เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2557 ภก.เด่นชัย ดองพอง จากโรงพยาบาลขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ เปิดเผยว่า ภายหลังจากการตรวจพบผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ จนทำให้มีการเฝ้าระวังและปราบปรามอย่างเข้มงวดนั้น ขณะนี้พบว่ามีผู้ประกอบการแอบหันมาใช้ยาแก้ปวดแผนปัจจุบันกลุ่ม Nsaids ซึ่งเป็นกลุ่มยาแก้ปวด ยาลดไข้ และยาต้านการอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ที่มีข้อบ่งใช้ว่าห้ามนำผสมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแก้ปวด หรือผสมสมุนไพร
ทั้งนี้ หากรับประทานเข้าไปเป็นระยะเวลานานจะเกิดอันตรายกับไต กัดกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะผู้สูงอายุจะได้รับผลกระทบต่อสุขภาพมาก ดังนั้น เราต้องระวังเพิ่มเติมในกลุ่มนี้ด้วย แต่ปัญหาคือ ปัญหาจากการใช้ยาดังกล่าวไม่ได้แสดงอาการให้เห็นภายนอกเหมือนกับการรับประทานยาผสมสเตรอยด์ ที่จะเห็นได้ชัดเจนว่าหน้าบวม ไตวายเฉียบพลัน เพราะฉะนั้น ยาที่ผสมเข้าไปตัวใหม่นั้นจะน่ากลัวมาก
ด้าน ภก.ประพนธ์ อางตระกูล รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า เอ็นเสดเป็นกลุ่มยาแก้ปวด ลดไข้ ยาต้านการอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ แต่มีผลข้างเคียงทำให้เกิดระคายเคืองและเกิดแผลในกระเพาะอาหาร หากรับประทานมาก ๆ และรับประทานเป็นระยะเวลานานจะเกิดผลเสียต่อการทำงานของตับและไต ดังนั้น ยาดังกล่าวจึงถือเป็นยาต้องขายโดยเภสัชกรเท่านั้น และยาบางตัวในกลุ่มนี้จะอนุญาตให้ขายเฉพาะกรณีที่มีใบสั่งแพทย์เท่านั้น
สำหรับกรณีที่มีการเอาไปผสมในยาแผนโบราณหรือยาสมุนไพรนั้นถือเป็นความผิด เป็นการปลอมปนเอายาแผนปัจจุบันใส่ลงไป ทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด ว่าที่หายจากอาการปวดเป็นผลมาจากฤทธิ์ของยาสมุนไพรซึ่งไม่ใช่ และที่สำคัญหากรับประทานเข้าไปโดยไม่ทราบจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพตามที่กล่าวข้างต้น ดังนั้นผู้กระทำการดังกล่าวหากเป็นผู้ผลิตจะมีโทษฐานหลอกลวงผู้บริโภค และที่ผ่านมาเคยมีคำพิพากษาของศาลถือว่าเป็นการผลิตยาปลอม และกฎหมายได้บัญญัติโทษจำคุก 3 ถึงตลอดชีวิต ส่วนผู้ขายมีโทษ จำคุก 1-20 ปี
อ้างอิง ข่าวที่มา ข่าวจากkapook