เรื่องราวของตำนาน เรือไททานิค (Titanic) นั้นยังคงเป็นสิ่งที่หลายๆ คนพูดถึงกันไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ เรือไททานิคนี้โด่งดังและเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก เมื่อเรื่องจริงนี้ถูกในมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ในปี 1997 เกี่ยวกับเรือใหญ่ที่ไม่มีวันจม นาม “ไททานิค” ที่ได้เกิดอุบัติเหตุชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็งอันมหึมา! และยังคงเป็นตำนานความรักของคู่หนุ่มสาว “แจ๊ค-โรส” .. ทีนเอ็มไทยมี บุคคลที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ เรือไททานนิค Titanic (ภาค1) มาฝากเพื่อนๆ หรือใครที่ชอบเรื่องราวของประวัติศาสตร์ ลองตามไปดูกันเลยคะ ^^ (เนื้อเรื่อง-ข้อมูลยาวนะคะ)
บุคคลที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ เรือไททานนิค Titanic (ภาค1)ถ้าเพื่อนๆ เคยดูหนัง ไททานิค (Titanic) นำแสดงโดย ลีโอนาโด ดิ คาปริโอ กับ เคท วินสเล็ต เรื่องนี้จะเห็นได้ว่า มีนักแสดงตัวสำคัญอยู่อีกหลายคน เช่น กัปตันเรือ, นักออกแบบเรือ, นักดนตรีบนเรือ เป็นต้น ซึ่งนักแสดงเหล่านี้มีอยู่จริงในเหตุการณ์นั้น! ผู้กำกับ เจมส์ คาเมรอน ให้นักแสดงกว่า 150 ชีวิตในเรื่อง แสดงเป็นตัวละครที่มีชื่อและเบื้องหลังของบรรดาผู้โดยสารจริงๆ ของเรือไททานิค
ส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ยังคงตรึงตราอยู่ในใจคนทั่วโลก คือการที่ผู้กำกับ นักแสดง และทีมงานทุกคน ต่างใส่ใจทุกรายละเอียดของเรื่องราวเหตุการณ์จริง ไม่ว่าจะเป็น การให้ความสำคัญกับทุกตัวละคร ผู้โดยสารเรือ ที่หานักแสดงได้คล้ายกับตัวจริงนั้นๆ, รายละเอียดต่างๆ ของสิ่งของ-ฉาก เพื่อต้องการนำมาถ่ายทอดให้ทุกคนได้เห็นและสัมผัสเหมือนเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์นั้นเลยทีเดียว เพื่อนๆ รู้ไหมว่า นักแสดง-ทีมงานในเรื่องต้องใช้เวลากนานในการศึกษากิริยาและบุคลิกของผู้คนสมัยปี 1912 เพื่อความสมจริงสมจังของหนัง ..
1. กัปตันเรือ เอ็ดวาร์ด จอห์น สมิธ (Captain Edward John Smith)
หรือมีชื่อย่อว่า Edward J. Smith หรือ E.J. Smith เป็นกัปตันเรือที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 และเป็นกัปตันเรือที่ค่าตัวแพงที่สุดในยุคนั้น ด้วยความสามารถของนักเดินเรือผู้มากประสบการณ์โดยได้ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมาหลายครั้ง โดยมีผลงานที่โดดเด่นมากก็คือการได้เป็นกัปตันเรือ อาร์เอ็มเอส และไททานิค อันเป็นเรือลำสุดท้ายในชีวิตของเขา ที่เขาได้ดำรงตำแหน่งกัปตันจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตบนเรือลำนี้ (ก่อนหน้านั้นก็คือเรือ RMS Olympic เรือแฝดพี่ของไททานิค แต่เมื่อ RMS Olympic เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกับเรือ HMS Hawke จนต้องไปซ่อมแซม กัปตันสมิธก็มารับงานไททานิค
- 14 เมษายน 1912 ทะเลได้สงบเกินไปจนผิดปกติ พอตกเย็นอากาศโดยรอบเริ่มหนาวลงกว่าเดิม เป็นที่รู้กันดีในหมู่นักเดินเรือว่าจะต้องมีภูเขาน้ำแข็งโดยเป็นเหตุให้อากาศโดยรอบเย็นลง แต่ความรู้เหล่านี้มีผู้โดยสารน้อยมากที่จะรู้ และยังคงทำให้ผู้โดยสารดื่มและทานอาหารเย็นกันตามปกติ อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ทำให้กัปตันสมิธชะล่าใจเรื่องภูเขาน้ำแข็งแต่อย่างใด
- ในเวลา 20.55 น. กัปตันสมิธได้มายังสะพานเรือ เพราะว่ามีรายงานจากวิทยุว่า ไททานิคได้กำลังเดินทางเข้าสู่เขตที่ตั้งของภูเขาน้ำแข็ง เจ้าหน้าที่เรือและกัปตันได้สนทนากันเป็นเวลาหลายนาที เกี่ยวกับความสงบของทะเลในเวลานี้ได้ทำให้ความชัดเจนในการมองเห็นสิ่งวัตถุแปลกปลอมในเวลากลางคืนเป็นไปได้ยากขึ้น
- ในเวลา 21.30 น. กัปตันสมิธได้ออกจากสะพานเรือและได้บอกเตือนแก่พนักงานบนเรือให้เฝ้าสังเกตสิ่งผิดปกติข้างหน้า และยังคงให้รักษาความเร็วของเรือไททานิคที่ 22 น๊อต (ประมาณ 40 กิโลเมตร/ชม.) กัปตันสมิธกระตือรือร้นที่จะให้ไททานิคไปถึงนิวยอร์คก่อนเวลาที่กำหนด (เป็นเหตุให้กัปตันยังคงรักษาความเร็วของเรือ)
- หลังจากที่เรือชนภูเขาน้ำแข็ง แรงสั่นสะเทือนมากเพียงพอที่จะปลุกกัปตันสมิธซึ่งแต่งตัวพร้อมไว้เสมอในเวลานอน เขารีบไปที่สะพานเรือแล้วสั่งให้ปิดประตูกั้นน้ำทั้งหมด รองกัปตันเมอร์ด๊อก บอกเขาว่าได้ปิดมันเรียบร้อยแล้ว กัปตันสมิธถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่าเรือได้เฉียดไปชนภูเขาน้ำแข็ง แต่ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่หลังจากที่รายงานความเสียหาย น้ำก็ได้ทะลักเข้ามาในเรืออย่างรวดเร็ว
- กัปตันได้ส่งวิศวกรแอนดรูวซึ่งเป็นผู้ออกแบบเรือ และพวกของเขาลงไปตรวจสอบความเสียหายของเรือห้องเครื่องโดนน้ำท่วม และไม่สามารถหยุดน้ำจำนวนมากได้ คลังสินค้า 1 โดนน้ำท่วม คลังสินค้า 2 โดนน้ำท่วม วิศวกรแอนดรูวบอกกัปตันว่าเรือลำนี้ถูกออกแบบมาให้ลอยตัวอยู่ได้ถ้าน้ำท่วม 4 ห้อง แต่จะไม่สามารถลอยอยู่ได้หากเกิน 4 ห้อง พวกที่ลงไปสำรวจที่คลังสินค้า 3 ก็ได้พบว่าน้ำกำลังไกลบ่าอย่างมาก ทั้ง 2 คนได้ประกาศเตือน และได้ให้คนไปสำรวจตามจุดต่างๆทั่วเรือ และ พยายามที่จะปิดประตูกั้นน้ำของห้องหม้อน้ำหมายเลข 5 และหมายเลข 6 วิศวกรแอนดรูวได้บอกความคิดของเขาแก่กัปตันว่า ส่วนหัวของเรือจะจมลงหากน้ำได้ท่วมถึงห้องหม้อน้ำหมายเลข 6 และจะท่วมต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเรือก็จะจมลง และกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่จะพรากชีวิตไททานิคไปตลอดกาล …
- มีการคาดการณ์ว่า มีเวลา 1 ชั่วโมง - 1 ชั่วโมงครึ่ง ที่เรือจะสามารถลอยอยู่ได้ .. กัปตันสั่งให้เรือช่วยชีวิตทุกลำเตรียมพร้อมไว้ เขาได้ไปห้องสื่อสารเพื่อที่จะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ โดยแสดงพิกัดที่ไททานิคอยุ่ ไททานิคเป็นเรือที่มีความสามารถด้านการสื่อสารมาก และมีเรือหลายลำที่ได้รับข้อความ 1 ในจำนวนก็คือ เรือ บอลติก และเรือโอลิมปิก ของไวท์สตาร์ไลน์, เรือแฟรงค์เฟิร์ท เรือโคโรเนีย สัญญาณของเรือไททานิคได้ส่งไปถึงประภาคาร ที่ชายฝั่งของนิวฟาวน์แลนด์ โดยมีเรือขนส่งคาพาเธียเป็นเรือที่อยู่ใกล้และได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากไททานิค ซึ่งจุดที่เรือคาพาเธียอยู่ ห่างจากจุดที่ไททานิคอยู่ถึง 58 ไมล์ทะเล ผู้บังคับเรือ กัปตันอาเธอร์ โรสตรอน ยากที่จะเชื่อว่าเรืออย่างไททานิคกำลังจม ทันใดนั้น เขาก็สั่งให้ลุกเรือกำหนดพิกัดที่ไททานิคอยู่แล้วเดินทางไปช่วยเหลือไททานิคอย่างรวดเร็วที่สุดทันที
- ขณะที่เรือกำลังจะจม เขาได้ทำหน้าที่ของกัปตันอย่างกล้าหาญ เขาได้ขึ้นไปที่ดาดฟ้าเรือ ควบคุมสถานการณ์ความวุ่นวายของผู้โดยสารร่วมกับลูกเรือคนอื่นๆ กัปตันสมิธสั่งกับเจ้าหน้าที่ว่า “ผู้หญิงกับเด็กให้ลงเรือก่อน” และต้องทำตามอย่างเคร่งครัด กัปตันสมิธได้สั่งให้เรือทุกลำติดดวงไฟไว้ที่หัวเรือ เพราะแสงไฟนี้สามารถมองเห็นได้ไกลถึง4ไมล์ และเขาก็ยังคงสั่งให้เรือช่วยชีวิตช่วยคนอื่นๆไปก่อน โดยที่ยังไม่ตองมาช่วยตัวเขาเอง ในขณะนี้มีเจ้าหน้าที่กระจายกันไปทั่วเรือเพื่อที่จะดูแลความสงบ และป้องกันการก่อจลาจลของผู้โดยสาร เขาพยายามควบคุมเหตุการณ์ให้ลดความวุ่นวายลง จนในที่สุด เขาก็จมลงไปกับเรือของเขา แสดงความรับผิดชอบต่อหน้าที่กัปตันของตนเอง และชดใช้ความผิดที่ตนเองชะล่าใจเรื่องคำเตือนภูเขาน้ำแข็งที่เรือลำอื่นๆส่งมาเตือนเขาผู้เป็นกัปตัน
2. เฮนรี่ ทิงเกิ้ล ไวลด์ (Henry Tingle Wlide)
เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของเรือไททานิค ที่กับตันสมิธได้แต่งตั้งไว้แทนที่เจ้าหน้าที่คนก่อน และได้รับมอบหมายจากสายการเดินเรือ White Star Line โดยมีรองกัปตัน William Murdoch และ Charles Lightoller อยู่ภายในสังกัด และไวลด์ ได้ทดสอบความสามารถต่างๆและการเป็นผู้นำของเขาจนผ่านได้ทำงานบนเรือไททานิคแห่งนี้
- ในขณะที่เรือไททานิคกำลังจม ไวลด์ได้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆพยายามปล่อยเรือบดลงจากเรือขณะที่เรือกำลังจมลงอย่างรวดเร็ว แล้วยังแจกจ่ายปืนพกแก่เจ้าหน้าที่คนอื่นๆเอาไว้ควบคุมฝูงชนด้วย ผู้คนพบเห็นเขาครั้งสุดท้ายตอนที่เขากำลังพยายามยกเรือบดลำหนึ่งที่พลิกคว่ำร่วมกับผู้โดยสารคนอื่นๆและพยายามช่วยปล่อยเรือจนจมหายไปกับเรือหลังจากนั้น (ปล.มีข้อสันนิษฐานบางอย่างจากผู้โดยสารคนหนึ่งว่า เขาทำหน้าที่ปล่อยเรือบดออกไปจนหมดแล้ว เขาก็ยืนสูบบุหรี่อยู่บนสะพานเรือ รอคอยเวลาจนกว่าเรือจะอัปปางลง)
3. วิลเลี่ยม แมคมาสเตอร์ เมอร์ดอช (William McMaster Murdoch)
รองกัปตันของเรือไททานิค ในคืนที่ไททานิคอัปปางก่อนหน้านั้นหนึ่งชั่วโมง เขาได้มารับหน้าที่ผู้ควบคุมเรือ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยอีก 2 คน และ เจ้าหน้าที่อื่นๆอีก 10 คน เมื่อได้เกิดสัญญาณอันตรายที่ส่งจากเจ้าหน้าที่บนเสากระโดงเรือว่า มีวัตถุอันตรายข้างหน้า และมีโทรศัพท์ถึงสะพานเรือพร้อมกับได้รับแจ้งว่าพบภูเขาน้ำแข็งตรงหน้าของไททานิค รองกัปตันเมอร์ดอชได้สั่งให้หันหัวเรือในทันที และเขายังได้สั่งให้ถอยหลังเต็มตัว ในตอนนี้เขาได้เห็นภูเขาน้ำแข็งด้านหน้าต่อหน้าต่อตา แต่ทว่าเรือไททานิคยังคงเดินหน้าต่อไป เขาซึ่งทำหน้าที่ผู้ควบคุมเรือได้รีบไปปิดประตูกั้นน้ำใต้ท้องเรือให้หมดทุกห้อง เพื่อกั้นน้ำทะลักเข้าเรือให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และรายงานความเสียหายให้กัปตันรู้ขณะที่น้ำกำลังทะลักเข้าใต้เรือมาอย่างรุนแรง
- เขาได้มีหน้าที่อพยพผู้โดยสารตรงกราบขวาของเรือและปล่อยเรือบดลงน้ำ โดยได้กำลังสั่งให้เรือช่วยชีวิตลำที่ 7 ค่อยๆหย่อนเรือลงไปด้านล่าง แต่มีปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือไม่สามารถขนย้ายผู้โดยสารให้เต็มเรือช่วยชีวิตได้ เรือช่วยชีวิตลำแรกมี ผู้โดยสาร 26 คน เป็นผู้หญิง 24 เด็ก 2 แต่ในความเป็นจริงแล้วสามารถรองรับได้ถึง 65 คน!!
- หลังจากนั้นได้เกิดจลาจลขึ้นอย่างหนัก โดยผู้อพยพชาวอิตาลีได้พยายามที่จะแย่งกันขึ้นเรือ เป็นเหตุให้เขาจำต้องยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อที่จะหยุดผู้ที่ก่อจลาจล และสามารถทำได้สำเร็จ (แต่ในภาพยนตร์ได้มีฉากที่เขายิงปืนใส่ผู้โดยสารจนเสียชีวิต โดยมีคนยืนยันว่ามีการยิงใส่ผู้โดยสารจริง แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าเป็นรองกัปตันเมอร์ดอชเลย แต่ เจมส์ คาเมรอน เพิ่มเข้ามาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ในชีวิตจริงของรองกัปตันเมอร์ดอช และผู้กำกับคาเมรอนได้เดินทางไปพูดคุยปรับความเข้าใจกับครอบครัวทายาทรองกัปตันผู้นี้เรียบร้อยแล้ว)
- เรือช่วยชีวิตทุกลำได้ถูกปล่อยออกไปหมดแล้วในเวลา 02:05 น. แต่ทว่าในเวลานั้นยังมีผู้โดยสารติดค้างบนเรือกว่า 1,500คน ผู้โดยสารได้พยายามว่ายน้ำและกระโดดหนีออกจากตัวเรือ และในตอนนี้ไม่มีใครได้เห็นรองกัปตันเมอร์ดอชอีกเลย และจนถึงปัจจุบันการเสียชีวิตของเขาก็ยังคงเป็นปริศนา
4. ชาร์ลส เฮอร์เบิร์ต ไลท์โทลเลอร์ (Charles Herbert Lightoller)
รองกัปตันอีกคนของเรือไททานิค โดยเป็นเจ้าหน้าที่ตำแหน่งสูงสุดที่รอดชีวิตในบรรดาผู้รอดชีวิตทั้งหมดจากภัยพิบัติไททานิค ภายหลังจากนั้นเขาก็ได้เป็นทหารเรือในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และสงครามโลกครั้งที่ 2
- ก่อนเกิดหายนะ เมื่อมีคำเตือนเรื่องภูเขาน้ำแข็งมากขึ้นทุกที เขาได้มาสนทนากับกัปตันสมิธเกี่ยวกับความสงบของทะเลในเวลานี้ ได้ทำให้ความชัดเจนในการมองเห็นสิ่งวัตถุแปลกปลอมในเวลากลางคืนเป็นไปได้ยากขึ้น แต่กัปตันสมิธกระตือรือร้นที่จะให้ไททานิคไปถึงนิวยอร์คก่อนเวลาที่กำหนด ทำให้รองกัปตันไลท์ทอลเลอร์ ได้กล่าวกับลูกเรือและเจ้าหน้าที่ให้ช่วยกันมองหากพบภูเขาน้ำแข็ง และยังคงให้รักษาความเร็วของเรือไททานิคที่ 22 น๊อต (ประมาณ 40 กิโลเมตร/ชม.)
- จนถึงเหตุการณ์หายนะนั้น เขาก็ได้ไปช่วยอพยพผู้โดยสาร และควบคุมลูกเรือบนดาดฟ้าเรือร่วมกับเจ้าหน้าที่นายอื่นๆด้วย โดยเขาได้ควบคุมผู้โดยสารอย่างเคร่งครัด ให้เด็กกับผู้หญิงลงเรือก่อน ส่วนผู้ชายคนไหนจะแย่งลงเรือก็ต้องได้เจอรองกัปตันไลท์ทอลเลอร์ยิงปืนขู่ ทำให้ความวุ่นวายเกิดขึ้นแล้วสงบไปชั่วขณะตามลำดับ
- มีคนพบเห็นเขาได้กระโดดลงจากเรือไททานิคหลังจากที่เขาได้ดูแลการปล่อยเรือช่วยชีวิตไปหมดแล้วเขาได้ว่ายน้ำไปจนพบเรือช่วยชีวิตลำที่ใกล้ที่สุดพร้อมกับเรียกให้เรือช่วยชีวิตลำใกล้ๆมาจัดระบบผู้โดยสารใหม่เพื่อให้มีเนื้อที่ในการช่วยชีวิตคนให้มากที่สุด และเขาก็ได้นำเรือช่วยชีวิตลำอื่นๆกลับมาช่วยเหลือผู้รอดชีวิต ผู้คนได้ชมเขาว่า “เขาได้ทำหน้าที่ของเขาได้ยอดเยี่ยมในฐานะของเจ้าหน้าที่ของเรือไททานิค”
5. ฮาโรลด์ ก็อดฟรีย์ โลว์ (Harold Godfrey Lowe)
หลังจากที่ไททานิคได้ออกเดินทางออกจากเซาท์แทมตันแล้ว โลว์ก็มีหน้าที่ถ่ายทอดข้อความไปยังส่วนต่างๆของเรือผ่านทางโทรศัพท์และโทรเลข โลว์ได้รายงานตัวและได้จัดการธุระต่างๆบนเรือไททานิค ทั้งเก็บข้าวของ รายงานตัว ทุกอย่าง แม้แต่การลดจำนวนเรือชูชีพตามคำสั่งของคณะกรรมการที่ไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยในการเดินทาง สนใจแต่วิวทิวทัศน์สวยงามของมหาสมุทรแค่นั้น ทำให้ผู้รอดชีวิตจากโศกนาฏกรรมมีจำนวนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
- ในคืนหายนะ โลว์ก็ได้พักผ่อนโดยแลกเปลี่ยนเวรยามกับเจ้าหน้าที่มูดดี แต่การพักผ่อนของเขาในครึ่งชั่วโมงได้สิ้นสุดลงเมื่อเขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับข่าวว่าความหายนะกำลังมาเยือน ไททานิคได้ชนภูเขาน้ำแข็งเข้าแล้ว เขาไม่รอช้ารีบแต่งชุดเครื่องแบบและคว้าปืนพกออกไปประจำการทันที
- เขากับเจ้าหน้าที่คนอื่นก็ได้ช่วยกันปล่อยเรือชูชีพออกจากมหาวิมาณยักษ์ที่กำลังจะอัปปางลงสู้ก้นสมุทร พร้อมกับการก่อตัวของความวุ่นวายเมื่อผู้โดยสารต่างตื่นตระหนกกับหายนะที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เขาและเจ้าหน้าที่อื่นต่างวุ่นวายไปตามๆกัน ทั้งต้องปล่อยเรือชูชีพและยิงปืนขู่ผู้โดยสารที่ไม่อยู่ในระเบียบขณะกำลังกระโจนลงเรือชูชีพหรือแย่งที่นั่งผู้หญิงและเด็ก
- หลังจากที่เรือยักษ์ได้อัปปางสู่ก้นสมุทรไปแล้ว โลว์เห็นทีว่าถ้ายังต้องรอเรือใหญ่ “คาร์พาเทีย” มาช่วยต่อไปก็เห็นจะไม่ได้การ เขาจึงต้องรวมผู้โดยสารย้ายลงเรือชูชีพให้ได้มากพอที่จะมีเรือสักลำเป็นเรือค้นหาผู้รอดชีวิตที่ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางมหาสมุทรอันหนาวยะเยือกนี่ได้ เมื่อเขาจัดการขนย้ายที่นั่งผู้โดยสารเรียบร้อยแล้ว เขาจึงจำเป็นต้องรอเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือที่ดังระงมให้ค่อยๆเงียบลงไป เงียบลงไป
- ใจจริงเขาไม่อยากทำอย่างนี้เลย เหมือนเขาฆ่าผู้โดยสารทั้งเป็น แต่เขาจำเป็นจริงๆ เพราะว่าถ้ารีบไปอยู่ในเหล่าผู้โดยสารที่รอคอยความช่วยเหลือในเวลานี้ เรือของเขาต้องถูกผู้โดยสารที่หนาวเหน็บต่างรุมตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดจากความหนาวจนทำให้เรือของเขาพลิกคว่ำ จนเขากลับต้องตายเสียเอง
- เมื่อแวดล้อมมหาสมุทรได้เงียบสงบลง เขาจึงได้ออกค้นหาผู้รอดชีวิตอย่างรวดเร็วทันที เขาและลูกเรือต้องพายเข้าไปในบริเวณที่เต็มไปด้วยร่างของผู้ถูกความหนาวเย็นพรากชีวิตไป เขาเตือนลูกเรือตลอดทางว่าขอให้พายให้ค่อยๆ อย่าให้ต้องไปถูกร่างของผู้โดยสาร เพื่อเป็นการให้เกียรติและเคารพต่อดวงวิญญาณพวกเขา โลว์ได้ตะโกนเรียกผู้รอดชีวิตไปตลอดทางเพื่อค้นหาว่ามีใครยังรอดชีวิตขานตอบเขาบ้างไหม และเขาได้ช่วยชีวิตผู้รอดชีวิตมาได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น (หนึ่งในนั้นก็คือ “โรส” ในภาพยนตร์ไททานิคนั่น)
- หลังจากได้นำตัวผู้รอดชีวิตมาให้ความอบอุ่นร่างกายแล้ว เขาก็สังเกตเห็นเรือจากระยะไกลและรู้ว่านั่นต้องเป็นเรือคาร์พาเธียแน่ๆ เขาจึงยิงปืนขึ้นฟ้าและจุดพลุควันบอกตำเแหน่งให้เรือใหญ่ทราบและมาช่วยเหลือผู้โดยสารได้ ภายหลังเขาก็ได้ถูกยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษอีกคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ไททานิค
(ปล.นักแสดงคนที่รับบทเป็นวีรบุรุษผู้นี้ในภาพยนตร์ “ไททานิค” ต่อมาได้มาแสดงนำในเรื่อง Fantastic 4 ในบท Reed Richard อีกด้วย)
6. เจมส์ พอล มูดดี้ (James Paul Moody)
เจ้าหน้าที่ของไททานิค เป็นเจ้าหน้าที่ที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหมด (เสียชีวิตเมื่ออายุ 24 ปี)
- ในคืนที่เรือไททานิคชนภูเขาน้ำแข็ง เขาซึ่งเป็นเวรยามได้ไปรับโทรศัพท์จากยามเสากระโดงเรือว่า “ภูเขาน้ำแข็งอยู่ตรงหน้า!!” เขารีบไปแจ้งรองกัปตันเมอร์ดอชให้รีบหักเรือหลบทันที แต่เมื่อหลบไม่พ้นทำให้เรือชนภูเขาน้ำแข็งและกำลังจะจม เขาจึงรีบไปจัดการนำเรือชูชีพมาประจำที่และปล่อยเรือร่วมกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ และรองกัปตันเมอร์ดอช และเขาก็เสียชีวิตในคืนนั้นเอง มีคนเห็นเขากระโดดลงจากเรือไททานิคไปเผชิญกับความหนาวเหน็บในมหาสมุทร บางคนก็บอกว่าเขาโดนลูกหลงกระสุนปืน แต่การตรวจสอบมีความเห็นตรงกันว่าเขาเสียชีวิตเพราะอากาศหนาวเย็นในมหาสมุทรนั่นเอง
7. Frederick Fleet และ Reginald Lee (จำได้ไหม 2 คนที่อยู่บนเสากระโดงเรือนั่นเอง)
Frederick Fleet เขาเป็นคนแรกที่ได้มองเห็นภูเขาน้ำแข็งที่ไททานิคกำลังเข้าใกล้เรือ ได้เริ่มอาชีพตลอดหลายปีเป็นลูกเรือและยามเสากระโดงเรือมากว่า 4 ปี และได้ถูกจ้างและมอบหมายให้มาเป็นยามสังเกตการณ์บนเรือไม่มีวันจมนี้ ร่วมกับ Reginald Lee ซึ่งถูกโอนย้ายจากเรือโอลิมปิกแฝดพี่ของไททานิคมาประจำการด้วย
- ต่อมาในคืนหายนะ เขาเป็นคนแรกที่ได้มองเห็นภูเขาน้ำแข็งที่ไททานิคกำลังเข้าใกล้ จากนั้นเขากับเพื่อนอีกคนคือลี รีบสั่นระฆังเตือนเป็นสัญญาณบอกเหตุและรีบโทรศัพท์แจ้งเตือนไปยังเจ้าหน้าที่ข้างล่างให้รีบหักเรือหลบภูเขาน้ำแข็งทันที โดยผู้ที่มารับโทรศัพท์คือเจ้าหน้าที่มูดดี และได้รีบไปเตือนรองกัปตันเมอร์ดอชก่อนจะสายเกินแก้ .. แต่สายเกินไป ไททานิคไม่สามารถหลบภูเขาน้ำแข็งพ้นได้ ทำให้เกิดโศกนาฏกรรม
- เขารอดชีวิตมาได้พร้อมกับลีเพื่อนอีกคน จากนั้นเขาก็ให้การว่ากล้องส่องทางไกลของเขาหายไป โดยมีคนมายืมไปแต่ก็ไม่นำมาคืน ซึ่งตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นความจริง และกล่าวอีกว่า ถ้ากล้องของเขาไม่หายไปเขาต้องได้เห็นภูเขาน้ำแข็งเร็วกว่านี้
- หลังจากนั้นเขาก็ได้ไปเป็นคนขายของในสมัยสงครามโลก ต่อมาก็ไปประจำการเป็นยามเสากระโดงอีกครั้งบนเรือโอลิมปิก และพบกับภาพหลอนในจิตใจเขาเองตลอดมาเรื่องไททานิค มีเรื่องเล่าว่าเขาได้แต่เสียใจและเก็บตัวเงียบโดยได้แต่โทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรม เขาถูกความเศร้าเสียใจรุมเร้าทำให้เขาไม่กล้าออกไปพบหน้าผู้คนภายนอกอีก จนเขาตัดสินใจปลิดชีวิตตนเองในเวลาต่อมา
Reginald Lee หลังจากที่เขาได้ให้การเรื่องไททานิคแก่เจ้าหน้าที่และคณะกรรมการสอบสวนแล้ว ไม่นานเขาก็เสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนในโรคปอดบวมที่เขาเป็นมานาน
8. Jack Pillipis และ Harold Bride
ทั้งคู่เป็นพนักงานวิทยุประจำเรือไททานิค โดย Harold Birde เป็นผู้ช่วยของ Jack Pillipis ทั้งคู่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนที่จะมาประจำการที่เรือยักษ์ลำนี้ ทั้งคู่ต่างมีภาระงานที่ยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับการส่งโทรเลขวิทยุไร้สายจากผู้โดยสารส่งถึงผู้รับซึ่งก็คือเหล่าญาติๆของพวกเขาที่นิวยอร์คนั่นเอง
- ทั้งคู่ต่างยุ่งวุ่นวายมากในการจัดการโทรเลขวิทยุจากผู้โดยสารไททานิคส่งไปถึงปลายทางของแต่ละคน ในทุกๆนาทีเขาทั้งคู่ต้องส่งโทรเลขวิทยุหลายข้อความจากผู้โดยสารเป็นร้อยทำให้พวกเขาแทบไม่ได้พักผ่อน แต่ก็ยังพอมีเวลาให้ไบรด์ฉลองวันเกิดครบรอบ 25 ปีแก่ฟิลลิปส์ ด้วยขนมปังและขนมอบที่พอให้มีเรี่ยวแรงทำงานกันต่อ
- คืนก่อนหน้าวันหายนะ 1 วัน ไบรด์ได้พักผ่อนในช่วงแรกก่อนที่จะมาผลัดเปลี่ยนเวรกับฟิลลิปส์ในช่วงต่อมาเพื่อให้ฟิลลิปส์ได้พักผ่อนจากการส่งวิทยุมาหลายชั่วโมง ต่อมาอุปกรณ์ส่งสัญญาณวิทยุเกิดขัดข้อง ทั้งคู่อาสาเข้าแก้ไขอุปกรณ์ และหลังจากปลุกปล้ำอยู่นานถึง 6 ชั่วโมง ฟิลลิปส์กับไบรด์ ก็พบสายไฟลัดวงจรต้นเหตุ แล้วจึงจัดการซ่อมแซมจนสำเร็จใช้งานได้ ทำให้การทำงานส่งข้อความอย่างวุ่นวายดำเนินต่อไป
**ปล.** นักวิศวกรไฟฟ้ารางวัลโนเบล Guglielmo Marconi คิดค้นประดิษฐ์ขึ้นมาเป็นคนแรกในโลก กลายเป็นต้นธารให้การสื่อสารแบบไร้สายขึ้นในอีกหลายปีต่อมา และต่อมาเขาได้ตั้งบริษัท Marconi Company ขึ้นเพื่ออำนวยการสื่อสารแบบไร้สายให้ทั่วถึงมากขึ้น ไบรด์กับฟิลลิปส์ก็ทำงานในบริษัทนี้เช่นกัน
- จนถึงคืนหายนะ เรือ SS Californian ซึ่งอยู่ในเขตแอตแลนติกเช่นกัน กำลังแล่นอยู่ท่ามกลางภูเขาน้ำแข็ง ได้ส่งข้อความเตือนมาว่าให้ระวังภูเขาน้ำแข็งให้ดี เพราะเส้นทางที่ไททานิคกำลังแล่นอยู่นั้นเป็นเขตที่อาจมีภูเขาน้ำแข็งลอยเข้ามาในเขต จึงต้องระวังและคอยสังเกตตลอดเวลา แต่ข้อความนี้กลับไม่ได้ถูกกระจายออกไป เพราะฟิลลิปส์กำลังยุ่งกับงานจนหัวเสีย เพราะข้อความจากผู้โดยสารยังทยอยมาไม่หยุดหย่อน ทำให้เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะพักเบรกและต้องนั่งทำงานมือระวิง เขาจึงตอบกลับไปยัง SS Californian ด้วยความไม่พอใจว่า “เงียบซะที พวกเรากำลังยุ่งมาก!!” ทำให้เรือ SS Californian ไม่พอใจและสั่งปิดเครื่องวิทยุสัญญาณแต่เพียงเท่านี้ และพนักงานต่างก็เข้านอน ทำให้ไม่ได้รับข้อความขอความช่วยเหลือของไททานิคทั้งๆที่อยู่ใกล้กัน!!!
- เมื่อไททานิคได้เกิดอุบัติเหตุชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็ง กัปตันสมิธได้สั่งให้ไบรด์กับฟิลลิปส์รีบส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปยังเรือทุกลำที่อยู่ในอาณาบริเวณให้รีบมาช่วยโดยเร็วที่สุด โดยไบรด์ได้แจ้งข่าวร้ายแก่กัปตันแล้วว่าเรือจะลอยลำอยู๋ได้แค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้น จากนั้นฟิลลิปส์ก็ได้รีบส่งสัญญาณ CQD กระจายออกไปทันที แต่ไบรด์ได้เสนอให้ฟิลลิปส์ลองใช้สัญญาณใหม่ที่ยังใช้ไม่แพร่หลายเท่าไร นั่นคือ “SOS” ฟิลลิปส์เห็นชอบด้วย ดังนั้น นี่คงจะเป็นจุดเริ่มต้นการใช้สัญญาณ sos อย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา และยังใช้กันต่อมาจนถึงปัจจุบัน
- แต่เมื่อสถานการณ์เลวร้ายขึ้นทุกขณะ น้ำกำลังกลืนกินหัวเรืออย่างรวดเร็วและเกิดความวุ่นวาย ไบรด์ได้รีบนำเสื้อชูชีพมาให้ฟิลลิปส์ และบอกให้รีบหนีจากที่นี่โดยเร็วแล้วไปหาเรือชูชีพ แต่ฟิลลิปส์ยังคงส่งสัญญาณต่อไป ไม่ฟังคำพูดและได้ปฏิเสธไบรด์ กัปตันสมิธได้เข้ามาในห้องและบอกว่าตอนนี้ใครที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้เต็มที่แล้ว ก็ให้รีบหนีไปโดยเร็ว เพราะไททานิคกำลังถึงจุดจบในไม่ช้าแล้ว แต่ฟิลลิปส์ไม่ฟังใครทั้งนั้นและยังคงส่งสัญญาณต่อไป เหมือนกับว่าเขาได้สำนึกผิดต่อสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป โดยที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว
- ไบรด์เห็นว่าฟิลลิปส์ต้องการที่จะทำหน้าที่ของเขาต่อไปเป็นครั้งสุดท้าย เขาก็ไม่คิดจะฉุดรั้งเพื่อนของเขาไว้อีก เขาทำได้แต่มอบเสื้อชูชีพให้และอวยพรให้พระเจ้าคุ้มครองเขา หลังจากนั้นไบรด์ได้รีบหนีมายังดาดฟ้าเรือกำลังหาทางพลิกเรือชูชีพลำหนึ่งให้หงายขึ้นให้ได้พร้อมกับคนอื่นๆ แต่ระหว่างนั้นกระแสน้ำที่ถาโถมเข้ามาได้พัดตัวไบรด์ลงสู่มหาสมุทรอันเย็นยะเยือกอย่างรวดเร็ว ไบรด์ได