ถิ่นกำเนิดเดิมของมะเขือเทศ คือ ประเทศเปรูและเม็กซิโก เดิมมะเขือเทศเป็นพืชที่เจริญเติบโตในป่าเขา แม้มะเขือเทศจะเป็นผลไม้ที่ดูจากภายนอกแล้วสวยงาม ทำให้คนชอบและหลงใหลแต่ในตอนนั้นก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะกินมัน เพราะคิดว่าเป็นผลไม้ที่มีพิษ ในราวกลางศตวรรษที่ 16 ชาวสเปนและโปรตุเกสได้นำเอามะเขือเทศจากเปรูไปปลูกในยุโรป หลังจากนั้นก็มีการนำไปปลูกยังประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศสและเยอรมัน ในระยะแรกมีการนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในสวน
ต่อมาพระสวามีของพระนางอลิซาเบทได้ไปท่องเที่ยวในอเมริกาใต้ ไปพบเห็นมะเขือเทศจึงได้นำกลับมายังอังกฤษ เพื่อเป็นของขวัญแก่พระนางอลิซาเบท ทั้งนี้เพื่อเป็นการแสดงความรักที่มีต่อพระนาง หลังจากนั้นเป็นต้นมาจึงเป็นวัฒนธรรมตกทอดมายังคนรุ่นหลัง ในบรรดาหนุ่มสาวที่รักกัน การนำมะเขือเทศไปให้กับคนรักของตนนั้นเป็นสัญลักษณ์แสดงความรักที่มีต่อกัน และด้วยเหตุนี้ชาวยุโรปจึงเรียกมะเขือเทศว่า”แอปเปิ้ลแห่งความรัก”
มะเขือเทศได้ถูกนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในสวนอยู่นานร่วม 200 ปี โดยไม่มีใครกล้านำไปกินเลย จนกระทั่งในปลายศตวรรษที่ 18 มีนักวาดภาพชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่งนึกอยากลองลิ้มรสชาติของมะเขือเทศ เขาคิดในใจว่า...”ผลไม้ที่สวยเช่นนี้ ลักษณะก็สวยดี ว่าตามเหตุผลแล้ว คงจะน่ากินไม่น้อย” เขาจึงตัดสินใจลองกินมะเขือเทศดู หลังจากกินแล้วเขาก็แต่งตัวอย่างดีแล้วนอนรอความตายที่จะย่างกรายเข้ามา หนึ่งวันผ่านไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลองอยู่หลายครั้งจนแน่ใจว่าไม่เป็นพิษ เมื่อข่าวออกไปประชาชนทั่วไปก็เริ่มกินตามบ้าง มะเขือเทศเลยกลายเป็นอาหารในครัวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาและในปี ค.ศ. 1811 ก็มีการบันทึกลงในพจนานุกรมทางพฤกษศาสตร์เป็นครั้งแรก สำหรับสถิติที่บันทึกไว้ มะเขือเทศที่ใหญ่ที่สุดซึ่งสหรัฐอเมริกาสามารถปลูกได้นั้น หนักผลละประมาณ 3.5 กิโลกรัม ในญี่ปุ่น มีการปลูกมะเขือเทศในแปลงทดลองแห่งหนึ่ง ปรากฏว่าสามารถปลูกมะเขือเทศที่ใหญ่ที่สุด คือ สูง 3 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 เซนติเมตร ให้ผลได้ครั้งละ 3,000-5,000 ผล สำหรับต้นมะเขือเทศที่เล็กที่สุดนั้นมีอยู่ในเปรู มีลำต้นสูงเพียง 7 เซนติเมตร