลังทำ SUV ที่อ้างอิงพื้นฐานของรถสปอร์ตไม่ใช่ทำ SUV ให้ดูสปอร์ตและจะช่วยยกระดับให้ตัวรถดูเหนือจากคู่แข่งในตลาดได้ไม่ยาก (ในกรณีที่มีการผลิตขายจริง)
แน่นอนว่าตัวรถมีการอ้างอิงเส้นสายและสไตล์การออกแบบมาจาก TT ด้วยเช่นกันรวมถึงรูปแบบของฝาถังน้ำมันโดยตัวรถมาในแบบ4 ประตูที่มีความยาว 4,390 มิลลิเมตรกว้าง 1,850 มิลลิเมตรและระยะฐานล้อ 2,630 มิลลิเมตร
ในต้นแบบเป็นการขับเคลื่อนด้วยระบบ Plug-in Hybrid มีเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ TFSI แบบ 4 สูบ 2,000 ซีซีเทอร์โบ 292แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 38.7 กก.-ม. ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 40 กิโลวัตต์ที่มีขนาดเป็นแผ่นบางๆและเชื่อมต่อเป็นชุดเดียวกับเกียร์ e-S Tronic แบบ 6 จังหวะและจะมีมอเตอร์ไฟฟ้าอีกตัวขนาด 85 กิโลวัตต์ติดตั้งอยู่ที่ล้อหลัง
นั่นคือสเป็กของรุ่นต้นแบบแต่ถ้าจะมีการผลิตจริงเชื่อว่านอกจากรุ่นไฮบริดแบบเสียบปลั๊ก (ซึ่งในปัจจุบันกลายเป็นรุ่นมาตรฐานของรถยนต์หลายรุ่นจากค่ายออดี้) แล้วน่าจะมีทางเลือกของขุมพลังอื่นๆด้วยเช่นกัน
7.Toyota FT-1 :การเปิดตัวต้นแบบรุ่นนี้ในงานโชว์ที่ดีทรอยต์ถือว่าสร้างความฮือฮาได้ไม่น้อย เพราะนั่นทำให้เกิดคำถามว่านี่คือรถสปอร์ตรุ่นใหม่ที่โตโยต้าจะนำออกมาแข่งกับนิสสัน GT-R และ NSX ใหม่ของค่ายฮอนด้า/อาคูรา
แน่นอนว่า FT-1 คือ ชื่อรุ่น ซึ่งย่อมาจาก Future Toyota ส่วนเลข 1 ไม่ได้หมายถึงลำดับ แต่สื่อถึงคำว่าสุดยอด หรือ Ultimate และจากการที่เปิดตัวออกมาในจังหวะที่ บรรดาแบรนด์ญี่ปุ่นต่างรีเทิร์นกลับสู่ตลาดรถสปอร์ตอีกครั้ง ก็เลยทำให้ข่าวที่ว่าโตโยต้าจะปัดฝุ่นโปรเจ็กต์ Supra กลับมาเป็นจริงอีกรอบหลังจากถูกเก็บเข้าลิ้นชักเพราะวิกฤตน้ำมันในปี 2008
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการคอนเฟิร์มออกมา แต่จากการที่ช่วงกลางปีมีการเปิดตัวเวอร์ชัน Graphite ออกมา ก็เลยกลายเป็นข่าวอีกครั้งว่าโตโยต้าจะผลิตขายจริงอย่างแน่นอน เพียงแต่จะใช้ชื่อว่าอะไรนั้น ต้องรอดูกันต่อไป
8.Volkswagen XL Sport Concept :หากโปรเจ็กต์นี้ได้รับการอนุมัติ ถือเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นอีกครั้งที่เราจะได้เห็น โฟล์คสวาเกนบุกตลาดรถสปอร์ตในระดับซูเปอร์คาร์หลังจากที่พวกเขาเคยพยายามมาแล้วครั้งหนึ่งกับรุ่น W12 แต่ก็ไม่ได้รับอนุมัติการผลิต
XL Sport Concept มากับตัวรถในแบบสปอร์ตคูเป้ประตูเปิดแบบปีกนก พร้อมตัวถังที่ได้รับการผลิตจาก คาร์บอนไฟเบอร์ผสมกับอะลูมิเนียม และที่สำคัญคือ ใช้เครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ โดยยกมาจาก Ducati รุ่น 1199 Superleggera ซึ่งมีการผลิตจำกัดเพียง 500 คัน
แม้ขุมพลังบล็อกนี้แม้จะเป็นแบบ V2 ที่มีความจุในพิกัด 1,200 ซีซี และมีกำลัง 200 แรงม้า แต่เมื่ออยู่ในตัวถังที่มีน้ำหนักเพียง 890 กิโลกรัม และส่งกำลังด้วยเกียร์แบบ 7 จังหวะแล้ว สามารถทำความเร็วได้ถึง 270 กิโลเมตร/ชั่วโมง และใช้เวลา 5.7 วินาทีสำหรับอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ต้องรอดูกันต่อไปว่า XL Sport จะคว่ำเหมือนกับ W12 หรือว่าจะถูกผลิตออกมาเหมือนกับ XL1
9.McLaren P1 GTR : สุดขั้นความแรงในสนามแข่งของแม็คลาเรนที่สานต่อความสำเร็จของ F1 GTR ในสนามแข่งช่วงทศวรรษที่ 1990 โดย P1 GT1R ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นภายใต้องค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยี มอเตอร์สปอร์ตที่แม็คลาเรนมีประสบการณ์มานานกว่า 50 ปีทั้งในสนามแข่ง GT เลอมังส์ และ F1
อย่างไรก็ตาม ตัวรถไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลูกค้าคนพิเศษ (ที่แน่นอนว่าจะต้องมีทั้งเงินถุงเงินถัง และใจรักการแข่งรถ) โดยจะถูกใช้ใน One Make Race ที่เรียกว่า McLaren P1 GTR Driver Programme ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกค้าคนพิเศษได้สัมผัสกับประสบการณ์แข่งรถผ่านทางตัวแข่ง P1 GTR ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ
ตัวรถได้รับการพัฒนาต่อยอดจากซูเปอร์คาร์พันธุ์ดุอย่าง P1 ภายใต้การดูแลของหน่วยงาน MOS-McLaren Special Operationsและมีการติดตั้งเทคโนโลยีจากสนามแข่ง F1 อย่างDRS (Drag Reduction System) เข้ามาด้วยซึ่งเป็นการออกแบบให้สปอยเลอร์หลังสามารถปรับแพนอากาศได้เพื่อการทรงตัวและการแล่นที่ดีขึ้นส่วนเครื่องยนต์เป็นเทคโนโลยี KERS จากสนามแข่ง F1 เช่นกันโดยมอเตอร์ไฟฟ้าที่อยู่ในระบบทำหน้าที่แค่ช่วยขับเคลื่อนเมื่อถูกกดปุ่มเหมือนกับเป็นเทอร์โบไฟฟ้า จนช่วยเพิ่มกำลังขยับขึ้นมาในระดับ 900 แรงม้าและชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บในแบตเตอรี่อีกด้วย
10.Infiniti Q80 Inspiration Concept:ดูเหมือนว่านิยามของรถซีดานและรถสปอร์ตในยุคใหม่ๆ จะไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเดิมที่จะต้องมาในแบบ 4 หรือ 2 ประตูตามลำดับ แต่สามารถแฝงตัวมาในมาดของเก๋ง 4 ประตูแบบ 3 กล่อง แต่มีเส้นสายที่เร้าใจแบบสุดๆ เช่นเดียวกับการวางเครื่องยนตร์ทรงพลังและการเซ็ตอัพตัวรถให้ตอบสนองความสปอร์ตในการขับขี่
Q80 Inspiration คือ อีกความพยายามของอินฟินิตี้ แบรนด์ระดับหรูของนิสสัน ในการตอบสนอง ความต้องการของตลาดด้วยสปอร์ตซีดานที่พกพาเส้นสายตัวถังและแนวคิดในการพัฒนารถที่เน้นความเร้าใจ ในทุกรายละเอียด ขณะที่การขับเคลื่อนเน้นความสะอาดและความประหยัดตามแบบรถยนต์สมัยใหม่ โดยใช้เครื่องยนต์วี6 3,000 ซีซี เทอร์โบแบบไฮบริดเป็นขุมพลัง รีดกำลังออกมาได้ 550 แรงม้า แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือ ความประหยัดในระดับเฉียด 20 กิโลเมตร/ลิตร แถมยังคาย CO2 แค่ 129 กรัมต่อ 1 กิโลเมตรเท่านั้น
เรื่องการผลิตจริง นิสสันยังไม่ได้พูดถึง บอกแค่ว่าเป็นต้นแบบที่เน้นการแสดงเส้นสายของการออกแบบ ซึ่งจะถูกนำมาใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่จะเปิดตัวในอนาคตเท่านั้น...ที่เหลือไปมโนกันเอาเอง