สองโจรไม่กลัวบาป ก่อเหตุกระชากสร้อยทองสาวพิการจนเกือบพลัดตกรถ พบวงจรปิดบันทึกภาพพฤติกรรมชัดเจน ตร.เร่งลงพื้นที่ออกตามล่า เหยื่อบ่นอุบเสียดาย แม้มูลค่าไม่มากแต่ก็ได้มาจากน้ำพักน้ำแรง
วันนี้(28 ก.ย. 57)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.สุภธีร์ บุญครอง รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี รักษาราชการแทน ผกก.สภ.เมืองพัทยา ได้รับแจ้งมี 2 คนร้ายก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์คนพิการ เหตุเกิดบริเวณปากซอยเพนียดช้าง 9 พัทยากลาง หมู่ 9 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังรับแจ้งจึงสั่งการให้ตำรวจสายตรวจและชุดสืบสวนรีบรุดไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุพบผู้เสียหายทราบชื่อต่อมาคือ น.ส.วธิดา ใจหอม อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 38 หมู่ 10 ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น กับ น.ส.ศศิพรรณ เยข้อ อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 246 หมู่ 15 ต.กันจุ อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ สองสาวพิการป่วยเป็นโรคโปลิโอ รอเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ข้างรถ จยย.พ่วงข้างซึ่งดัดแปลงเป็นที่ใส่รถวิลแชร์ ในสภาพมีอาการตื่นตระหนกตกใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังตั้งสติได้ น.ส.วธิดา จึงให้การว่า ปกติตนกับเพื่อนทำงานอยู่ที่บริษัท บาซินี่ พัทยา ก่อนเกิดเหตุได้พากันออกจากห้องพักใกล้เคียงมูลนิธิพระมหาไถ่ แล้วแวะซื้ออาหารและเครื่องดื่มที่ร้านสะดวกซื้อ เพื่อเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนในวันหยุดที่หาดทรายแก้ว อ.สัตหีบ โดยมี น.ส.ศศิพรรณ เป็นคนขับ ส่วนตนเป็นคนนั่งซ้อนท้าย
กระทั่งมาถึงที่เกิดเหตุมีคนร้ายเป็นชายวัยรุ่นจำนวน 2 คน อายุประมาณ 20-25 ปี ขับรถ จยย.แบบหญิง ไม่ทราบยี่ห้อ สี และทะเบียน ตามมาประกบทางด้านข้าง จากนั้นคนนั่งซ้อนท้าย ลักษณะผิวดำ ผมหยิกหยักศก สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีส้มลายดำ นุ่งกางเกงยีนส์ขายาว ได้ใช้มือกระชากเอาสร้อยคอทองคำหนัก 25 สตางค์ที่ตนสวมใส่อยู่ ด้วยความตกใจตนจึงเบี่ยงตัวหลบจนเกือบจะตกลงจากรถ หลังจากได้ทรัพย์สินคนร้ายจึงรีบบิดคันเร่งขับหลบหนีไปทางถนนพัทยากลางอย่างรวดเร็ว
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะสร้อยคอทองคำเส้นดังกล่าว ถึงแม้จะมีมูลค่าไม่มากนัก แต่ตนต้องทำงานเก็บเงินอยู่หลายเดือนกว่าจะซื้อมาได้ จึงอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตามจับคนร้ายมาให้ได้โดยเร็วจะได้ไม่ต้องไปก่อเหตุกับใครอีก” น.ส.วธิดา กล่าวด้วยความคับแค้นใจ
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดภายในร้านริเวอร์โฮเทล พบว่าสามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ขณะคนร้ายกำลังก่อเหตุได้อย่างชัดเจน จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน นอกจากนี้ยังได้วิทยุแจ้งรูปพรรณของคนร้ายให้ตำรวจสายตรวจและจราจรตามเขตต่างๆ ให้ทราบเพื่อสกัดจับกุมแต่ก็ยังไร้วี่แวว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงลงพื้นที่หาข่าวเพื่อติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป