ในยุคสมัยกลาง คำว่า “dinner” จะหมายถึงอาหารมื้อแรกของวัน ซึ่งเป็นมื้อที่หนักที่สุด โดยจะกินกันในช่วงเวลาประมาณเที่ยง และถึงแม้จะมีการกินอาหารในตอนเช้าด้วยเช่นกัน แต่ก็ไม่ถือว่าสำคัญและไม่ได้นับว่าเป็นมื้ออาหาร โดยแต่ละวันถือว่ามีมื้ออาหารเพียง 2 มื้อเท่านั้น นั่นก็คือ dinner ในตอนเที่ยง และ supper ในตอนเย็น
คำว่า “dinner” นั้นมาจากภาษาฝรั่งเศษโบราณ “disner” มีความหมายว่า “breakfast” (หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า คำว่า breakfast มีรากศัพท์มาจากคำว่า break=หยุด และ fast=ช่วงเวลาการอดอาหาร ซึ่งก็หมายถึง หยุดการอดอาหารที่มีมาตลอดทั้งคืน หรือก็คือมื้ออาหารมื้อแรกของวันนั่นเอง)
แต่ในหลังจากนั้น ความหมายของ “dinner” ก็เปลี่ยนไปในช่วงกลางของศตวรรษที่ 13 จาก “อาหารมื้อแรกของวัน” กลายเป็น “อาหารมื้อที่หนักที่สุดของวัน” และในช่วงศตวรรษที่ 15 ก็ได้มีการใช้คำว่า “breakfast” สำหรับอาหารมื้อเช้าเสียที
ในยุโรปช่วงเวลาของ “dinner” ได้ค่อยๆเลื่อนออกไปอย่างช้าๆ ในช่วงระหว่างศตวรรษที่ 18 จนกลายเป็นช่วงเวลาประมาณ บ่าย2-3 โมง และจนกระทั่งมาถึงยุคจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 1 ในช่วงต้นศตวรรศที่ 19 เวลาของ dinner ก็ได้กลายเป็น 1 ทุ่ม!! ด้วยเหตุนี้เอง ความหมายของ “dinner” จึงได้เปลี่ยนไป กลายเป็น “อาหารมื้อเย็น” ตราบจนทุกวันนี้
ข้อมูลจาก: History of breakfast, Dinner