เปรียบเทียบ Samsung Galaxy Note 4 กับ iPhone 6 Plus

 

ยินดีต้อนรับเข้าสู่สังเวียนการต่อสู้รุ่น heavy weight ที่ดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์มือถือ  เป็นครั้งแรกที่ appleก้าวเข้าสู่ตลาด phablet* ที่ซัมซุงครองความเป็นเจ้าตลาดมานานกว่า 4 ปี (ซัมซุงเป็นผู้สร้างตลาดนี้ขึ้นมาหรือไม่ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่)  นั่นหมายถึง บริษัทยักษ์ใหญ่สองบริษัท แนวคิดสองขั้วที่ตรงกันข้าม มือถือขนาดใหญ่สองรุ่น กำลังแข่งขันกันเอาชนะใจลูกค้าอย่างเราๆโดยที่ทั้งสองมีแนวทางที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  ไม่มีสงครามมือถือครั้งไหนจะยิ่งใหญ่กว่านี้อีกแล้ว หมายความตามนั้นทุกคำ  เพราะฉะนั้น นั่งประจำที่รัดเข็มขัดได้เลย งานนี้สนุกแน่

การออกแบบ – การใช้งาน กับ ความสวยงาม

ถ้าจะเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของ Galaxy Note 4 กับ iPhone 6 Plus นั้น  การออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด   ฝีมือการออกแบบแนวเรียบง่ายแต่ดูมีระดับ (minimalist) ของ Apple นั้นเป็นที่กล่าวขานกันมานานแล้ว ในขณะที่ซัมซุงนั้น ในวงการขบขันกันมานานหลายปีว่ามีรูปลักษณ์ที่ขี้เหร่

Galaxy Note 4 (left) iPhone 6 Plus (right) – image credit: Gordon Kelly

iPhone 6 Plus: 158.1 x 77.8 x 7.1 มม. (6.22 x 3.06 x 0.28 นิ้ว) นน. 172 กรัม (6.07 ออนซ์)

Galaxy Note 4: 153.5 x 78.6 x 8.5 มม. (6.04 x 3.09 x 0.33 นิ้ว) นน. 176 กรัม (6.21 ออนซ์)

แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุป  อย่างที่ผมได้กล่าวไว้ในบทวิจารณ์ iPhone 6 Plus Long Term Review  Phablet ตัวแรกของ Appleตัวนี้ได้รับการสรรค์สร้างมาอย่างดีเลิศ ตัวเครื่องทำจากวัสดุชั้นยอดและมีขอบเครื่องที่ไร้เหลี่ยม  อย่างไรก็ตาม Apple อาจจะกำลังแสดงให้ทุกคนเห็นถึงคำว่า “ดูเหมือนจะดี” โดยใช่เหตุ

ตัวเครื่องที่ไม่มีความโค้งมนจะทำให้รู้สึกว่าถือไม่ถนัด ในขณะที่เครื่องทำจากอลูมิเนียมผิวเรียบกริบมีการประกอบแบบเป็นเนื้อเดียวไม่มีโครง[1]ให้ความรู้สึกลื่นมือเหมือนกับกำลังถือสบู่ ดังนั้น เคส(ปลอก)ถือเป็นสิ่งจำเป็น ในขณะเดียวกัน กล้องนั้นนูนออกมาจากตัวเครื่องทำให้ดูไม่ดีและกลายเป็นจุดสัมผัสทุกครั้งที่วางเครื่อง นั่นหมายถึงตัวเครื่องจะไม่ราบลงบนพื้นทำให้พื้นหลังที่แบนเรียบนั้นไม่มีประโยชน์เข้าไปใหญ่

iPhone 6 Plus looks better, but Note 4′s textured back offers better grip (image credit: Gordon Kelly)

อีกด้านหนึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า Note 4 จะสวยงามดึงดูด  Phablet รุ่นที่ 4 ของซัมซุงนี้พัฒนามากขึ้นด้วยการใช้โครงโลหะที่คงตัว (ไม่มีการงอ)และเพิ่มความนุ่มนวลโดยการติดหนังเทียมด้านหลัง  แต่นั่น ก็ไม่ได้ทำให้ชนะการประกวดความงามแต่อย่างใด

ความพยายามของซัมซุงที่จะรวมปุ่ม home แบบกดเข้ากับปุ่มอื่นๆที่เป็นแบบสัมผัสทำให้หลายๆคนไม่ปลื้ม และดูเหมือนว่าซัมซุงก็ยังไม่ไปในองศาที่ถูกต้องเหมือนกับพวก Motorola  HTC หรือ LG   ครั้งนี้ Note 4 ดูเป็นของถูกรูปทรงเหลี่ยม ไม่เหมือน Note 3 ที่ดูเป็นของถูกรูปทรงโค้งมน  ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไร (โดยการย่อมุมขอบแทบจะทุกขอบที่มี) ซัมซุงนั้นไม่สามารถออกแบบให้โดนใจได้จริงๆ

แต่ทว่า สิ่งที่ Note 4 เอาชนะ iPhone 6 Plus ได้ในภาพรวมก็คือ ความถนัดในการใช้งาน  ด้านหลังของเครื่องมีการเพิ่มความโค้งมนและผิวสัมผัสทำให้รู้สึกดีเวลาถือ (แม้เครื่องจะกว้างกว่าก็ตาม) และจับถนัดมือซึ่งจะทำให้การใช้งานมือเดียวมีความเป็นไปได้ (เพิ่มเติมประเด็นนี้ภายหลัง)   ยิ่งไปกว่านั้น ขอบเครื่องก็บางกว่ามาก แบ็ตเตอรี่ถอดเปลี่ยนได้ และมี microSD การ์ดที่ขยายความจุได้

Galaxy Note 4 has a removable battery and expandable storage (image credit: Gordon Kelly)

กล้อง Note 4 ที่นูนออกมาอาจจะใหญ่กว่า iPhone 6 Plus ด้วยซ้ำ แต่ก็ทำให้กระจายแรงกระแทกออกไปได้กว้างกว่า  แต่อย่าเข้าใจผิด ยังไงก็ต้องมีการกระแทกและการขีดข่วน แต่โดยทั่วๆไปก็ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่ทนทานกว่า ถือแล้วรู้สึกดีกว่า และมีความยืดหยุ่นมากกว่า 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความภักดีในการใช้งาน iOS หรือ Android ของคุณจะเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะชอบอะไรมากกว่ากัน แต่สำหรับกลุ่มทีกลางๆที่ไม่ได้รู้สึกแย่กับข้อด้อยด้านรูปลักษณ์ Note 4 เป็นงานออกแบบที่ดีกว่าที่จะอยู่ด้วยเป็นอย่างมาก  ผมนึกอยากให้ Samsung ทำรุ่นนี้ให้กันน้ำเหมือน Galaxy S5 ซึ่งไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าทำไมจึงขาดข้อนี้ไป

iPhone 6 Plus uses an IPS display while the Note 4 has Super AMOLED (image credit: Gordon Kelly) 

จอแสดงผล – น่าตื่นตาตื่นใจ หรือ สงบสุขุม

Note 4 มีข้อดีที่เห็นเป็นรูปธรรมเช่นกัน คือ หน้าจอมีขนาดใหญ่กว่า และความละเอียดสูงกว่า

·         iPhone 6 Plus: หน้าจอ IPS 5.5-นิ้ว , ควมละเอียด 1,920 x 1,080 (401 พิกเซลต่อนิ้ว)

·         Galaxy Note 4: หน้าจอ Super AMOLED 5.7- นิ้ว, ความละเอียด 2,560 x 1,440 (515 พิกเซลต่อนิ้ว)

จอแสดงผลทั้งสองรุ่นนี้ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ของทั้งสองบริษัท  Apple ไม่เคยสร้างหน้าจอที่ใหญ่และมีความละเอียดมากขนาดนี้มาก่อน ในขณะที่ซัมซุงมีจอขนาด 5.7 นิ้วมาแล้วใน Note 3 แต่ได้ขยับความละเอียดเพิ่มขึ้นสูงกว่า 2000พิกเซลใน Note 4   จอแสดงผลทั้งสองรุ่นนี้น่าตื่นตาตื่นใจทีเดียว ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของเครื่องรุ่นใดรุ่นหนึ่งเมื่อเปิดหน้าจอ lock screen ขึ้นมาก็จะต้องมีรอยยิ้มแน่ๆ

นี่คือการแสดงผลหน้าจอทั้งสองรุ่นเทียบเคียงกันซึ่ง Note 4 มาเหนือกว่า  จอแบบ AMOLED ให้สีที่สดและสว่างกว่าคู่แข่งที่สำคัญคือจอ IPS รุ่นต่างๆ และนี่คือสิ่งที่ผู้คนชื่นชอบ  จอ IPS ต่อกรด้วยการให้สีที่เป็นธรรมชาติมากกว่า  แต่ในเมื่อสนามแข่งขันเป็นไปอย่างดุเดือดซัมซุงก็ยังสามารถคุมเกมส์เรื่องความเกินจริงของสีได้เป็นอย่างดีใน Note 4

ยิ่งไปกว่านั้น Note 4 ยังเก็บรายละเอียดภาพได้มากกว่าอีกด้วย Apple อาจจะเคยจัดว่าความละเอียดระดับเท่าจอตาของมนุษย์[1] ก็คือ 326 พิกเซลต่อนิ้วหรือสูงกว่านั้น  แต่ทว่า เมื่อเป็นการใช้งานของหน้าจอที่มีขนาดใหญ่อย่างนั้น คนเราจะรับรู้ความแตกต่างของความละเอียดที่สูงกว่านั้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดูวีดีโอ (ซัมซุงยังสามารถทำหน้าจอให้ใหญ่กว่า iPhone 6 Plus ถึง 0.2 นิ้ว ในขณะที่เครื่องมีขนาดสั้นกว่า ทั้งนี้เนื่องมาจากหน้าจอมีขอบที่แคบกว่ามาก)

iPhone 6 Plus homescreen in landscape mode (image credit: Gordon Kelly) 

คุณลักษณะเด่น – มากเกินพอ กับ น้อยเกินไป

จุดสนใจในที่นี้คือความสามารถในการทำงานต่างๆ โดยเฉพาะในด้านที่จะใช้ความได้เปรียบของขนาดทีใหญ่ของphablet

โดยสรุป iPhone 6 Plus มีดีที่ศักยภาพในการพัฒนาต่อยอด หน้าจอหลักสามารถแสดงได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอนApple ก็ได้เพิ่มความสามารถในการทำงานตามแบบ iPad เข้าไปใน application หลักหลายๆตัวในการทำงานแนวนอน (เช่น stockapp ที่เห็นด้านล่าง)  ต่อจากนี้ก็ต้องรอดูว่าผู้พัฒนา application รายอื่นๆจะนำข้อได้เปรียบนี้ไปใช้หรือไม่อย่างไร

iPhone 6 Plus – Stocks app in landscape mode (image credit: Gordon Kelly) 

อีกด้านหนึ่ง Note 4 เองก็รวมเอากลยุทธ์ของ phablet ที่ผ่านมาทั้ง 4 รุ่นของซัมซุงเข้าไว้อย่างเห็นได้ชัด

ข้อแตกต่างที่เห็นชัดที่สุดก็คือปากกา S Pen ของ Note 4  การนำ stylus มาใช้งานน่าจะหมดไปตั้งแต่เมื่อ iPhoneถือกำเนิดขึ้นมาแต่แรกแล้ว แต่เมื่อหน้าจอมีขนาดใหญ่เช่นนี้การใช้ stylus ก็ดูจะเข้าท่าขึ้นมาอีกครั้ง  หลักๆก็เนื่องมาจากS Pen ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถเขียนได้คล่องเหมือนปากกาจริงๆแต่ดียิ่งกว่าด้วยมีความยืดหยุ่นในการใช้งานสูงกว่ามาก

Note 4 with integrated S Pen stylus (image credit: Gordon Kelly)

การเขียนลงบนหน้าจอนั้นใช้เวลาวันสองวันถึงจะคุ้นชิน แต่หลังจากนั้นไปจะเหมือนกับว่ามีสมุดจดไว้ใช้งานตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการเซ็นเอกสาร จดบันทึกบนหน้าจอ หรือแค่ใช้งานโทรศัพท์ทั่วๆไปก็เป็นสิ่งที่รวดเร็วและได้อย่างใจ Note 4 จะทำการกวนใจคุณเมื่อใดก็ตามที่เครื่องไม่สามารถติดต่อกับ S Pen ได้ซึ่งนั่นก็จะทำให้คุณเลิกทำ S Pen หาย  สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องความฉลาดของเครื่องซึ่ง Ian จะเจาะลึกรายละเอียดเรื่องนี้ในบทวิจารณ์ Note 4 review โดยเฉพาะ

The S Pen stylus with the Note 4 writes with exceptional quality (image credit: Gordon Kelly)

เรื่องฉลาดๆอีกเรื่องของ Note 4 ก็คือเรื่องการแสดงผลหลายๆหน้าจอพร้อมๆกัน[1] สามารถใช้งานโปรแกรมต่างๆไปพร้อมๆกันได้หลายๆหน้าจอ และสามารถย่อ-ขยายขนาดเท่าไรก็ได้  ถ้าเราต้องการดูวีดีโอ Youtube ไปพร้อมๆกับการท่องเว็บหรือการอ่านอีเมลก็สามารถทำได้  เราสามารถเรียกใช้คุณสมบัตินี้ได้โดยใช้รูปแบบการเคลื่อนไหวของนิ้ว[2] นั่นหมายความว่าอาจมีการเรียกใช้งานคุณสมบัติเหล่านี้โดยไม่ได้ตั้งใจก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามมันก็ยังคงเป็นการใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาดจากความใหญ่ของ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณสมบัตินี้ยังไม่ได้รับการสนับสนุนการใช้งานจาก Android

Galaxy Note 4 multi-window mode (image credit: Gordon Kelly)

 

นี่แหละคือจุดที่ความเกินพอเกิดขึ้น  เมื่อข้อเท็จจริงคือ Google ยังไม่มีการพัฒนาโปรแกรมสำหรับการใช้งานphablet  ภาระในการพัฒนาโปรแรกมทั้งหมดจึงตกอยู่กับซัมซุง  สิ่งนี้ส่งผลให้มีโปรแกรมที่เกินความจำเป็น[1]เกิดขึ้นมากมาย และของ Note มีมากกว่า Galaxy S5 เสียอีก  โปรแกรม TouchWiz ทำให้เสียความรู้สึกกับการใช้งาน Android รุ่นเฉพาะของซัมซุงเอง[2] แย่ยิ่งกว่าโปรแกรมหน้าหลักที่มาจากผู้พัฒนาโปรแกรมรายอื่นๆ ถึงแม้ว่าจะมี Google Launcherออกมาแก้ปัญหาก็ตาม

ตามที่กล่าวมานั้น แม้ว่าปัจจุบัน Note 4 จะเป็นอุปกรณ์ที่มีคุณลักษณะของ phablet สมบูรณ์กว่าก็ตาม  แต่ในระยะยาวถ้าหากว่า Google ไม่มีการผลักดันพัฒนา Nexus 6 ออกมาให้เป็น phablet แล้ว  ความได้เปรียบจะไปอยู่กับ Appleมากกว่า

 

ระบบ Andriod กับ iOS 8

เรื่องของโทรศัพท์สองรุ่นนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเปรียบเทียบแบบตัวต่อตัวระหว่าง Android กับ iOS 8 เลย (ผมจะพูดถึงประเด็นนั้นโดยเฉพาะเมื่อ Android 5.0 Lollipop ทำการเปิดตัว)  อย่างไรก็ดี มีจุดที่เป็นประเด็นน่าสนใจเช่นกัน

ในส่วนของ Apple ประเด็นใหญ่ที่มากับ iPhone 6 และ  iPhone 6 Plus ก็คือความสามารถในการทำงานร่วมกัน ของ Apple Pay กับระบบความปลอดภัยที่เรียบง่ายของ TouchID  ด้านซัมซุงเองก็ยังคงเสนอระบบความปลอดภัยแบบ

sensor ที่จับลายนิ้วมือจากการเลื่อนนิ้ว (ใช้ได้กับ Paypal) รวมถึงตัวจับอัตราการเต้นของหัวใจที่อยู่ด้านหลังข้างๆกับ flashซึ่งมีการใช้งานร่วมกับโปรแกรม S Healthfitness ของซัมซุงเอง

Galaxy Note 4 TouchWiz interface, apps and S Health

 

อีกครั้ง อย่างไรเสียก็คงรู้สึกได้ว่าซัมซุงยังคงทำการเปลี่ยนแปลงแก้ไข Android อยู่บ้างเพื่อประโยชน์ของตน เป็นความจริงที่ซัมซุงได้ลดการแก้ไข Android ในรูปแบบเฉพาะมาตั้งแต่ที่ Google ได้ทำการตักเตือนแล้ว  และการดัดแปลงในลักษณะเช่น การสลับตำแหน่งของปุ่มย้อนกลับ กับปุ่ม multitasking แทบจะไม่มีผลอะไรเลย เช่นเดียวกับการเปลี่ยนหน้ากากของหน้าจอกดเบอร์หรือหน้าสมุดโทรศัพท์หรืออื่นๆก็เช่นเดียวกัน

ส่วนในด้านดีซัมซุงมีความพยายามมากกว่า Apple ที่จะดัดแปลงระบบของตนให้เหมาะกับการใช้งานแบบมือเดียว ในขณะที่ Apple 

Credit: Link : http://www.forbes.com/sites/gordonkelly/2014/10/28/galaxy-note-4-vs-iphone-6-plus/3/
12 ธ.ค. 57 เวลา 19:00 2,693 20
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...