ตะคร้อ พืชพื้นบ้าน รักษาสารพัดอาการป่วย

 

 ตะคร้อ สรรพคุณทางยาเพียบ ช่วยรักษาสารพัดอาการป่วยใกล้ตัว มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

           ชื่อวิทยาศาสตร์ : Schleichera oleosa (Lour.) Oken
          
           ชื่อวงศ์ : Sapindaceae

           ชื่อสามัญ : ตะคร้อ (ไทย) Ceylon Oak (อังกฤษ) Pongro (กัมพูชา, ฝรั่งเศส) gum-lac tree (ฟิลิปปินส์) kasambi (อินโดนีเซีย) kusambi (มาเลเซีย) c[aa]y van rao (เวียดนาม)

           ชื่อท้องถิ่น : บักคร้อ (อีสาน) มะโจ๊ก เคาะ ค้อ คอส้ม (เหนือ) ตะคร้อไข่ (ภาคกลาง)


 ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

           ลำต้น : ตะคร้อเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 10-25 เมตร ในบางพื้นที่อาจพบสูงกว่า 40 เมตร ลำต้น บิดงอ เรือนยอดเป็นพุ่มแผ่กว้าง รูปทรงกรวยหรือรูปร่ม เปลือกเรียบสีน้ำตาลอมเทา แตกเป็นสะเก็ดหนา ๆ

           ใบ : เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ ออกเรียงสลับ ใบย่อยรูปรี โคนใบมนปลายใบมีหางสั้น ขอบใบเรียบ เนื้อใบค่อนข้างหนา ใบอ่อนมีขนเล็กน้อย

           ดอก : แยกแขนงออกที่ง่ามใบและปลายกิ่ง สีเหลืองอมเขียว

           ผล : ตะคร้อมีลักษณะเป็นทรงกลมหรือรูปไข่ปลายติ่งแหลม แข็ง ผลดิบมีสีเขียว และเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเมื่อสุก เนื้อในมีสีเหลืองส้ม ลักษณะเนื้อเป็นเยื่อหุ้มเมล็ด แต่ละผลมี 1-2 เมล็ด

           ระยะเวลาออกดอกและติดผล : ออกดอกและผลเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง ช่วงออกดอกประมาณเดือนมีนาคม-เมษายน ออกผลเดือนมีนาคม-กรกฎาคม


 แหล่งเพาะปลูก

          ตะคร้อพบตามป่าผลัดใบหรือป่าผลัดใบผสม ปกติขึ้นตามเชิงเขาทั่วไป แต่ยังสามารถพบที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 900-1,200 เมตร พบมากในประเทศอินเดีย ถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยสามารถพบได้ในภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศข ยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด


 ตำรายาพื้นบ้านของตะคร้อ

           แก่น : ต้มน้ำดื่ม แก้ฝีหนอง

           เปลือก : ต้มน้ำดื่มเป็นยาสมานท้อง แก้ท้องร่วง

           น้ำมันจากเมล็ด : บำรุงผมแก้ผมร่วง

 

 คุณประโยชน์จากตะคร้อ

           ใบและกิ่ง : ใบอ่อนกินสดหรือนำมาลวกกินเป็นผักเคียง ใบและกิ่งรวมถึงกากเมล็ดนำมาทำเป็นอาหารสัตว์

           ลำต้น : ในประเทศอินเดียใช้ต้มตะคร้อเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ครั่ง

           เนื้อไม้ : นำมาทำฟีนและถ่ายได้ดี แก่นไม้ซึ่งมีความแข็งและทนทานสามารถนำมาทำเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้หลายชนิด เช่น ส่วนของด้ามจับครกบดยาด้ามขวานหรือพลั่ว และล้อเกวียน

           เปลือกไม้ : เปลือกใช้เป็นยารักษาผิวหนังอักเสบ และแผลเปื่อยได้ดี

          มีงานวิจัยได้ศึกษาฤทธิ์ทางยาของส่วนเปลือกลำต้นตะคร้อโดยการทดสอบฤทธิ์ในหนูทดลอง พบว่ามีส่วนช่วยลดปริมาณน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ซึ่งจะป้องกันและลดการอักเสบอันเนื่องมาจากแผลในกระเพาะอาหารได้ (Srinivas & Celestin, 2011)

          สารสกัดจากเปลือกและลำต้นมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ (Ghosh et al., 2011) และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Pettit et al., 2000 ; Thind et al., 2010)

           น้ำต้มเปลือก : ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน (Mahaptma & Sahoo, 2008) นอกจากนี้ สารแทนนินและสีย้อมที่ได้จากเปลือกยังสามารถนำมาใช้ในอุตสาหกรรมหนังได้อีกด้วย

           เมล็ด : น้ำมันที่สกัดจากเมล็ด หรือ Kusum oil ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญของน้ำมันที่ใช้ตกแต่งทรงผมและบำรุงเส้นผม อาจใช้เป็นส่วนประกอบของอาหาร หรือใช้ในอุตสาหกรรมผ้าบาติก

          จากงานวิจัยพบว่าเมล็ดตะคร้อมีน้ำมัน ซึ่งมีชื่อเรียกทางอินเดียว่า Kusum oil หรือ Macassar oil สามารถนำไปใช้ในทางยา โดยใช้บรรเทาอาการคัน ผิวหนังอักเสบ แผลไฟไหม้ โรคเกี่ยวกับไขข้อกระดูก รวมถึงช่วยบำรุงรากผมให้แข็งแรง (Council of Scientific & Industrial Research, 1972 ; Maharashtra State Gazetteers Department, 1953 อ้างโดย Palanuvej & Vipunngeun, 2008)

          เมล็ดตะคร้อที่บดแห้งสามารถใช้ในแผลอักเสบของสัตว์พวกวัว-ควาย เพื่อกำจัดหนอนและแมลงที่ตอมแผล

           ผล : ผลตะคร้อสุกสามารถนำมากินได้ ส่วนผลดิบสามารถนำมาทำเป็นผลไม้ดอง

          นอกจากน้ำตะคร้อจะมีวิตามินซีและแคลเซียม ซึ่งมีส่วนช่วยให้หลอเลือดแงแรง ช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ และมีส่วนช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน และเนื้อเยื่อของเอ็นกระดูกอ่อน ยังพบกรดอินทรีย์หลายชนิด ได้แก่ กรดออกซาลิก กรดทาร์ทาริก กรดฟอร์มิก กรดแล็กติก และกรดชิตริก เป็นต้น ซึ่งกรดอินทรีย์ที่พบในผลไม้เหล่านี้นิยมนำมาใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว

          ผลสุกตะคร้อมีรสเปรี้ยวฝาด เหมาะแก่การนำมาทำเครื่องดื่มดับกระหายในหน้าร้อน รวมถึงนำมาปรุงเป็นอาหารประเภทยำ และน้ำตะคร้อสามารถนำมาใช้ทดแทนน้ำมะนาวได้ ในฤดูร้อนซึ่งมะนาวมีราคาแพง


ตะคร้อ
ช่อผลสุกเปลือกสีน้ำตาล ผลสุกมีเนื้อในสีเหลือง เนื้อฉ่ำ รสเปรี้ยว


          จากข้อมูลการวิเคราะห์การท้องปฏิบัติการพบว่าคุณค่าทางด้านโภชนาการของน้ำคั้นจากผลตะคร้อ 100 กรัม ประกอบด้วย

           ไขมัน 1.14 กรัม
           โปรตีน 0.93 กรัม
           ความชื้น 87.2 กรัม
           คาร์โบไฮเดรต 9.82 กรัม
           เส้นใย 0.16 กรัม
           วิตามินบี 1 0.748 มิลลิกรัม
           วิตามินบี 2 0.097 มิลลิกรัม
           วิตามินอี 0.19  มิลลิกรัม
           วิตามินซี 3.68 มิลลิกรัม
           แคลเซียม 154.47 มิลลิกรัม
           เหล็ก 2.12 มิลลิกรัม

          วิเคราะห์โดยห้องปฏิบัติการศูนย์ทดสอบและมาตรวิทยา สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)


 ส่วนผสมน้ำจิ้มอาหารทะเลจากตะคร้อ

          น้ำตะคร้อ 1 ถ้วยตวง
          สับปะรดชิ้น ½ ถ้วยตวง
          กระเทียมสด 5-6 จีบ
          พริกขี้หนูเขียว 20-30 เม็ด
          รากผักชี 1 ต้น
          ใบโหระพา ประมาณ 10 ใบ
          น้ำตาลทราย ¼ ถ้วยตวง
          น้ำต้มสุก ¼ ถ้วยตวง
          เกลือป่น ½ ช้อนชา
          น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ

          วิธีเตรียม

           1. เตรียมน้ำตะคร้อโดยนำผลตะคร้อมาแกะเปลือกล้างทำความสะอาด

           2. คั้นน้ำโดยยีเนื้อตะคร้อกับกระชอน แยกเอาเมล็ดออก

           3. ตำหรือปั่นผสมพริกเขียว กระเทียม รากผักชี สับปะรด และใบโหระพา ให้ละเอียด ใส่เกลือ น้ำตาลทราย น้ำตะคร้อ น้ำปลา และน้ำต้มสุก ผสมให้เข้ากัน ปรุงแต่งรสชาติตามชอบ

 
อ้างอิง ข่าวที่มา ข่าวจากkapook
Credit: http://www.goosiam.com/health/html/0010212.html
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...