สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 คนรัสเซียคิดค้นหาอาวุธนานาชนิดเพื่อเอามาใช้ประหัต
ประหารข้าศึก และอาวุธบางชนิดก็ดูประหลาดและไม่ค่อยจะได้เห็นกันในปัจจุบัน
วันนี้เลยนำมาเสนอกัน 2 ชนิดคือ "หมาระเบิด" กับ "เม่นนรก"
ภาพนี้ได้มาจากพิพิธภัณฑ์ทางการทหารแห่งหนึ่งในรัสเซีย
หมาระเบิดก็คือหมาจริงๆที่ได้รับการฝึกให้วิ่งเข้าไปมุดใต้รถถังข้าศึก โดยเมื่อมันมุดเข้าไปเสา
กระโดงด้านหลังของมันที่แตะเข้ากับใต้ท้องรถจะทำหน้าที่เป็นตัวจุดชนวนระเบิด ทำให้ทั้งหมา
และทั้งรถถังตายไปจากโลกนี้
ข้อมูลและรูปภาพจาก : http://www.oknation.net/blog/russky/2010/03/03/entry-1
รายละเอียดของ หมาระเบิด ทำลายรถถัง
หมาระเบิดได้รับการฝึกฝน และพัฒนาโดยกองทัพโซเวียต
วิธีฝึกก็ไม่มีอะไรมาก เพียงนำอาหารของน้องหมาไปไว้ใต้ท้องรถถัง
ก่อนนำไปใช้งานหมาจะถูกจับให้อดอาหาร 2 - 3 วัน
หมาจะถูกผูกติดด้วยระเบิดทำลายรถถัง ที่มีกลไกเป็นท่อนไม้ยื่นขึ้นด้านบน เมื่อหมามุดเข้าไปใต้ท้องรถถังเพื่อหาอาหาร ไม้จะพับลง ซึ่งเป็นการทำให้กลไกจุดระเบิดทำงาน
ทางโซเวียตรายงานว่า หมาระเบิดพวกนี้ทำลายรถถังของเยอรมันไปกว่า 300 คัน พวกมันเป็นหนึ่งในกองกำลังที่ช่วยโซเวียตต้านทานเยอรมัน
ต่อมาพวกนาซีใช้พลแม่นปืน ซุ่มยิง หมาระเบิด ก่อนที่จะเข้ามาถึงระถังของพวกนาซี
ข้อเสียของ หมาระเบิด คือ พวกมันแยกแยะไม่ออกว่า คันไหนเป็นรถถังของ นาซี หรือ ของ โซเวียต จึงเกิดข้อผิดพลาดในการใช้งานบ่อยครั้ง
รูปซ้าย ระบบกลไกของระเบิด ที่ใช้ผูกติดกับ สุนัขสงคราม
เพื่อใช้เป็นระเบิดมีชีวิตเพื่อใช้ทำลายรถถัง
รูปขวา ทหารโซเวียต และหมาระเบิด
ข้อมูลและรูปภาพจาก
http://wowboom.blogspot.jp/2009/12/anti-tank-dogs.html
...เม่นนรก...
สำหรับเม่นนรกนั้น ก็เป็นเครื่องบินแบบ Tu - 2 แต่เครื่องบินนี้ถูกนำมาปรับปรุงเพื่อติดปืนกล 88 กระบอกเข้าไป วิธีใช้ก็ส่งเครื่องบินชนิดนี้ลงไปบินต่ำๆ เหนือกองทหารข้าศึก จากนั้นนักบินก็จะเปิดฝาใต้ท้องเครื่องบิน และเปิดฉากยิงถล่มอย่างไม่หยุด ด้วยอัตราประมาณ 8 หมื่นนัดต่อนาที
ลองคิดดูว่าเจอแค่ปืนกลกระบอกเดียว ก็ยังโวยกันลั่นนี่เจอเข้าไป 88 กระบอกในคราวเดียวกัน คงจะพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเป็นแน่
สภาพของปากกระบอกปืน 88 กระบอกที่โผล่ออกมาจากใต้ท้องเครื่องบินนั้นเหมือนกับขนเม่น ก็เลยทำให้มีการเรียกเครื่องบินแบบนี้ว่า "The Fire Hedgehog " หรือที่บางคนเรียกมันว่า "เม่นนรก"
ข้อมูลและรูปภาพจาก
http://www.oknation.net/blog/russky/2010/03/03/entry-1