ทุกวันนี้ในโลกของเรานั้น มีวิวัฒนาการ สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย?ส่วนมากเกิดจากความพยายาม ของเจ้าของสิ่งประดิษฐ์ โดยทำการลองผิดลองถูกบ้าง มีทั้งที่ ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ วันนี้ teen.mthai มี 15 สิ่งประดิษฐ์และอาหารที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญ มาฝากเพื่อนๆ กันคะ สิ่งของ-อาหารเหล่านี้?ถูกนำ มาใช้งานกันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันด้วย ??^^
15 สิ่งประดิษฐ์และอาหารที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญ
เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2471 หรือประมาณ 80 กว่าปีมาแล้ว เนื่องจาก Alexander Fleming ไม่ได้ทำความสะอาดห้องทดลอง ก่อนจะลาไปพักผ่อน เมื่อ Fleming กลับมายังห้องทำงาน เขา สังเกตุเห็นเชื้อราแปลกๆเจริญเติบโตอยู่บนจานอาหารที่เลี้ยงเชื้อ และรอบๆเชื้อราเหล่านั้นไม่มีการเจริญของเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเชื้อราที่ใช้ผลิตเพนิซิลลิน ?เพนิซิลลินจึงเป็นยาปฏิชีวนะชนิดแรกที่ถูกค้นพบและยังมีการใช้งานกันอย่างแพร่ หลายในปัจจุบัน
เครื่อง Pacemaker เป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตทางการแพทย์ อุปกรณ์ชนิดนี้เกิดจากความสะเพร่าของวิศวกรชาวอเมริกันท่านหนึ่งชื่อ Wilson Greatbatch ขณะกำลังต่อวงจรไฟฟ้าของ เครื่องบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจ ?โดย Greatbatch ต้องการ หยิบ resistor (ตัวต้านทานกระแสไฟฟ้า) ขนาด 10,000 โอห์ม แต่เขากลับไปหยิบ resistor ขนาด 1,000,000 โอห์มมาใช้แทน โดยไม่ได้สังเกตุ ซึ่งเมื่อเขานำวงจรดังกล่าวมาใช้งาน ?ได้พบว่า มีลักษณะเหมือนจังหวะการเต้นของหัวใจที่เต้น 1.8 มิลลิวินาที แล้วหยุดเต้นอีก 1 วินาที เป็นอย่างนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ
เรื่องนี้ที่มีความสัมพันธ์กันอย่างแปลกๆ เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2399 โดย William Perkin นักเคมีวัย 18 ปี พยายามคิดค้น ยารักษาโรคมาลาเรีย แต่การทดลองของ Perkin แทนที่จะได้ยา รักษาโรคมาลาเรียแต่กลับได้หมอกหนาทึบสีม่วงที่สวยงามจาก ปฏิกริยาทางเคมี ซึ่งถือเป็นสีย้อมสังเคราะห์สีแรกที่ค้นพบมี คุณสมบัติดีกว่าสีที่ได้จากธรรมชาติ เนื่องจากมีความสว่าง สดใส และสีไม่จางจากการซัก
การค้นพบของ Perkin ทำให้วิชาเคมี เป็นสาขาที่สร้างรายได้ขึ้นมา เขาได้สร้างแรงจูงใจให้คนในสมัยนั้นหันมาสนใจวิชาเคมีมากยิ่งขึ้น หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Perkin ก็คือ นักบัคเตรี (Bacteriologist) ชาวเยอรมันท่านหนึ่งที่ชื่อว่า Pual Ehrlich ซึ่งเป็นผู้บุกเบิก ศาสตร์ทางด้านภูมิคุ้มกันวิทยา (immunology) และเคมีบำบัด (chemotherapy)
เมื่อปี พ.ศ. 2439 นักฟิสิกส์ชื่อ Henri Becquerel มี ความสนใจกับสิ่งสองสิ่งนั่นก็คือ การเรืองแสงตามธรรมชาติ (natural fluorescence) และความแปลกใหม่ของรังสี X-ray เขาได้ทำการ ทดลองอย่างต่อเนื่องเพื่อทดสอบว่าถ้าแร่ธาตุที่เรืองแสงตาม ธรรมชาติเมื่อถูกปล่อยทิ้งไว้ภายใต้แสงแดดจะสามารถผลิตรังสี X-rays ได้หรือไม่ Becquerel ได้ทำการทดลองในช่วงฤดูหนาว
แต่มีปัญหาเกิดขึ้นคือ ในระหว่างการทดลองนั้นมีอยู่สัปดาห์หนึ่ง โดยมัดเข้าด้วยกันแล้วเก็บไว้ในลิ้นชักเพื่อรอวันที่มีแสงอาทิตย์ เพียงพอที่จะทำการทดลองต่อ หลังจากนั้นเขากลับมายังห้อง ทำงานของเขาและได้พบว่า ได้เกิดรอยพิมพ์ของก้อนหินยูเรเนียม (Uranium rock) ปรากฏอยู่บนแผ่นถ่ายภาพ (photographic plate) ที่ถูกทิ้งไว้ด้วยกันในลิ้นชักโดยที่ไม่ได้รับแสงอาทิตย์ มาก่อน ซึ่ง Becquerel คาดว่าน่าจะมีบางสิ่งที่พิเศษอยู่ใน หินก้อนนั้น หลังจากการทำงานร่วมกับ Marie และ Pierre Curie เขาจึงได้ค้นพบว่า สิ่งนั้นก็คือสารกัมมันตภาพรังสีนั่นเอง
เมื่อปี พ.ศ. 2450 มีการใช้สาร shellac เพื่อเป็นฉนวนใน เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ แต่เนื่องจากการใช้สาร shellac มีราคาแพง ทำให้ต้นทุนการผลิตเครื่องอิเล็กทรอนิกส์สูงตามไปด้วย เพราะต้องนำเข้าสาร shellac ที่ได้จากสารคัดหลั่งของแมลงครั่ง จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้นจึงนักเคมีชื่อ Leo Hendrik Baekeland คิดว่าหากเขาสามารถผลิตสารทางเลือกอื่นที่มี คุณสมบัติคล้ายสาร shellac เขาจะได้กำไรมหาศาลจากสารที่ เขาค้นพบ
แต่การทดลองของ Baekeland กลับได้วัสดุที่สามารถ พิมพ์ขึ้นรูปได้ และสามารถทนความร้อนได้สูงโดยไม่บิดงอ เรียกว่า BakeliteBaekeland คิดว่า Bakelite ที่คิดค้นได้นี้จะถูกนำไปใช้ในการบันทึกในเครื่องเสียง แต่ต่อมาอีกไม่นานได้มี การนำสาร Bakelite ไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆอีกมากมาย ซึ่งพลาสติกที่ใช้กันในทุกวันนี้ก็ได้มาจากสาร Bakelite
Charls Goodyear ได้ใช้ความพยายามนานนับ 10 ปี ในการค้นหาวิธีการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติยางให้ง่ายต่อการใช้งาน โดยคุณสมบัติยางที่ต้องการ คือ ต้องทนต่อความร้อนและความเย็น แต่เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนคุณสมบัติของยางให้เป็นตามที่ต้องการได้
จนกระทั่งวันหนึ่ง Goodyear ได้ทำส่วนผสมของยาง กำมะถัน และ ตะกั่วหกลงไปในเตาที่กำลังร้อนอยู่ ทำให้ส่วนผสมทั้งสามหลอม รวมกันและไหม้เกรียมเป็นสีดำ เมื่อ Goodyear หยิบสิ่งที่เกิดขึ้น มานั้นมาสังเกตุดูเห็นว่ามีความแข็งแรงแต่น่าจะนำมาประยุกต์ใช้งานได้หลังจากการค้นพบยางวัลคาไนซ์โดยบังเอิญของ Goodyear ปัจจุบันนี้มีการนำยางชนิดนี้มาใช้อย่างแพร่หลาย เช่น ยางรถยนต์ และรองเท้า
ไม่มีผลิตภัณฑ์อาหารชนิดไหนประสบความสำเร็จเท่ากับ ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มโค้ก เภสัชกร ชื่อ John Pemberton จากเมือง Atlanta พยายามค้นหาตัวยาที่ใช้รักษาอาการปวดหัว เขาได้ทำการ ผสมส่วนผสมต่างๆเข้าด้วยกัน (ซึ่งยังคงถูกปกปิดเป็นความลับ มาจนถึงวันนี้) ?และผลิตภัณฑ์ของเขาได้วางขายในร้านขายยา และใช้เวลาเพียงแค่ 8 ปีเท่านั้น และหลังจากนั้นยาของเขา ก็กลายเป็นเครื่องดื่มบรรจุขวดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
Jamie Link เป็นนักศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวิชา เคมี ที่ University of California อยู่นั้น หนึ่งในชิปซิลิกอน (Silicon chips) ได้เกิดระเบิดขึ้น จากการระเบิดครั้งนี้ Link ได้ค้นพบ ว่ามีชิ้นส่วนชิ้นเล็กๆอยู่หลายชิ้นที่ยังคงทำหน้าที่เป็นตัวเซ็นเซอร์
จากผลการค้นพบ Smart dust โดยบังเอิญของ Link ทำให้เขา ได้รับรางวัลสูงสุดจาก Collegiate Inventors Competition ในปี ค.ศ. 2003 โดยเซ็นเซอร์นี้สามารถใช้ตรวจสอบความบริสุทธิ์ ของน้ำดื่มหรือน้ำทะเล ตรวจจับสารเคมีที่เป็นอันตรายหรือสารต่างๆ ที่ส่งผลทางชีวภาพในอากาศ หรือแม้แต่การระบุตำแหน่งหรือ การทำลายเซลล์เนื้องอกภายในร่างกายได้
Saccharin เป็นสารให้ความหวานที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ สีชมพู ?การค้นพบเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2422 โดยนักเคมีชื่อ Constantin Fahlberg ความบังเอิญนี้เกิดจากการที่ Fahlberg ไม่ได้ล้างมือ หลังจากเสร็จสิ้นการทำงาน หลังจากที่เขากลับมาบ้านและ รับประทานอาหารร่วมกับภรรยาตามปกติ เขาได้ม้วนขนมปังและ รับประทานขนมปังนั้น เขารู้สึกว่าขนมปังที่เขารับประทานมี รสหวาน Fahlberg จึงสอบถามภรรยาว่าได้ใส่อะไรเข้าไปใน ขนมปังหรือเปล่า ภรรยาตอบว่าไม่ได้ใส่อะไรเข้าไปเป็นพิเศษ เขาจึงคิดว่าความหวานนั้นอาจมาจากมือของเขาที่ไม่ได้ทำความสะอาดก่อนรับประทานอาหารนั่นเอง ในวันต่อมา Fahlberg กลับมายังห้องทดลองของเขาแล้วเริ่มชิมสารต่างๆจนพบสารให้ความหวานที่เรียกว่า Saccharin ขึ้น
10. สิ่งประดิษฐ์และอาหารที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญ : ไอติมแท่งหวานเย็น
หวานเย็นแท่งเป็นน้ำหวานที่เอาไปแช่แข็งพอได้ที่ก็ออกมาเป็นแท่งแบบนี้ ซึ่งคนที่ประดิษฐ์คนแรกคือเด็กอายุ 11 ปี และเก็บความลับเรื่องนี้มาเป็นเวลา 18 ปีกว่าที่โลกจะรู้วิธีทำและฮิตขนาดนี้
เหตุการณ์ก็คือเขาเผลอเอาน้ำผลไม้เสียบหลอดไปไว้ที่หน้าระเบียง แล้วเผอิญว่าตอนนั้นเป็นช่วงฤดูหนาว และอากาศข้างนอกหนาวมากๆ เช้าวันต่อมา เด็กน้อยก็ไปดู พบว่า น้ำผลไม้ของเขากลายเป็นก้อนน้ำแข็งไปแล้ว และก็เอามากินแบบเดียวกับที่พวกเรากินนั่นแหละ (เก็บความลับไว้ตั้ง18ปีเลยนะนั่น)
11. สิ่งประดิษฐ์และอาหารที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญ : เทฟลอน
เทฟลอนเป็นสสารที่ทนความร้อนและไม่ค่อยทำปฏิกิริยากับอย่างอื่น เหมาะที่จะใช้ทำเป็นอุปกรณ์ปรุงอาหาร เริ่มแรกเป็นการค้นพบของกลุ่มพัฒนาอาวุธของทหาร ซึ่งถูกเก็บข้อมูลไว้ตั้งแต่ปี 1938 เพราะไม่รู้จะเอาไปทำอะไร (เอิ่ม!!) พอปี 1954 ก็มีช่างคนหนึ่งลองใช้เจ้าสสารชนิดนี้กับกระทะดู ซึ่งก็กลายเป็นที่นิยมกันจนถึงทุกวันนี้
12. สิ่งประดิษฐ์และอาหารที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญ : คุกกี้ ช็อคโกแลตชิป
เริ่มแรกเกิดจากคุณนาย Wakefield พยายามจะทำคุกกี้ช็อคโกแลต โดยคิดว่าถ้าเอาไปอบนั้น ใส่เศษช็อคโกแลตไป มันก็จะละลายและเข้าเนื้อของคุกกี้ได้ดี แต่เธอคิดผิด ช็อคโกแลตไม่ละลาย แต่เป็นเม็ดเล็กๆอยู่ทั่วๆชิ้นคุกกี้ ซึ่งคุณนายเองก็เห็นว่าแจ่มดี ตอนหลังก็ขายสูตรการทำให้กับบริษัทเนสต์เล่ ซึ่งช็อคโกแลตชิปคุกกี้ของเนสต์เล่ยังคงมีบอกสูตรวิธีการทำคุกกี้ของคุณนาย Wakefield เพื่อเป็นการเชิดชูคนที่ทำให้คุกกี้นี้ อยู่ยงคงกระพันไปอีกนาน
13. สิ่งประดิษฐ์และอาหารที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญ : มันฝรั่งทอดกรอบ
เรื่องของเรื่องมันเกิดจากที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ซึ่งโดนลูกค้าคนหนึ่งตำหนิว่า ชิ้นมันฝรั่งมันหนาไป และก็ชื้นๆด้วย ไม่อร่อย เจ้าของร้านก็เลยแอบเคืองอยู่เล็กน้อย หาวิธีว่าจะทำยังไงดี สุดท้ายก็ปิ๊งไอเดีย โดยฝานมันฝรั่งเป็นชิ้นบางมากๆ และเอาไปทอด ซึ่งผลที่ได้คือเป็นแผ่นแข็งๆและไม่สามารถใช้ส้อมจิ้ม (เหมือนจิ้มเฟรนช์ฟราย)ได้ แต่เป็นโชคดีของเจ้าของร้าน เพราะว่า ลูกค้าดันชอบแฮะ ซึ่งจากเรื่องนี้ทำให้เจ้าของร้านได้เมนูใหม่กินกับแกล้มชื่อ Saratoga chips และลูกค้าก็ติดใจกันงอมแงมเลยทีเดียว
14. สิ่งประดิษฐ์และอาหารที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญ : ไมโครเวฟ
เรื่องเกิดขึ้นที่บริษัทแห่งหนึ่งซึ่งชายคนนี้ผ่านเรดาร์ตรวจจับโลหะ ซึ่งเมื่อเขาไปถึงห้อง กำลังจะหยิบช็อคโกแลตในกระเป๋ากางเกงมากิน ก็พบว่า ทำไมช็อคโกแลตมันละลายล่ะ พอย้อนนึกคิด ก็มาถึงบางอ้อตรงที่เรดาร์นี่เอง และก็สร้างผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ขึ้นมา
15. สิ่งประดิษฐ์และอาหารที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญ : ไวอากร้า
เกิดจากงานวิจัยทางการแพทย์เพื่อหายาในการรักษาโรคหัวใจขาดเลือดซึ่งทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกได้ ทีนี้ เมื่อค้นคว้ายาชนิดนี้ ก็เห็นผลข้างเคียงว่า ทำให้เลือดไหลเลี้ยงตรงส่วนนั้นของผู้ชายมากขึ้น ทำให้เกิดการแข็งตัว ดังนั้น นี่จึงเป็นจุดเริ่มที่เอายาชนิดนี้มารักษาชายที่เป็นโรคนกเขาไม่ขันนั่นเอง
เรียบเรียง teen.mthai ที่มา ostc.thaiembdc