การศึกษาถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต แต่การเรียนในระดับสูงๆ อย่างปริญญาโทนั้นมีค่าใช้จ่ายที่แพงเอาเรื่อง ทั้งค่าเทอม ค่าหนังสือเล่าเรียน ค่าที่พัก ไหนยังจะมีค่าใช้จ่ายจิปาถะที่จำเป็นในชีวิตประจำวันอีก บางคนอาจจะพร้อมอยู่แล้วไม่ลำบากเท่าไหร่ แต่คนที่ไม่มีเงินเรียนนี่สิจะทำยังไง?
สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการกู้ยืมเพื่อการศึกษา ซึ่งในต่างประเทศอย่างอเมริกา นักศึกษาป.โท ที่เรียนจบแล้วส่วนใหญ่มักจะมีหนี้สินติดตัวราว 27,000 ดอลลาร์ ส่วนที่อังกฤษก็ไม่ต่างมากนักเฉลี่ยแล้วอยู่ที่ 25,000 ดอลลาร์
จากปัญญาค่าเล่าเรียนที่แพงสุดๆ ทำให้หลายคนเลือกที่จะไม่เรียนต่อ แต่สำหรับหนุ่มนักศึกษาอังกฤษ โจ เพียร์ซ วัย 23 ปี ปัญหาเรื่องเงินทองไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขาแต่อย่างใด ซึ่งเขาก็ไม่ได้รวยล้นฟ้ามาแต่เกิด แต่เขามีวิธีการจัดการการเงินที่ดี รู้จักประหยัดอดออม ลดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อเก็บไว้เป็นค่าเล่าเรียน
โจ จบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาอุทกศาสตร์ด้วยการส่งตัวเองเรียนจนจบ ซึ่งในระหว่างที่เรียน ป.ตรี เขาพบกับเจ้าของหอที่ใจดีให้อยู่ฟรีตลอดระยะเวลา 3 ปี แลกกับการช่วยทำงานต่างๆ ภายในหอพัก แถมยังมีเงินเดือนให้อีกด้วย ทำให้เขาสามารถจ่ายค่าเรียน ป.ตรี ทั้งหมด 480,000 บาทได้ด้วยตัวเอง
ด้วยความชื่นชอบและผูกพันกับสายน้ำมาตั้งแต่เล็ก มีทั้งเล่นน้ำ ว่ายน้ำ ล่องเรือใบ หรือกิจกรรมทางน้ำแทบจะทั้งหมด เขาจึงเลือกเรียนปริญญาตรีและปริญญาโททางด้านอุทกศาสตร์ทันที โดยมีคุณพ่อที่คอยสนับสนุนอย่างเต็มที่ ค่าเล่าเรียนต่างๆ ก็เก็บเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว
แต่แล้วในช่วงที่เขาจบมัธยม จุดเปลี่ยนชีวิตของโจก็มาถึง เมื่อคุณพ่ออันเป็นที่รักประสบกับโรคปลอกประสาทอักเสบ สูญเสียการมองเห็น แขนและขาอ่อนแรง มีอาการชาครึ่งตัว ทำให้พ่อของของโจต้องลาออกจากงานเพื่อพักรักษาตัว โจจึงตัดสินใจนำเงินที่คุณพ่อเก็บไว้เป็นค่าเล่าเรียนมารักษาพ่อของเขาแทน
ถึงแม้จะโชคร้ายซักแค่ไหน โจก็ไม่หวั่น สอบเข้าเรียนคณะที่หวังได้สำเร็จ และได้รับทุนช่วยเหลือจากมหาวิทยาลัยอีกเล็กน้อย เขาจึงต้องทำงานทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อหาเงินมาประคองชีวิตตัวเองระหว่างที่เรียนอยู่ ยังดีที่มีแฟนสาวช่วยแชร์ค่าหอด้วย แต่แล้วก็ต้องโชคร้ายอีกครั้งเมื่อแฟนสาวตีจากไป ภาระค่าใช้จ่ายก็ต้องเพิ่มอีกเป็นเท่าตัว จนทำให้โจรู้สึกได้ว่า “โจ จะไม่ทน”
ด้วยความชื่นชอบและผูกพันกับสายน้ำ ที่มีทั้งคุณพ่อ และคุณปู่ เป็นผู้ร่วมใช้ชีวิตผ่านสายน้ำมาด้วยกัน ทั้งการว่ายน้ำ การล่องเรือ คิดถึงแล้วก็มีแต่ความสบายใจ ทำให้ฉุกคิดได้ว่า ทำไมไม่ย้ายไปอยู่บนเรือซะเลยล่ะ!?
ว่าแล้วก็ไม่รีรอ โจออกตามหาบ้านลอยน้ำในฝัน แล้วก็มาพบกับ The Golden Cloud ถูกอกถูกใจเป็นอย่างมาก แต่ด้วยราคา 140,000 บาท มันแพงเกินไป เขาก็ได้ต่อรองราคากับเจ้าของเรือจนเหลือเพียง 36,000 บาทเท่านั้น ไม่ต้องมากังวลกับค่าเช่ารายเดือนอีกต่อไป
แต่ด้วยสภาพทรุดโทรมอย่างหนักของ The Golden Cloud ที่เกิดมาก่อนโจตั้ง 20 ปี ทั้งเก่า ทั้งโทรม มีทั้งรูรั่วเต็มไปหมด ไม้ลั่นเป็นระยะๆ โจก็จัดการเก็บของเหลือตามท่าเรือมาซ่อมแซมจนสามารถแล่นได้ตามปกติ แต่ใช่ว่ามีเรือแล้วจะจอดได้ฟรีๆ นะ ค่าจอดตามท่าเรือเอกชนคิดวันละ 3,000 บาท เขาเลือกไปจอดที่ท่าเรือของ UNESCO แทนด้วยราคาเพียงวันละ 45 บาท และได้มิตรภาพจากชาวเรือคนอื่นๆ ทำให้เขาได้เรียนรู้ประสบการณ์อีกมากมายทั้งในห้องเรียนและบ้านลอยน้ำแห่งนี้
เมื่อถึงช่วงเวลาเปิดเทอม เขาตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อปั่นจักรยานจากท่าเรือไปเรียนเป็นระยะทางไกลถึง 13 กิโลเมตร ซึ่งหลังจากเลิกเรียนโจก็ยังแวะไปทำงานกับเจ้าของหอเก่าอยู่เสมอ ช่วงขากลับก็ทยอยซื้ออุปกรณ์ทีละนิด ทีละหน่อยเพื่อไปทำเครื่องปั่นไฟใช้บนเรือ และทำการซ่อมห้องน้ำ ส่วนเรื่องอาหารการกินไม่ต้องห่วง โจทำอาหารทานเองทุกวัน ซึ่งในบางวันชาวเรือละแวกใกล้เคียงก็นำอาหารดีๆ มาให้โจด้วย
โจบอกว่า รายจ่ายลดลงมากถึง 255,000 บาท เมื่อเทียบกับสมัยที่ยังเช่าหออยู่กับแฟน ทำให้เขามีเงินพอจ่ายค่าเล่าเรียนได้ แถมยังมีเงินเก็บอยู่อีกเพียบ จนในที่สุดเขาก็เรียนจบปริญญาโทเมื่อเดือนธันวาคมปีค.ศ. 2012 ที่ผ่านมา ด้วยการส่งตัวเองเรียนและไม่มีหนี้สินติดตัวเลย โดยเงินที่เหลือเขาก็ใช้ไปกับการซื้อตั๋วเครื่องบินไปกรีนแลนด์ เพื่อทำงานเป็นอาสาสมัครอยู่ที่นั่นอีกหลายเดือน ก่อนจะกลับบ้านด้วยเรือ The Golden Cloud
โดยระหว่างทางกลับบ้าน เขาก็ได้แวะตามเมืองชายฝั่งเพื่อระดมเงินทุน เขาได้มามากถึง 20,000 บาท และมอบให้กับกองทุน Lifeboats and Isle of Wight Society for the Blind ซึ่งเป็นกองทุนที่เคยช่วยออกค่ารักษาให้กับคุณพ่อของเขานั่นเอง
จนในที่สุดแล้ว โจก็กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย และได้พาคุณพ่อออกล่องเรือ The Golden Cloud ไปตกปลาด้วยกันทุกวัน เพื่อใช้เวลาที่เหลืออยู่กับคุณพ่อให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะไปสอบเข้ากองเรือหลวงในตำแหน่งนักอุทกศาสตร์ต่อไป
ที่มา : dek-d