เดิมทีเมืองนี้ก็เป็นเมืองทั่วไป ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์สะเทือนใจในปี 1981 เคยมีคนอยู่อาศัยถึง 1,000 ครอบครัว ก่อนที่จะลดลงจนในปี 2010 มีคนอยู่เพียง 10 คน (ตอนนี้ไม่รู้เหลือกี่คนแล้ว)

เมืองเซนทราเลียมีชื่อเสียงในการทำเหมืองถ่านหิน แต่ว่าได้เกิดเหตุไม่คาดฝันเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ในเดือนพฤษภาคมปี 1962 ซึ่งที่มาของเหตุการณ์ไฟไหม้มีหลายที่มาค่ะ แต่ที่มาที่น่าสนใจคือ ต้นเพลิงมาจากการจุดไฟเผาขยะในบ่อของเหมืองที่อยู่ใต้ดิน แล้วไม่สามารถควบคุมเพลิงได้ ซ้ำร้ายกลับหนักขึ้นเพราะไฟติดถ่านหินและลุกลามจนไหม้พื้นที่ใต้ดินของชาวบ้านจนทั่วทั้งเมือง ซึ่งทางรัฐก็ได้ให้ความช่วยเหลือทั้งในเรื่องดับไฟและการย้ายถิ่นฐานไปยังเมืองใกล้เคียง แต่ก็หยุดไฟไว้ไม่ได้

ผลของไฟไหม้หนักในครั้งนั้นเรียกว่าค่อย ๆ ทำลายล้างทุกสิ่งอย่างในเมือง เพราะไฟไหม้ครั้งนี้ลุกไหม้ยาวนานมากว่า 50 ปี ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าทุกวันนี้ก็ยังไหม้อยู่เลยค่ะ ถนนหลายเส้นก็ถูกตัดขาดจากภายนอกเพราะยางมะตอยที่อยู่ใต้ดินหลอมละลาย พื้นดิบยุบตัวลง บ้านเรือนต่างๆ ที่เคยมีก็หายไปเกือบหมด ถูกแทนที่ด้วยป่า คนแทบจะอยู่ในเมืองนี้ไม่ได้แล้วเพราะอุณหภูมินั้นร้อนมาก มีหมอกควันและสารพิษปกคลุมเมืองอยู่ตลอดเวลา คาดว่ากว่าถ่านหินจะไหม้หมดก็อีกประมาณ 250 ปีทีเดียว

ไม่น่าเชื่อว่าเมือง (เกือบ) ร้างแบบนี้จะอยู่ในประเทศเจริญอย่างสหรัฐอเมริกา แต่ไม่ว่าจะเกิดที่เมืองไหน ประเทศไหนก็บอกได้คำเดียวว่าน่ากลัวมากๆ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงกว่านี้ตามมาหรือเปล่า ลำพังแค่ความร้อนระอุและหมอกควันที่คลุมทั้งเมืองก็ไม่น่าจะอยู่ได้แล้วนะคะ ไม่รู้ว่าชาวบ้านที่ยังปักหลักอยู่ในเมืองนี้ใช้ชีวิตอยู่กันได้อย่างไร...