Dr. Masaru Emoto นักวิจัยชาวญี่ปุ่นได้เปิดเผยหลักฐานที่อาจทำให้ทั้งโลกอึ้งกับพลานุภาพของ “ความคิด” ของมนุษย์ ซึ่งเขาทำได้ทำการทดลองอันโด่งดังจนไปปรากฏอยู่ในหนังเรื่อง “What the Bleep Do We Know?” เมื่อปี 2004 มาแล้ว ที่ทำการทดลองว่า ความคิดของคนเราสามารถมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพได้หรือไม่ อย่างเช่น โมเลกุลของน้ำ
ซึ่งเขาเอง ก็ทำการทดลองเรื่อยมาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของโมเลกุล โดยเขาแช่แข็งหยดน้ำ และส่องเพื่อตรวจสอบโมเลกุลผ่านกล้องจุลทรรศน์ ที่สามารถถ่ายเก็บภาพได้
ทั้งนี้ เขาเก็บภาพทั้งก่อน และหลังของโมเลกุลของน้ำเมื่อถูกกระทบด้วยความรู้สึกและความคิดของมนุษย์ และนี่คือภาพสิ่งที่เกิดขึ้น :
Source: masaru-emoto.net
น้ำจากแหล่งเดียวกัน หลังการสวดมนต์ขอพร
Source: masaru-emoto.net
เมื่อคำว่า “ขอบคุณ” ถูกแปะลงที่ขวดน้ำกลั่น ผลึกของน้ำที่แข็งตัวของมัน มีรูปร่างที่คล้ายกับผลึกของน้ำที่อยู่กับบทเพลง “Goldberg Variations” ของ Bach ที่แต่งขึ้นเพื่อขอบคุณชายในเพลงนั้น
นี่คือภาพของโมเลกุลน้ำที่มีความคิดในแง่ “บวก” ส่งผลกระทบ:
Source: masaru-emoto.net
ความรักและความซาบซึ้ง
Source: masaru-emoto.net
ความสงบ
Source: masaru-emoto.net
การขอบคุณ
Source: masaru-emoto.net
ความจริง
Source: masaru-emoto.net
ความปรองดอง
Source: masaru-emoto.net
เมื่อตัวอย่างของน้ำ ถูกใส่ด้วยคำพูดที่ลบและรุนแรง หรือบทเพลงที่รุนแรง อย่างเช่นคำว่า “Adolf Hitler” น้ำไม่เรียงตัวเป็นผลึกใดๆ เลย แต่มันกลับกระจัดกระจายไม่เป็นรูปเป็นร่าง ไม่สวยงาม
และนี่คือภาพโมเลกุลของน้ำที่มีความคิดในแง่ “ลบ” ไปส่งผลกระทบ:
เลวร้ายมาก
Source: masaru-emoto.net
เธอกำลังทำให้ฉันเป็นบ้า ฉันอยากฆ่าเธอ!
Source: masaru-emoto.net
เธอมันโง่
Source: masaru-emoto.net
บางที เวลาที่เรามองไม่เห็นผลอย่างทันทีของการขอพร หรือสวดมนต์ บางทีเราคิดว่าเราล้มเหลว แต่สิ่งที่เราได้จากการทดลองของนักวิจัยคนนี้ มันบอกเราว่า แค่ “ความคิด” ที่ว่าเราจะล้มเหลว ก็ส่งผลแสดงออกมาต่อวัตถุทางกายภาพเสียแล้ว เพราะฉะนั้น เราควรรู้ไว้ว่า ถึงแม้ผลของการกระทำยังไม่เกิดขึ้นต่อสายตาของเรา แต่ผลมันเกิดขึ้นโดยที่เรามองไม่เห็นซะแล้ว เพราะอย่าลืมว่า 60% ของร่างกายของเราคือ “น้ำ” เพราะฉะนั้น คุณคงไม่อยากนึกภาพใช่มั้ยล่ะ ว่า “ความคิด” ต่างๆ นานา ของเรา ทำอะไรกับเราไปบ้าง!
และนี่คือคลิปวิดีโอจากภาพยนตร์เรื่อง “What the bleep do we know?” ที่โฟกัสที่การค้นพบของ Dr.Emoto :
H/T: TheMindUnleashed | HigherPerspective