นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เปิดเผยว่า ต้องจับตาการประกาศขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ที่คาดว่าจะปรับขึ้นเร็วที่สุดในช่วงเดือนธันวาคม 2557 จะส่งผลให้ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวลดลงจากราคาปิดเดือนสิงหาคมที่ 1,287.07 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อออนซ์ ไปอยู่ที่ 1,180-1,200 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อออนซ์ หรือ 17,000-18,000 บาทต่อหนึ่งบาททองคำบนสมมุติฐานค่าเงินบาทที่ 31-32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นราคาใกล้เคียงกับราคาทองคำในช่วงต้นปี 2557

อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำจะไม่ลดลงต่ำถึง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อออนซ์ เนื่องจากราคาต้นทุนหน้าเหมืองทองคำขนาดใหญ่ 8 แห่งของโลก อยู่ที่ประมาณ 900-1,200 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อออนซ์

อีกทั้งธนาคารกลางบางประเทศยังรอจังหวะเข้าซื้อทองสะสม และสถานการณ์การเมืองโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง เป็นปัจจัยบวกที่จะหนุนให้ราคาทองไม่ต่ำไปกว่าที่คาด หากราคาทองคำลงไปต่ำกว่า 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์แนะนำให้นักลงทุนทยอยซื้อทองสะสมเพื่อถือในระยะยาว

“ราคาทองคำปัจจุบันถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับต้นทุน เพราะราคาลงไปรับข่าวมากกว่า ความเป็นจริงถือเป็นโอกาสให้นักลงทุนเข้าซื้อทองเพื่อสะสมในระยะยาว ต่อจากนี้ถือเป็นช่วงขาลงของทองคำ

ผลจากนโยบายการเงินของประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ยังคงออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งธนาคารกลางยุโรปและธนาคารกลางญี่ปุ่น มีผลให้ทองคำปรับลดลง เพราะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น

ตรงกันข้ามกับการใช้นโยบายการเงินของสหรัฐที่จะสร้างผลบวกต่อราคาทองคำ ส่วนจะลงแรงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับมาตรการการเงินของสหรัฐฯ ว่าจะใช้กลไกการเงินอะไรนอกเหนือจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่

แต่ราคาจะไม่ต่ำกว่าราคาต้นทุนหน้าเหมือง เพราะเหมืองจะหยุดผลิต อีกทั้งมีธนาคารกลางของประเทศสังคมนิยมรอซื้อทองคำสะสมในช่วงที่ราคาอ่อนตัว”

สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในเดือนกันยายน กลุ่มตัวอย่างผู้ค้าทองคำและโบรกเกอร์ทองคำคาดว่า จะเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับเดือนสิงหาคมโดยมีประเด็นการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ การปรับนโยบายของเฟด บาทผันผวนที่มีผลต่อราคาทองในประเทศ

โดยราคาในตลาดโลกอยู่ระหว่าง1,300-1,200 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อออนซ์ ราคาในประเทศอยู่ที่19,600-18,500 บาทต่อหนึ่งบาททองคำ ขณะที่ราคาทองคำเดือนสิงหาคม ราคาขายออกเฉลี่ย 19,647บาทต่อหนึ่งบาททองคำ ลดลงจากราคาเฉลี่ยเดือนกรกฎาคมประมาณ 325.36 บาท ต่อหนึ่งบาททองคำ